การเดินป่าครั้งแรกที่ ม่อนจอง เหมือนเป็นการปลดล็อคประตูแห่งประสบการณ์บานใหม่ที่ไม่เคยคิดจะเปิดมันเลย การเดินป่าเหมือนเป็นโลกอีกด้านที่เคยได้แต่เห็นผ่านตัวหนังสือ ภาพถ่าย และคลิปวีดีโอ แต่ไม่เคยได้สัมผัสมันจริง ๆ หลายครั้งที่ตั้งคำถาม เราจะออกไปเหนื่อยยากแบบนั้นเพื่ออะไรกัน หากได้แต่สงสัยแล้วไม่พาตัวเองออกไปก็คงไม่ได้คำตอบ…
1 ใน 2 หมื่นวัน
มีคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า “ช่วงชีวิตคนเรา เมื่อลองนับดูเป็นจำนวนวันแล้ว มีอยู่ประมาณ 2 หมื่นวันเท่านั้นเอง ในทุก ๆ วันที่เราใช้ไป เพื่อตัวของเราเอง จวบจนตอนนี้ เราได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง”
เรื่องราวมากมายมันเกิดขึ้น…จากบทสนทนาระหว่างทาง เราเดินป่าไปทำไมกัน ?
ด้วยภาระหน้าที่และงานประจำที่ทำอยู่ของมนุษย์วัยทำงาน ที่ต้องเจอกับความเครียด และความคาดหวังสูง สิ่งที่อยากทำในตอนนี้คือหาอะไรเยียวยาใจตัวเอง พี่บาส Explorers Club แนะนำว่าออกไปเดินทางท่องเที่ยวอาจจะช่วยได้ แต่จะไปไหนล่ะคิด…
ปลายเดือนธันวาคม 2567 พี่บาสโทรมาชวนไปเดินป่า จุดหมาย ม่อนจอง ณ ตอนนั้นยังไม่ได้รับปากอะไร บอกได้แค่ว่าจะเอากลับไปคิดดูก่อน การเดินป่าเป็นสิ่งใหม่สำหรับเรา ภาพจำของการเดินป่าคือความลำบาก จะใช้ชีวิตอย่างไร ต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง รู้สึกลังเลกลัวจะเดินไม่ไหว แต่กลับมาคิดอีกทีเราจะปล่อยให้ 1 ใน 2 หมื่นวันนี้ผ่านไปเปล่า ๆ โดยที่เราไม่ได้ลองอะไรใหม่ ๆ ให้กับชีวิตเลยหรือ ก็แค่ไปลองถ้าไม่ใช่ก็จบ พอแค่นั้น จึงตอบตกลงกลับไป พี่บาสจัดการจองตั๋วรถไฟโดยสารตู้นอนทั้งขาไปและกลับให้ทั้งหมดเรามีหน้าที่แค่เตรียมตัวให้พร้อม ความกังวลอย่างแรกที่เกิดขึ้นคือเดินป่าจริง ๆ ครั้งแรกต้องทำอย่างไร
- หาข้อมูล ดอยม่อนจองคือที่ไหน เดินทางอย่างไร มือใหม่อย่างเราไปได้ไหม ลองเปิดยูทูปดู มีคนไปมาแล้วเพียบ น่าจะไหวกำลังใจเริ่มมา
- ออกกำลังกาย ตื่นเช้ามาลุกนั่งเพิ่มกำลังขา ออกไปเดิน วิ่งออกกำลังที่สวนสาธารณะ การได้ออกกำลังกายบ้างแล้วในรอบปี รู้สึกเป็นภาระน้อยลง ถือเป็นการบอกร่างกายว่าเตรียมรับมือกับกิจกรรมนี้ให้ดี
- อุปกรณ์ ไปเดินป่าใช้อะไรบ้าง ต้องซื้ออะไรเพิ่ม พี่บาสให้ยืมชุดเดินป่าขึ้นพื้นฐาน เต็นท์ ถุงนอน หมอน เครื่องครัวส่วนบอสผู้สนับสนุนอีกคนให้ยืมเป้เดินป่า ซื้อเพิ่มเองแค่รองเท้า ได้รับคำแนะนำว่าถ้ายืมอุปกรณ์เพื่อนได้ให้ลองยืมก่อน ถ้าไปแล้วไม่ชอบจะได้ไม่เสียตังค์เปล่า ๆ
- อาหารการกิน เราจะกินอะไร กินที่ไหน ใครทำให้กิน พี่บาสแนะนำอย่างนี้ ไปกี่วัน x จำนวนมื้อที่กิน แล้วกินอะไร ? ของที่พกไปได้สะดวก ไม่เสียง่าย ไม่ลำบากในการปรุง เก็บล้างไม่ยาก อาหารซองสำเร็จ ข้าวเหนียว เนื้อเค็ม กุนเชียงทอด ขนมปัง เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม เลยตัดสินใจแบกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปพร้อมขนมปัง ไส้กรอก ไข่ต้มขึ้นไปสำหรับ 3 มื้อ
- น้ำดื่มและใช้ คำนวนว่าจะต้องใช้น้ำทำอะไรบ้างต่อวัน หากเป็นคนที่ดื่มน้ำเยอะแน่ ๆ เลย ต้องมีน้ำดื่มระหว่างทางเดินขาไป 1-2 ลิตร และถ้าปลายทางไม่มีแหล่งน้ำก็ต้องสำรองไว้สำหรับทำอาหารให้ครบมื้อ และเผื่อไว้ขากลับอีกสัก 2 ลิตร รวม ๆ แล้วก็ 4 – 5 ลิตร สำหรับการเดินทาง 2 วัน 1 คืน ในกรณีที่พื้นที่นั้นไม่มีแหล่งน้ำ แต่ที่ลานกางเต็นท์ม่อนจองเจ้าหน้าที่ทำประปาภูเขาไว้ให้เลยไม่ต้องแบกน้ำสำรองมาจะใช้เครื่องกรองน้ำแบบพกพามาเอาน้ำจากตรงนี้ก็ได้ หรือจะแชร์กับเพื่อนให้ลูกหาบแบกน้ำเป็นกองกลางไว้กินไว้ใช้เอาขึ้นไปเผื่อก็ได้
เมื่อผ่านทริปแรกไปเราจะรู้ว่าเราจะต้องเพิ่มหรือลดอะไรบ้าง และที่สำคัญของที่เราแบกไป เราต้องแบกกลับมาเองทั้งหมดเราจะไม่ทิ้งขยะไว้ให้เป็นภาระของธรรมชาติ และสัตว์ป่าแม้แต่ชิ้นเดียว…
ออกเดินทาง
9 มกราคม 2568 เวลา14:00 น. รถไฟขบวน 190 ต้นทางจากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ปลายทางสถานีเชียงใหม่วันแรกของการเดินทางเต็มไปด้วยความกังวล ครั้งแรกของการนั่งรถไฟตู้นอน ตื่นเต้น กังวลจนทำให้นอนไม่หลับกังวลว่าวันพรุ่งนี้ทางที่จะไปเดินจะเป็นอย่างไรนะ เราจะเป็นภาระให้เพื่อนร่วมทริปหรือเปล่า
10 มกราคม 2568 เวลา 04:00 น. รถไฟเทียบชานชลาสถานีเชียงใหม่ มีเวลาเหลือพอที่จะจัดการทำธุระส่วนตัวอาบน้ำ เปลี่ยนชุด จัดกระเป๋าเตรียมเดิน
05:30 น. นัดเจอ ป๊อบ กับออน เจ้าถิ่นผู้ร่วมทริปของเราในวันนี้ อาสาขับรถมารับพาพวกเราเดินทางไปยังเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย เพื่อลงทะเบียนขึ้นดอยจากนั้นก็ไปที่ศูนย์บริการการท่องเที่ยวดอยม่อนจอง(บ้านมูเซอ)ไม่ไกลจากที่นี่ ตรงนั้นเป็นจุดบริการลูกหาบ และต้องนั่งรถ 4×4 ของชาวบ้านต่อไปอีกประมาณ 1.30 ชั่วโมง เพื่อเข้าไปที่จุดเริ่มเดินขึ้นยอดดอยม่อนจองของเรา และมี อ๊อฟ สมาชิกอีกหนึ่งคนมาร่วมสมทบ รวมทั้งหมดเป็น 5 คนในทริปนี้ แล้วก็ได้เวลา 12:00 น. เริ่มเดินขึ้นยอดดอยของจริง
ทริปนี้พี่บาสอยากให้ลองแบกของ และทำอะไรด้วยตัวเองทั้งหมด เพื่อเราจะได้รู้ว่าสิ่งที่เราแบกมาอะไรคือสิ่งจำเป็นบ้างในการเดินป่าครั้งนี้ และสิ่งที่เราเอามา ต้องรับผิดชอบแบกมันกลับไป ขยะที่มาจากของกิน ของใช้ เราควรนำกลับมาทิ้งในที่ที่มีระบการจัดการขยะที่ดี ดีกว่าปล่อยทิ้งไว้ให้สกปรกในป่าแล้วเป็นภาระของธรรมชาติ
ก้าวแรก
ระยะทางจากจุดเริ่มเดินจนถึงลานกางเต็นท์อยู่ที่ประมาณ 4 กิโลเมตร เดินลัดเลาะป่าตามสันเขาไปเรื่อย ๆ มีเนินยาว ๆ เหมือนเป็นการต้อนรับมือใหม่อย่างเราให้เหนื่อยหอบ แต่ก็แลกมาด้วยวิวที่สวยงามมากตลอดข้างทาง ถึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม แต่ธรรมชาติค่อนข้างสมบูรณ์สวยงาม อาจเพราะดอยม่อนจองมีระยะเวลาการเปิดให้ขึ้นเป็นฤดูกาลทำให้ธรรมชาติมีเวลาฟื้นตัวกลับมาได้ใหม่ เหมือนกับคนเราที่ต้องการเวลาได้หยุดพักบ้างไม่ต่างกัน
บทเพลงแห่งความเงียบ
ระหว่างทางจะได้ยินเสียงลม นก และแมลงดังอื้ออึงอยู่ตลอดเวลา ตอนแรกคิดอยากจะเปิดเพลงที่ชอบใส่หูฟังเพลิน ๆ ระหว่างเดินไป แต่การเดินป่าแบบนี้เสียงที่น่าฟังที่สุดอาจไม่ใช่เพลงที่เราชอบ และเพื่อนร่วมทางอาจจะไม่ได้อยากฟังเพลงจากเรา อุตส่าดั้นด้นเดินทางข้ามวันข้ามคืนมาไกลขนาดนี้ขอฟังเสียงนก เสียงกา บ้างก็แล้วกัน นานเท่าไหร่แล้วที่เราไม่ได้ยินเสียงแบบนี้ ได้พักหู พักสมองบ้าง ก็เป็นอะไรที่ดีมาก ๆ เสียงของความเงียบสงบอาจเป็นบทเพลงที่เพราะที่สุดในเวลานี้ การได้ฟังเสียงของธรรมชาติแบบที่ไม่ต้องคิดอะไร ปล่อยสมองว่าง ๆ แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว
ความสงบเงียบของการเดินป่ามันก็มีเหตุผลของมันอยู่ ในกรณีที่เราอยู่ในเส้นทางที่ไม่คุ้นชิน หรือในเส้นทางที่รกชัดเสียงเพลงอาจจะกลบเสียงสัตว์ที่กำลังจะเข้ามาประชิดตัวเรา หรืออาจจะไม่ได้ยินเสียงเพื่อนที่กำลังหลงทางแล้วตะโกนเรียกเราอยู่ หรือหากเราหลงทางเพื่อนก็อาจไม่ได้ยินเสียงเราเหมือนกัน เหนือสิ่งอื่นใดเราอาจจะกำลังรบกวนการดำรงชีพของบรรดานกและสัตว์ป่าโดยไม่รู้ตัวอยู่ก็ได้เราเป็นผู้มาเยือนต่างถิ่น สิ่งที่เราควรตระหนักให้มากคือ ความสงบ ให้ความเคารพกับธรรมชาตินี่คือเรื่องใหม่ที่ไม่เคยนึกถึงมาก่อน เดินอย่างเงียบ ๆ ฟังเสียงนก และเสียงหอบหายใจของตัวเองก็พอ
ได้ฟังเสียงนก เสียงกา เสียงธรรมชาติตลอดเส้นทางแต่ก็ไม่เหงาเสียทีเดียวนัก ออนผู้ซึ่งคอยซักถามเรื่องโน้นเรื่องนี้อยู่เป็นระยะและมีพี่บาสผู้อาวุโสที่สุดของเราเป็นผู้ให้คำตอบในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างน่าฟัง ทำให้เรื่องราวระหว่างทางในการเดินป่าครั้งนี้ ได้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องสิ่งต่าง ๆ มากยิ่งขึ้นไปอีก
จุดสังเกตที่ทำให้รู้ได้ว่านี่เราเดินมาได้ครึ่งทางแล้วก็คือ “ผาหินช่อ” ผาหินบนสันเขา เป็นจุดชมวิว 360 องศา ที่มีลมพัดเย็นตลอดวัน เป็นจุดแวะพักวิวสวยอีกหนึ่งจุด เราสามารถมองเห็นวิวด้านล่างได้แบบมุมกว้างทั้ง 2 ด้าน ตรงนี้เป็นจุดพักครึ่งทางที่จะมีบรรดาลูกหาบมาแวะพัก เนินโล่งที่มีต้นไม้ใหญ่บังแดด มีลมพัดเย็นตลอดเวลานั่งพักได้นานเท่าที่ใจอยาก แต่เราก็ยังมีจุดหมายที่ยังต้องไปต่อ เมื่อผ่านผาหินช่อไปจะเป็นทางที่เดินตามสันเขาขึ้นลงสลับกัน ผ่านป่าเฟิร์น และป่าสน ทางเดินไม่ยาก ในช่วงท้ายก่อนถึงลานกางเต็นท์ เราก็จะได้เจอกับความท้ายทายที่ชวนเมื่อยน่องกันอีกครั้ง
เนินหมาหอบ
“กูก็หอบไม่แพ้หมา” เนินสุดท้ายก่อนถึงลานกางเต็นท์ ด่านสุดท้ายที่ต้องแลกมากับหยาดเหงื่อและอาการปวดขา เนินนี้ชันสมชื่อ ถ้าขนาดหมายังหอม คนก็คงไม่เหลือ หอบไม่แพ้หมา เนินที่เห็นตรงหน้า สูงชันจนเงยหน้าคอตั้งบ่า ทำให้ใจหวั่นไหว ลังเลที่จะเดินขึ้นไปต่อ หรือพอแค่นี้ เราจะเลือกเดินไปอีกทางที่เลาะแนวเขาด้านซ้าย เพื่อไปยังลานกางเต็นท์ในแบบที่ไม่ต้องขึ้นเนิน หรือจะเลือกเดินขึ้นไปตรงทางชัน ๆ ข้างหน้า แต่อุตส่าดั้นด้นมาขนาดนี้ขอเดินขึ้นเนินสักทีไปกับเหล่าเพื่อนร่วมทาง
“พวกพี่มากัน 2 คนเหรอคะ” “พวกพี่มาจากที่ไหนกันครับ” “ถ่ายรูปให้ไหมครับ” คำทักทายง่าย ๆ พร้อมรอยยิ้ม ประตูสู่มิตรภาพระหว่างทาง เราใช้เวลาอยู่ตรงนี้นานพอสมควร ถ่ายรูปกันเอง ถ่ายรูปให้เพื่อนร่วมทาง คนแปลกหน้า ต่างคน ต่างที่มา แต่จุดหมายเดียวกัน
ที่เคยสงสัยว่าทำไมคนอื่นเขาถึงได้ยอมนั่งรถโยกไปโยกมาบนเขากว่า 2 ชั่วโมง และยังต้องเดินเหนื่อย ๆ ขึ้นเขามาอีก 3 ชั่วโมงเพื่ออะไร วันนี้เริ่มพอเข้าใจได้บ้าง หลังจากที่ชื่นชมกับวิวจนพอใจ พวกเรายังต้องเดินต่ออีกหน่อยเพื่อไปให้ถึงปลายทางของวันนี้ที่อยู่ด้านล่างหุบเขาซึ่งก็ไม่ได้ไกลมากนัก เดินเรื่อย ๆ ชมวิว สวย ๆ แป๊บเดียวก็มาถึง เต็นท์มากมายหลากสี ถูกกางสลับกันไปมาเหมือนเป็นหมู่บ้านดอยม่อนจอง เพื่อนร่วมทริปที่ล่วงหน้ามาก่อนแล้ว ทำการจับจองพื้นที่กางเต็นท์ และกางทาร์ปไว้รอพวกเราทั้ง 2 คน ที่ตามมาสมทบ หลังจากนั้นเราก็จัดแจงหาที่เหมาะ ๆ เพื่อกางเต็นท์ของตัวเอง
ช่วงเย็นหลังจากพวกเราจัดการกางเต็นท์เก็บของกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ได้กลับขึ้นไปยัง “สนามกอล์ฟช้าง” กันอีกหนึ่งรอบเพื่อรอชมแสงสุดท้าย บนยอดดอยม่อนจองเราใช้เวลาในช่วงนี้จนหมดแสงของวัน วิวที่อยู่ตรงหน้ากับอากาศที่เย็นเฉียบ มันทำให้เรานอนราบลงไปกับพื้นโดยไม่สนใจอะไร ทิ้งตัว มองวิวเพลิน ๆ หรือมีแอบงีบไปหนึ่งตื่น ปล่อยตัว ปล่อยใจ สมองโล่งโปร่งได้คิดทบทวนเรื่องต่าง ๆ มากมายที่ผ่านมาในชีวิตช่วงนี้…….มันจะเรียกว่า ”ความสบายใจ“ ก็ไม่ผิด พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า ทุกคนต่างเฝ้ารอที่จะได้ภาพถ่ายแห่งความทรงจำกลับไป ช่วงเวลาแห่งความสุขและสนุกของการได้ครีเอทท่าทางการถ่ายรูปทำให้ลืมเรื่องราวที่เหน็ดเหนื่อยระหว่างทางที่ดั้นด้นกันขึ้นมาเป็นปลิดทิ้ง นี่สินะที่เรียกว่า คุ้มเหนื่อย
ผมเริ่มเข้าใจขึ้นมาอีกนิดแล้วว่า “เดินป่าไปทำไม” ธรรมชาติรังสรรค์สิ่งนี้ไว้ แต่ก็ไม่ได้มอบทางเดินที่ราบเรียบมาให้เราได้พบมันอย่างง่ายดายนัก ความงดงาม และความสงบ เหมือนเป็นสิ่งตอบแทนให้กับคนที่พยายามเข้าถึงมันเท่านั้น
DINER
อาหารมื้อค่ำของวันนี้ คือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ซื้อจากร้านสะดวกซื้อในตัวเมืองที่แบกขึ้นมาเอง ผมต้มมันในกระทะเครื่องครัวชิ้นเดียวที่พกมา มันเป็นมื้อค่ำที่เรียบง่ายแต่อร่อยอย่างที่ไม่เคยกินที่ไหนมาก่อนหลังจากทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อย ก่อนจะเข้านอนเรายังมีเวลาเหลือพอให้นั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่าง ๆ ให้กันฟัง การได้ตั้งคำถาม และมีคำตอบในเรื่องราวต่าง ๆ มากมายเป็นการแลกเปลี่ยนที่มีคุณค่า เราในฐานะผู้ฟังก็เลยได้เปิดมุมมองใหม่ ๆ จากเพื่อนร่วมทริป และจากเจ้าหน้าที่ ทำให้เข้าใจเรื่องราวของคนอื่นได้มากยิ่งขึ้นเป็นความประทับใจอีกหนึ่งเรื่องของทริปนี้เลย
ความหนาวที่สมศักดิ์ศรี
หน้าหนาวปีนี้เรียกได้ว่าเป็นหน้าหนาวที่สมศักดิ์ศรีคำว่า “ฤดูหนาว” อย่างแท้จริง อากาศบนลานกางเต็นท์วัดจากเทอร์โมมิเตอร์ของเจ้าหน้าที่อยู่ที่ 13 องศาเซลเซียส ในตอนที่พวกเราขึ้นไปถึง และลดต่ำลงเรื่อย ๆ เมื่อพระอาทิตย์ค่อย ๆ ลับขอบฟ้าไป และ 10.5 องศาเซลเซียสคืออุณหภูมิที่ถ่ายไว้ก่อนที่เราจะแยกย้ายกันเข้านอน อาการนอนไม่หลับที่สะสมมานาน หวังว่าวันนี้จะนอนหลับสบายนะ
ฟิ้วววววววววว….เสียงลมปะทะยอดไม้ดังสนั่นตลอดทั้งคืน เสียงใบไม้หล่นใส่เต็นท์ มาเป็นช่วง ๆ และอุณหภูมิที่ต่ำลงเรื่อย ๆ เสื้อ 4 ชั้น กางเกง 2 ชั้น ถุงมือ ถุงเท้า ถุงนอน ต้านทานอากาศเย็นที่แทรกเข้ามาไม่ไหว ตื่นมาด้วยความหนาวในตอนตี 2 นอนบิดไปบิดมาจนถึงเช้า ผู้คนเริ่มตื่น ได้ยินเสียงพูดคุยกันดังมาจากนอกเต็นท์ ชักชวนกันไปดูแสงแรกของวันกันตั้งแต่เช้ามืด
ความหนาวเย็นตอนนี้ทำให้ไม่อยากขยับตัวไปไหน ตั้งใจว่าจะซุกอยู่ในเต็นท์รอเพื่อน ๆ กลับมา กินข้าวเช้า เก็บของแล้วค่อยออกไป สุดท้าย….ก็ตัดสินใจลุกออกจากเต็นท์ เดินขึ้นไปดูวิวบน “สนามกอล์ฟช้าง” จนได้
ข้างนอกตอนนี้พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว แต่แสงอาทิตย์ยังไม่สามารถส่องลงมายังผืนดินเบื้องล่างได้ อาจด้วยหมอกที่หนาจัด อากาศหนาวบวกกับลมแรง ยิ่งเพิ่มความหนาวเย็นขึ้นเป็นเท่าตัว ถอดถุงมือเพื่อที่จะถ่ายรูปได้ไม่นานก็ต้องใส่กลับเข้าไปเหมือนเดิม รูปก็อยากได้ แต่ก็หนาวจับใจเหลือเกิน สุดท้ายยอมแพ้ให้กับสภาพอากาศ เดินกลับเต็นท์ซุกตัวอยู่ในถุงนอนดีกว่า
เดินลง
ลูกหาบเดินมาถามเรื่องเวลาเดินลงจากดอย พวกเราลงความเห็นกันว่ารีบทานอาหารเช้าและเก็บเต็นท์ลงเขากันเลยดีกว่าเหตุผลไม่มีอะไรมากไปกว่าการเกรงใจลูกหาบ ฤดูการท่องเที่ยวดอยม่อนจองจะเปิดให้ขึ้นได้ ในช่วงเดือน พฤศจิกายน – กุมภาพันธ์ของทุกปี นี่คือช่วงเวลาของชาวบ้าน ที่จะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากอาชีพหลักที่ทำเกษตรกรรมโดยการรับจ้างเป็น “ลูกหาบ” ใน 1 วันลูกหาบสามารถรับงานได้แค่ 1 ครั้งเท่านั้น ถ้าเรามัวแต่โอ้เอ้เขาอาจเสียโอกาสของวันนั้นไป นั่นคือเหตุผลที่เราเห็นตรงกัน ว่าแล้วก็รีบเก็บของกลับลงมาเลยดีกว่า
ในชีวิต จริง ๆ แล้วเราไม่ได้ต้องการอะไรมากมายอย่างที่คิด มองสิ่งรอบตัว มองคนรอบข้างให้มากขึ้น แบ่งกัน แบ่งปันให้มาก แค่นี้ก็มีความสุขสำหรับผมแล้ว “อยู่ที่เราจะใช้เวลาที่มีอยู่บนโลกนี้กันยังไง เพื่อให้กับตัวเองคนเดียวทุกวัน หรือจะแบ่งปันให้คนอื่นบ้างไหม เพื่อเราจะไม่ต้องมาเสียดายเวลาที่ต้องจากไป”
เรื่องราวทั้งหมดนี้มันแล่นเข้ามาในหัว ขณะนอนอยู่บนรถไฟปรับอากาศชั้น 2 เตียงบน ผมพอได้คำตอบแล้วว่า…….เราเดินป่าไปทำไมกัน
ขอขอบคุณ
พี่บาส Explorers Club ที่ชักชวนกันไปเหน็ดเหนื่อย ได้อะไรดี ๆ กลับมาเยอะเลยครับ
ป๊อบ poppanupong เจ้าบ้านใจดี ถ่ายรูปสวย ขับรถรับส่ง พาไปกินอาหารอร่อย ๆ ดูแลดุจญาติมิตร
ออน ตัวแทนหมู่บ้าน ผู้น่ารัก คอยบอก คอยถามไถ่อยู่ตลอดเวลา มีเรื่องมาเล่า มีเรื่องมาถาม ได้ความรู้มาก ๆ เลยครับ
อ๊อฟ offtography ผู้แข็งแกร่ง เดินทางไปทั่วย่านน้ำ ถ่ายรูปสวยมาก พี่เจ้าหน้าที่บนดอยม่อนจอง ยินดีที่ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน และขอบคุณเพื่อนร่วมทางทุกท่านที่ผ่านมาพบเจอกันครับ
EXPLORER / AUTHOR: สิฐ – พิสิฐ ค้ำชู
PHOTOGRAPHER: บาส – บดินทร์ บำบัดนรภัย