Type and press Enter.

ตามรอยยิ้ม

“เรื่องราวความสงสัยในชีวิต จากคนที่ไม่มีอะไร จะเติบโตแค่ไหนในปัจจุบัน”

เพราะงานบ้านและสวนแฟร์ ทำให้ผมได้พบเจอกับยิ้ม ยิ้มมีชื่อจริงว่านายใกล้ชิต ยิ้มยิ้มเสมอ และเป็นเจ้าของร้านเฟอร์นิเจอร์วินเทจชื่อว่า ยิ้มยิ้มเจริญ 

ยิ้ม (เสื้อแดง) กำลังเลี้ยงแพะด้วยกระถิน

หลายครั้งที่พบกับยิ้ม ยิ้มมักจะเข้ามาอัฟเดตชีวิตให้ฟังเสมอ การฟังยิ้มเล่าเรื่องราว เหมือนผมกำลังอ่านหนังสือดีๆ สักเล่ม ที่มีชีวิตของยิ้มเป็นตัวเดินเรื่อง ฟังแล้วเก็บมาทบทวนถามตัวเองเหมือนกันว่าตอนนั้นทำอะไรอยู่ แต่อย่างว่าละครับ คนเราวิถีชีวิตมันต่างกัน บางเรื่องนำมาเป็นสิ่งที่ควรศึกษาเรียนรู้ได้ แต่ผลลัพธ์อาจออกมาไม่เหมือนกัน อันนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับจังหวะเวลาของชีวิต

บึงน้ำใกล้บ้าน ที่ยิ้มมักจะพาลูกค้ามาทอดแหหาปลา

ผมนัดพบกับยิ้มที่ DAYLULU จังหวัดสระบุรี หลังจบงานบ้านและสวนแฟร์ครั้งล่าสุดเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา การนัดคุยครั้งนี้เลยต่างไปจากเดิมโดยมีธรรมชาติและบรรยากาศการตกแต่งบ้านของยิ้มเป็นองค์ประกอบ และที่ DAYLULU นี้เอง ยิ้มบอกว่าเป็นธุรกิจ Startup ใหม่ล่าสุด

เมื่อมาถึงที่ DAYLULU ยิ้มพาพวกเราออกไปตระเวนรอบๆ ชุมชนที่เขาอยู่มาตั้งแต่เด็ก พาไปทำความรู้จักกับธรรมชาติที่แปลกตา ถึงแม้นว่าจะอยู่ใกล้กรุงเทพฯก็เถอะ ที่นี่ยังให้ความรู้สึกถึงความห่างเมืองอยู่ดี เงียบสงบ และงดงาม และมื้อเย็นวันนั้นเราคุยกันหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพัฒนาพื้นที่ชุมชนให้คนมาเที่ยว ก็อยู่ในหัวข้อการพูดคุย และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมขอเข้าประเด็นเลยแล้วกัน

ยิ้มยิ้มเจริญ
บรรยากาศการพูดคุยแบบเป็นกันเอง

ยิ้มเป็นใคร

ผมเป็นเด็กบ้านนอกครับ อยู่และเติบโตที่ตำบลลำพญากลาง อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี เป็นเด็กชนบทที่ไม่มีต้นทุนในชีวิต มีความคิดในวัยเด็กที่รู้สึกว่า เรามันก็แค่เด็กบ้านนอก เราเห็นบ้านที่สวยงามตั้งแต่เด็กแล้วเราอยากมี เลยมีความคิดว่าถ้าวันหนึ่งวันใดมีเงินแล้วก็อยากกลับมาพัฒนาที่นี่ มาปลูกบ้านสวยบ้าง แต่เราไม่รู้ว่าต้องทำงานอะไร ต้องเป็นอะไร ถึงจะมีเงิน มีทรัพย์สิน เพราะเราไม่รู้อนาคต แล้วก็เรียนไม่เก่ง เรียนไม่จบ งานไม่มีทำ เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองโชคดีและมีตัวตนก็ช่วงหลังโควิด ที่เราเริ่มทำธุรกิจเกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์นี่แหละ 

สินค้าบางส่วนที่ยิ้มขาย ถูกนำมาตกแต่งที่ DAYLULU

เริ่มขายของเก่า

ง่ายๆ เลย คือเราไม่มีต้นทุน เราแบบไม่มีตังค์กินข้าว ผมเอาของจากบ้านไปนั่งขายตลาด ตลาดนัดธรรมดาเนี่ยแหละ เอาถ้วย ถังกะละมังหม้อ ไปนั่งขาย ก็แบบพวกหนังสือเก่า ไม้แขวนเสื้อ เก้าอี้ หรือว่าแบบหูฟัง  ตะเกียบ อะไรก็แล้วแต่ที่รู้สึกว่าเป็นของมือสอง ผมไปนั่งขาย บางครั้งซื้อมา 5 บาท ขาย 20 บาท ตลาดแรกที่ขาย คือตลาดปัฐวิกรณ์ ผมยังไม่ได้ทำเป็นอาชีพนะครับ ผมทำแค่รู้สึกว่าไปขายแล้วมันได้ตังค์ เอาเงินไปเที่ยว คือตอนนั้นไม่รู้ว่ามันจะเป็นอาชีพได้ มันเป็นความรู้สึกเหมือนได้เจอเพื่อน 

บางครั้งผมไม่มีเงินทุนเลย  ผมก็ใช้วิธีไปเอาของที่ร้านข้างๆ ขอเขาเอามาขาย เรามองว่าของพี่ขายได้ เดี๋ยวผมจะซื้อ 200 นะ  ผมก็เอาไปวางที่ร้านผม ขายได้ก็เอาเงินมาให้เขา เพราะเราไม่มีเงินทุนขนาดเงินแค่ 200 บาทเนี่ยยังไม่มีเลย หลังๆ เราก็เริ่มเก็บตังค์แล้วก็เริ่มซื้อของในตลาดปัฐวิกรณ์นั่นแหละ เอามาใส่ร้านตัวเอง เฮ้ยแม่งขายได้  ผมเห็นพี่คนนึงผมก็ถามเขาว่า พี่ทำอาชีพอะไร

เขาบอกว่า “พี่ขายของเก่า” พี่ทำเป็นอาชีพเลยเหรอ นั่นแหละมันคือตัวจุดประกายเลยครับ บอกกับตัวเอง โอเคงั้นเดี๋ยวผมจะทำเป็นอาชีพ ตอนนั้นอายุประมาณ 35 ตั้งแต่วันนั้นผมทำธุรกิจนี้ประมาณ 8 ปีเอง

จากตลาด…สู่ยิ้มยิ้มเจริญ

จากแรกๆ ที่ผมหัดขายใช่ไหม  ผมขายจนเรารู้ว่ามันเป็นอาชีพแล้ว ก็เริ่มมองหาที่ขายเป็นหลักแหล่ง ตอนนั้นผมไปอยู่บ้านแฟน เห็นแม่ยายขายอาหารตามสั่ง ผมบอกแกขอพื้นที่แค่ 2 คูณ 3 เมตร ผมจะทำร้านเฟอร์นิเจอร์  มันเหมือนเรื่องตลกนะ  แม่ยายผมคงงงว่ามันจะขายได้เหรอ พอแกแบ่งพื้นที่ให้ทำร้าน ก็ต้องหาชื่อร้าน เลยคิดถึงช่วงที่ผมขายของเก่า

ตอนนั้นเขาฮิตเล่นป้ายจีน ป้ายแบบร้านจีนต่างๆ มันจะมีครับว่า เฮงเจริญ ฮั่วเจริญ ดีเจริญ แล้วกูจะเอาอะไรเจริญวะ ก็คิดถึงนามสกุลตัวเอง “ยิ้มยิ้มเสมอ” แต่ยิ้มยิ้มเสมอมันไม่พอ ผมก็เลยเติมเจริญเป็น “ยิ้มยิ้มเจริญ”  ด้วยห้องแค่ประมาณนี้เองพี่ เอาอะไรมาวางก็ไม่รู้วางมั่วไปหมด ผมก็เอาเอากะละมังมาเจาะรู แล้วใส่โคมไฟ มันก็กลายเป็นร้านแล้ว 

ยิ้มยิ้มเจริญ
ยิ้มยิ้มเจริญ

สังเวียนวินเทจ

ที่บ้านแม่ยายเป็นร้านขายของเก่า ส่วนที่ตึกแดง สวนจตุจักรเป็นแหล่งเรียนรู้ ก็มีพวกพี่ๆ ที่รู้จักกันชวนไปขายแบบเปิดท้ายขายของ ซึ่งตอนนั้นมีอยู่ประมาณ 8 คัน จอดอยู่ด้านหน้าตึกแดง  ตอนนั้นยังไม่มีใครไปขาย  ผมก็ลองไปขายดู ก็ของทั่วไปนี่แหละ เชื่อไหมพี่ผมเอาของตลาดปัฐวิกรณ์อะ ผมจับมาพันบาท ผมขายหมื่นนึง  มีคนซื้อ ผมรู้สึกได้ใจ เฮ้ยมันเจ๋งว่ะ

ทีนี้ผมก็เริ่มจับแพะชนแกะ ขายดีมาก ของเริ่มเยอะรถไม่พอเก็บ สุดท้ายต้องขนเอากลับมาไว้ที่ร้านแม่ ตอนหลังผมให้แม่ยายเลิกขายอาหารตามสั่งเลย ผมเอาพื้นที่ทั้งหมดเลย เปิดเป็นร้านยิ้มยิ้มเจริญถึงปัจจุบันนี้

ขายแบบลุ่มๆ ดอนๆ ทำให้ผมต้องหาทางรอด ด้วยการหาความรู้จากการไปเฝ้าร้านเฟอร์นิเจอร์มือสองก่อน ขอเขาขายก่อน เพราะเรายังไม่มีเงินทุนซื้อของ อยากทำร้าน  ที่ร้านเรามีป้ายร้านแล้วนะ แต่ไม่มีของ คือเจ๊เจ้าของร้านที่ให้ผมขายแกน่ารักมาก แกสอนทุกอย่างพร้อมให้โอกาสผม  คือวิธีคิดของผมแบบง่ายๆ นะ เจ๊ขายเท่าไหร่ ถ้าผมบวกได้เท่านี้ผมเอานะ  ผมขายได้ส่วนต่างชิ้นละ 500  ขายได้วันละ 10 ชิ้นก็คือ 5000 บาท หนึ่งเดือนนี่ผมมีรายได้แสนห้าแล้วนะ

สำหรับเรามันโคตรเยอะเลย  ทำวันเว้นวัน ไม่ต้องทำครบ 30 วันก็ได้ เฮ้ย มันขายได้ ช่วงนั้นเก็บตังค์ได้มาก้อนนึง ประมาณ 50,000 ผมบอกกับเจ๊ว่า จะเอาของเข้าร้านแล้วนะ ผมซื้อของร้านเจ๊นั่นแหละ ซื้อไปเลย เอาไปใส่ร้านตัวเอง อยู่ประมาณเดือนนึง แม่งขายไม่ออกสักชิ้น เพราะเราไม่ไม่มีหน้าร้านเหมือนเขา

ขายเก่งกับขายไม่เป็น

ต้องกลับไปนั่งขายที่ตลาดปัฐวิกรณ์อีกอีกครั้งเงินก็ไม่มี วันนั้นผมขายได้ 2000 บาท โทรหาแม่ยาย ดีใจมาก เพราะมันเป็นเงินสองพันที่จะนำเงินมาซื้อนมให้ลูกกิน คุยใหญ่เลย  ในความดีใจนั้น ข้างๆ กันมีเสียงพี่ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งขายอยู่ บ่นว่า  “วันนี้ขายยังไม่ได้หมื่นเลย” เดี๋ยวนะผมฟังไม่ผิด พี่นั่งตรงนี้พี่ขายได้หมื่นเลยเหรอ ผมถามพี่ขายยังไง เค้าบอก “ขายทางเฟสบุ๊คไง”  แล้วต้องทำยังไงพี่ แกก็แนะนำเรานะ  หน้าบ้านเราในเฟสบุ๊คมันก็เหมือนหน้าร้านเรานั่นแหละ  ก็โพสต์ไปว่าเราขายอะไร จากนั้นผมไปแอดพ่อค้าที่หาของไปขายต่อ ว่าคนนี้ขายอะไร เพียงแค่ให้เขาเห็นของๆ เรา ถ้าตรงใจเขาๆ  ก็จะซื้อของเรา พี่เชื่อไหมผมนั่งแอดพ่อค้าวันหนึ่งเป็นร้อยถึงสองร้อยคน ใครเป็นพ่อค้า ผมแอดหมดจนเต็ม 5000 คน แอดให้เขาเห็นเรา แล้วผมก็โพสต์ของผมลงทุกวัน จนสร้างให้เขารู้จักผมอ่ะ ผมทำปีนึงอะ ผมทำแบบนี้ทุกวันทุกวัน ผมมีเงินเก็บหนึ่งล้านบาท จนมีคนมาขอเป็นหุ้นส่วน

ธุรกิจที่ดีคือการไม่ต้องไปแย่งกับใคร

อันนี้เป็นประสบการณ์ที่รู้สึกว่า มันไม่ได้แย่ แต่เป็นแรงผลักดัน เราชอบเพราะรู้สึกว่ามันมีโอกาสเข้ามา “ยิ้มมาทำกับพี่ไหม” อะไรอย่างเงี้ย ผมก็ไปทำโกดังตรงแถวช็อคโกแลตวิว ผมขายเดือนๆ นึง ได้ 2-3 ล้านเลยนะ ผมทำอยู่ประมาณ 6 เดือน ผมเริ่มรู้สึกว่ามันเริ่มไม่ใช่แล้ว ดูว่าเขาอยากได้ร้าน ผมเลยบอกว่า “พี่อยากได้ใช่ไหม ผมยกให้พี่ไปเลย ผมขอชื่อร้านผมกลับมา” ผมเหลือเงินกลับมาแสนกว่าบาทเอง ผมให้หมดเลยทั้งของ ทั้งโกดัง ลงทุนไปประมาณล้านกว่าบาท แล้วข้าวของนั้นหลายล้านมาก ผมรู้สึกว่าไอ้สิ่งที่ผมทำอยู่ตรงนี้อะพี่ ผมทำได้ดีกว่านี้ถ้าเขาอยากได้ ผมไม่รู้สึกว่าผมติดอะไรกับใคร สำหรับผมนะ การทำธุรกิจที่ดีคือการไม่ต้องไปแย่งกับใคร  ผมเลยให้เขาไปเลย แล้วพาตัวเองกลับไปยังจุดเดิม คือร้านที่บ้านแม่ยายยังมีอยู่นะ ก็พอขายได้ ผมกลับไปหาเจ๊คนเดิม ไปคุยกับเจ๊ ผมจะทำยังไงดี เจ๊แกบอกว่า “งั้นมาช่วยเจ๊ขาย” ผมก็ขายได้เหมือนเดิมนะ กลับมาขายได้ จนเรียกว่ากลับมาหาเงินได้สักก้อนพอเป็นทุน 

ยิ้มยิ้มเจริญ

เริ่มต้นใหม่กับคำว่า “รสนิยม”

พอเราเริ่มมีชื่อในวงการแล้ว  ผมไปทำร้านอีกร้านหนึ่ง ไม่ใช่ร้านปัจจุบันนะ ผมเช่าประมาณ 25,000 เอาเงินทั้งหมด 300,000 ทำโกดังใหม่หมดเลย ทำได้อยู่ประมาณ 7 เดือน โควิดมา เอาไงดีวะทีนี้ จนมาเจอไอ้ชา เพื่อนผม มันบอกว่า “เฮ้ย ยิ้มเดี๋ยวกูเอาของไปถ่ายงานหน่อย” ผมเลยขอไปดูงานที่มันทำ มันมาเช่าของผมไปถ่ายงาน ให้ผมห้าร้อยบ้าง พันนึงบ้าง มึงให้เยอะจังวะ ผมก็ไปนั่งดู เห็นชาจัดงานที่เช่าผมไป ออกมาสวยกว่าที่ผมทำอีก ผมบอกชา “กูอยากมีบ้านแบบเนี้ย อยากมีร้านแบบเนี้ย มึงช่วยสอนกูหน่อย” มันบอกว่าแบบนี้เขาเรียกว่า รสนิยม ผมไม่รู้จักคำว่ารสนิยม ผมรู้แค่ว่าซื้อมาขายไป “มึงช่วยสอนกูหน่อยดิ อะไรก็ได้กูยอมจ่ายหมดเลย”  มันพาผมไปซื้อของอิเกีย เดินดูสไตล์การตกแต่งร้าน ซึ่งผมก็แต่งร้านไม่เป็นหรอก ผมก็ฝึกทำทุกวัน จนเข้าที่เข้าทาง 

ฝึกฝนจนเกิด Mindset

แรกๆ เราก็ทำไม่เป็นหรอกครับพอทำบ่อยๆ มันเกิดทักษะ จัดวางได้ดีขึ้นมีมุมมองดีขึ้น จนรู้สึกว่า ผมจะไม่ขายของทีละชิ้นแล้ว ผมจะพยายามเป็นนักออกแบบและนักตกแต่งให้เป็นอาชีพ ผมจะพยายามไม่เป็นพ่อค้า มันเป็น Mindset เชื่อไหมผมประสบความสำเร็จในการขายมาก มีคนรู้จักยิ้มยิ้มเจริญมากขึ้น ทำอยู่นานจนมันตัน ในบ้านผมไม่รู้จะแต่งอะไรแล้ว เลยก็มา
สร้างคาเฟ่ แล้วช่วงนั้นมันยังเป็นโควิดอยู่ผมเอาเงินทั้งหมดที่มี ไปลงกับคาเฟ่ เพราะผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่บอกว่า ถ้าคุณรู้ว่าอีก 3 เดือนฝนจะตก คุณต้องเตรียมดินไว้พร้อม ผมเอาเงินทั้งหมดสร้างโกดังสร้างคาเฟ่เลย เพราะตอนนั้นคาเฟ่กำลังมา ช่วงโควิด คาเฟ่มาจริง แบบมินิมอล ผมรู้สึกว่าต้องทำตรงนี้แหละ เท่าไหร่กูก็ต้องเสีย จนผมบอกที่บ้านแล้วอะ ผมจะไม่มีตังค์เช่าบ้านให้ทุกคนอยู่แล้วเนี่ย ให้ทุกคนมานอนที่ร้านนี้แหละ แม่ร้องไห้เลย

อยู่ที่เรียนรู้

ช่วงพีคๆ ของชีวิตผมมักเจอใครบางคนเสมอ ผมไปเจอน้องคนหนึ่ง มันจบออกแบบเฟอร์นิเจอร์ ชื่อไผ่ ขอเอ่ยชื่อเลย เขาซื้อเฉพาะของแบรนด์เนม เพราะว่าเขาเรียนเฟอร์นิเจอร์มาเขาจะไม่เล่นงานก๊อปปี้เลย เขาซื้อมาด้วยต้นทุนที่มันสูงแล้วมันติดดอยมันขายไม่ได้ มันมาปรึกษาผม “พี่ยิ้มผมขอปรึกษาเข้ามาหาพี่ได้ไหม” มาหาผม ที่ร้านเนี่ย  “ผมยิ่งแอด แม่งก็ยังไม่มีคนซื้อเลย” ผมถามว่ายิ่งแอดคืออะไรวะ ผมยังไม่รู้จักคำว่ายิงแอดในไอจีเลย จากน้องที่มาปรึกษาผมเรื่องขายของไม่ออกจนต้องมาสอนผมยิงแอด

“ไผ่ มึงช่วยสอนกูหน่อยยิ่งแอดคืออะไร” จนมันมาสอนผม พี่เชื่อไหมพอสอนผมแล้ว ผมยิงแอดในไอจี ช่วงโควิดผมขายได้ ถือว่าขายแบบถล่มทลาย ผมซื้อรถซื้อบ้าน ซื้ออะไรหลาย ๆ อย่าง แล้วก็มีเงินเก็บ มีทุนซื้อของแพงได้ และได้ต่อยอด 

ความรู้คู่รสนิยม

เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเก่งแล้ว มีสกิลแล้ว วันนั้นผมไปหาพี่คนหนึ่งว่าจะชวนมาหุ้นซื้อของขาย คือผมได้ชุดเก้าอี้มาประมาณ 20-30 ตัว  มันเยอะมาก ผมก็ชวนพี่เขามาหุ้นกับผม เราคิดว่ามันขายได้กำไร พี่เขาถามผมว่า “ยิ้ม ซื้อมาเท่าไหร่” “ผมซื้อมาห้าร้อยบาท ขายสามพัน”  “แล้วจะขายกี่วันหมด” ผมว่าประมาณ 10 วันก็หมดแล้ว เราจะมีกำไรเป็นหลายเลยนะพี่ “พี่ไม่ทำ พี่ไม่เสียเวลาทำตั้งสิบยี่สิบตัวหรอก  พี่ทำตัวเดียว  พี่ขายได้เป็นแสนเลย”  เขาบอกว่า “ยิ้มเชื่อมั้ย เราใช้เวลาเท่ากัน แต่พี่จะได้เงินเยอะกว่ายิ้ม แค่เรามีความรู้กับมัน” ตอนนั้นผมมีแค่รสนิยมนะ ผมยังไม่มีความรู้ พี่เขาสอนผมให้มีความรู้กับเฟอร์นิเจอร์นั้นๆ ผมจึงเริ่มศึกษา กับเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นที่ผมซื้อมา  ว่าใครเป็นคนออกแบบ ผลิตเมื่อไหร่ วัสดุอะไร

พอเรามีความรู้กับมัน เราขายแต่เนื้อแล้ว เราไม่ขายน้ำ เดี๋ยวนี้เก้าอี้ตัวหนึ่งผมขายได้หมื่นนึง ซึ่งทำให้ผมรู้สึกว่า เราเข้าใจว่าการทำงาน เวลา และความรู้ มันทำให้เราเติบโต 

มั่นใจว่าขายได้

ผมมีวิธีคิดแบบนี้ครับ อย่างของหนึ่งชิ้นเนี่ย คนจะพูดว่า เฮ้ย ยิ้มแม่งขายไม่ได้หรอก แต่ผมคิดว่าทำยังไงให้มันขายได้ อย่างเช่น ผมเคยซื้อเรือตรวจการณ์มา เรือตรวจการณ์ยาว 14 เมตร สูง 4 เมตรกว้าง 4 เมตร ใหญ่มาก ซื้อมา 50,000 บาท มีคนถามว่ามึงจะซื้อไปทำไม บ้าป่ะเนี่ย ใช่ผมบ้า แล้วจะขายได้ไหม ผมบอกไม่รู้  เดี๋ยวผมจะขายให้พี่ดู ผมรู้สึกว่า ตอนนั้นออนไลน์ในเฟซบุ๊ก  มันเติบโตมาก เรามีชื่อเสียงแล้ว ผมคิดว่า ต้นทุนขนาดนี้ ถ้าถึงผมขายไม่ได้ผมก็วางไว้ตรงนี้ พี่เชื่อไหม ผมขายได้ภายใน 3 วัน ผมขายไป สองแสนห้า  วิธีการคือ ก็โพสต์เฟซบุ๊กทุกวัน ลงเพจลงทุกอย่างที่เป็นโซเชียล ยิงแอดพันสองพันเอาให้หนักๆ มันมีคนที่ต้องการของพวกนี้ มันขายได้  คนชอบถามว่ายิ้มขายอะไร ผมถามก่อนพี่อยากได้อะไร

เลือกอย่างแตกต่าง

แต่ก่อนนี้เวลาผมซื้อของมันเป็นแนวครับ ปัจจุบันนี้ผมเปลี่ยนวิธีใหม่เฟซบุ๊กผมเอาไว้ซื้อของ ไอจีผมเอาไว้ขายของ อย่างลูกค้าผมมีสิบคน ผมรู้แล้วสิบคนนี้ผมจำได้ว่าเขาหาอะไร เขาทำธุรกิจอะไร  ผมก็จะส่งภาพสินค้าให้เขาทุกวัน ผมส่งทุกวันมีลูกค้าเป็นร้อยคน ผมโยนก้อนหินขึ้นไป เดี๋ยวต้องโดนหัวสักคน ผมเชื่อว่ามีกำไรแน่นอน

ผมเคยซื้ออะไรโง่ๆ อย่างหนึ่งนะพี่ เช่นด้ามจับประตูของโรงหนัง เป็นทองเหลือง  ผมซื้อมาอันละหนึ่งพันบาท ผมขายอันละสี่พันห้า ผมซื้อมา  20 อัน  แย่งกันซื้อเลย คือของแปลกของใหญ่ ของที่ไม่มีใครสนและไม่คิดว่าจะขายได้ อะไรอย่างเงี้ย ผมซื้อหมดเลย อะไรแปลกๆ  ผมเจอเซียนเยอะพี่  เคยได้ยินคำนี้ปะ เซียนอยู่รู หนูอยู่ตึกอ่ะ  ผมไม่ทำตัวเองเป็นเซียน ผมทำตัวเองเป็นหนู ผมจะลองทุกอย่างทำทุกอย่างขายหมดทุกอย่าง  สุดท้ายคือปลายทางยอดปิรามิดคือกำไร ฉะนั้นตอนนี้เวลาผมจะเลือกซื้อสินค้าสักชิ้นผมเน้นเนื้อไม่เน้นน้ำ 

น้ำผมก็ขายแต่ผมไม่ซื้อน้ำ พี่มีอะไรส่งให้ผมๆ ช่วยขาย  ผมไม่ซื้อเก็บ  ผมซื้อเนื้ออย่างเดียว  จับเสือมือเปล่า เราไม่ต้องซื้อแล้ว เราไม่ต้องมีค่าเช่าโกดังใหญ่ต้องเสียพื้นที่   พอเราเป็นนักออกแบบตกแต่งปรับวิธีการขาย ผมไม่ต้องเสียค่าสร้างโกดัง ไม่ต้องเสียค่าไฟ ไม่ต้องเสียค่าจ้างคน พี่เชื่อไหม พวกพี่ทุกคน เซียนทั้งหลายคือโกดังของผม ผมอยากได้อะไร ผมมีเงิน ผมซื้อหมด ลูกค้าทำงบมา ผมรู้ผมจะซื้ออะไรใส่ จบ

การลงมือทำมันสอนเราในทุกๆ วัน ทุกคนพยายามขายของหมด เราแค่เป็นคนซื้อของให้ได้แค่นั้นพอ  พลังของการซื้อมันมากกว่าการขายอยู่แล้ว คนเป็นพ่อค้าผมบอกเลย ใครมีเงิน ซื้อได้หมด สำคัญคุณขายได้ไหม คุณขายแบบไหน แล้วคุณต่อ
ยอดธุรกิจแบบไหน แต่ถ้าสุดท้ายคุณเป็นแค่คนซื้อของมาขาย แต่คุณยังขายแบบเดิม มันมีขายได้กับขายเป็น คุณแค่ขายได้ถ้าคุณไม่ได้ขายเป็น ขายได้ คือแค่ได้เงิน ขายเป็นคือการต่อยอด อย่างงานบ้านและสวนแฟร์ผมตัดสินใจไปเลยเมื่อพวกพี่โทรมาชวน ผมไม่สนใจเรื่องเงินเลยว่าผมจะขายได้ไหม แต่ขอให้ผมได้ไปอยู่ในพื้นที่ตรงนั้นๆ แล้วผมมีแบรนด์ดิ้ง ให้คนรู้จัก แต่รู้สึกเป็นเกียรติมากที่ไป แล้วผมทำเต็มที่ 

ไม่เสียสละชัยชนะไม่เกิด

และสุดท้ายคือการต่อยอดธุรกิจ ผมไม่ชอบทำอะไรเดิมๆ อย่าทำเรื่องเดิมๆ พอผมทำเฟอร์นิเจอร์เติบโตนะพี่ ก็มีเรื่องทำร้านขายเครื่องดื่มที่เชียงใหม่ มันเป็นการลงทุน มันเป็นโปรเจกต์ใหญ่ ซึ่งเงินมันหลายสิบล้านบาท   เราเป็นแค่ยิ้มที่ขายเฟอร์นิเจอร์คนหนึ่ง ที่ไม่ได้มีเงินทุนมากมายขนาดนั้น สิ่งที่นำไปร่วมกับพวกเขาได้ก็เฟอร์นิเจอร์ที่ผมมีนี่แหละ เอาไปลงกับเขา จัดวางโดยที่ไม่รู้ว่าผลลัพท์จะเป็นยังไง แต่มันก็ไม่ได้ง่ายนะพี่ ผมก็กู้ทุกอย่าง ทำทุกอย่างเพื่อจะหาเงินไปถมในโครงการที่เชียงใหม่ ซึ่งบริษัทจะได้ไม่ต้องซื้อของเรา ผมมีคำหนึ่งมาจากหนัง ซึ่งผมชอบเก็บเอามาเป็นแรงบันดาลใจ เขาเรียกว่าไม่เสียสละชัยชนะไม่เกิด เราต้องเสียสละให้กับทีมก่อน ในวันที่ทีมเติบโตและแข็งแรง สิ่งที่เราทำไปมันจะกลับมาหาเรา ตอนนี้ผมไม่ต้องเข้าบริษัท ผมเป็นผู้บริหารแล้ว

เราต้องช่วยกันปั้น ทุกคนอดทนรอเพื่อให้บริษัทเติบโต ถึงวันที่เติบโตเสร็จ เราก็ได้ผลกำไรในเฟอร์นิเจอร์นั้น เป็นมูลค่าตีกลับมาให้เรา

รักการอ่านเพราะเรียนไม่เก่ง

ผมชอบอ่านหนังสือ แล้วผมฟังพอดแคสต์ ฟังการเล่าเกี่ยวกับธุรกิจ มายด์เซ็ท สิ่งที่ผมได้มาเยอะที่สุดคือ จากธุรกิจขายตรง มันจะมีมุมคำพูดแรงบันดาลใจ ที่นำมาปรับใช้ได้กับสิ่งที่เรามีอยู่ เขาจะบอกให้เราอ่านหนังสือแล้วฝึกคิดบวก มีมุมมองในการทำธุรกิจ ให้เรารู้สึกว่าเราต้องสู้ 

ตอนผมทำธุรกิจแรกๆ นะ ผมบอกเลย ไม่ต้องเก่งเหมือนคนอื่นเขาเอาที่เราไหว ผมไม่กู้ไม่ยืม ผมมีร้อยผมใช้ ร้อยและสร้างกฏให้ตัวเองคือเก็บเงินให้ได้วันละพัน ผมเก็บได้ ห้าหมื่นบาท แล้วก็มีครั้งหนึ่งผมรู้สึกว่าผมดื่มเหล้าเยอะ ผมเลยสัญญากับลูกว่าถ้าวันไหนปะป๊าดื่มเหล้า ป๊าให้หนูครั้งละพัน มีปัญญาดื่มเหล้าได้ ทำไมไม่มีปัญญาเอาเงินให้ลูก

การเก็บเงินของผมถือเป็นการฝึกมีวินัยในการออม ผมอยากเก็บเงินก่อนแล้วค่อยใช้ทีหลัง ทุกวันนี้การเก็บเงินของผมเป็นสินทรัพย์มากกว่าครับ อย่างการลงทุนที่นี่ DAYLULU แล้วก็ที่เชียงใหม่ แต่การลงทุนที่ดีของผมที่สุดคือการซื้อเฟอร์นิเจอร์ ผมไม่ต้องการเอาไปฝากธนาคาร เพราะว่าเฟอร์นิเจอร์ผมสามารถขาย แล้วได้กำไรจากมัน ดีกว่าเอาเงินไปฝากธนาคารไม่ได้ดอกเบี้ย

อยากบอกอะไร

ผมอยากให้กำลังใจคนที่รู้สึกว่า ยังไม่กล้าลงมือทำ ผมมีคำพูดหนึ่งที่ชอบมาก “ทำก่อนเก่งทีหลัง ไม่ต้องรอเก่งมาก แล้วค่อยมาทำ”  สิ่งที่แย่สุดคือการลงมือทำ ผมถึงบอกลงมือทำก่อนไหม อะไรก็แล้วแต่ให้กล้าลงมือทำก่อน มันไม่ได้ขึ้นอยู่ที่คุณมีเงินมากน้อยแค่ไหน สำคัญคือคุณเริ่มได้เมื่อไหร่ ไม่ต้องมารอแบบ โอ้โห เงินมากมาย แล้วค่อยทำ ผมเริ่มจากร้านเล็กๆ ด้วยซ้ำ ผมไม่ได้รู้สึกว่าผมต้องทำใหญ่เลย วันนี้ที่เรามีแล้ว แต่ไม่เคยมีใครรู้จุดเริ่มต้นของเรา ผมทำตั้งแต่ผมไม่มีอะไรเลย ถ้าคุณปรับมายด์เซ็ทคุณให้ได้ว่า คุณจะทำอะไร ผมบอกตัวเองว่าผมจะไม่เป็นพ่อค้า ผมคือนักธุรกิจ แล้วผมจะต่อยอดธุรกิจของผมไปเรื่อยๆ จาก เฟอร์นิเจอร์เนี่ย ตอนนี้ผมทำธุรกิจมาทั้งหมด 8 ปี สำหรับผมถือว่าเติบโต แล้วทุกปีผมไม่เคยทำอะไรซ้ำกันเลย

“ผมแค่รู้สึกว่า…ถ้าเราเริ่มจากที่ไม่มีอะไร เราจะเติบโตได้แค่ไหน”

EXPLORER: ยิ้ม-ใกล้ชิต ยิ้มยิ้มเสมอ
AUTHOR: ตู่-ไตรรัตน์ ทรงเผ่า
PHOTOGRAPHER: ต้น-ศุภกร ศรีสกุล

ไตรรัตน์ ทรงเผ่า