เมื่อการเดินป่า ไม่ใช่แค่เรื่องของระยะทาง

บทสนทนาสั้นๆ ว่าด้วยความงาม ความลับ และระบบนิเวศ ระหว่างรอเวลาที่จะเดินเข้าป่า
ผมไม่เคยนึกถึงสถานที่แห่งนี้ แต่เมื่อมาถึงกับหลงรัก ที่นี่สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ผมกับน้องในทีมอยู่ในงาน ครบรอบ 10 ปี ของ Fjällräven by Thailand Outdoor ที่จัดกิจกรรมเดินป่าในสวนของแม่
หลายครั้งที่เราเดินเข้าป่า แบกเป้เดินผ่านพรรณไม้นานาชนิด เพื่อซึมซับบรรยากาศของธรรมชาติ เคยสงสัยไหมว่า ขณะที่เราเดินผ่าน ต้นไม้เหล่านั้นกำลังพยายามบอกอะไรเรา


ในวาระครบรอบทศวรรษแห่งการเดินทางครั้งนี้ ผมอยากชวนทุกคนวางเป้ลงก่อน แล้วเปลี่ยนจากบทบาท “นักเดินทาง” มาเป็น “ผู้รับฟัง” เรื่องราวของป่าที่ไม่ได้มีเพียงสีเขียวที่บ่งบอกความสวยงามและทำให้รู้สึกสดชื่นเท่านั้น ลองหลับตาฟังเสียงลมพัดผ่านยอดไม้ สูดกลิ่นไอดินหลังฝนตกโชยแตะจมูก เพื่อให้สัมผัสได้ว่า นี่คือระบบนิเวศที่มีชีวิต ลมหายใจ และเรื่องราวที่ซับซ้อน การจะเข้าใจเสียงกระซิบของพงไพรได้ชัดเจนที่สุด จำเป็นต้องมี “ล่าม” ผู้เชี่ยวชาญภาษาของดอกไม้และใบหญ้า

ผมพบกับ ดร.กิตติยุทธ ปั้นฉาย หรือ “ดร.ก้อง” ผู้ช่วยภัณฑารักษ์ แห่งสำนักวิจัยและอนุรักษ์ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ โดยผ่านการแนะนำจากพี่อึ่ง-นิรุจ อุทรา นักประชาสัมพันธ์ องค์การสวนพฤกษศาสตร์
“ดร.ก้อง” ชายผู้ที่จะพาเรามาดูความสัมพันธ์ระหว่างคนกับป่า และเปลี่ยนมุมมองการเดินเทรลครั้งต่อไปของคุณ ให้ลึกซึ้งกว่าเดิม

เที่ยวป่าอย่างไรให้สนุก
คำตอบเรียบง่ายแต่ลึกซึ้งคือ “หาความเชื่อมโยงกับชีวิต” ครับ
ดร.ก้อง เล่าว่า แนวทางสำคัญคือการทำให้คนเห็นว่า สิ่งที่อยู่ตรงหน้าสัมพันธ์กับตัวเขาอย่างไร ถ้าเราพูดเรื่องไกลตัว การอนุรักษ์จะเกิดขึ้นได้ยาก แต่ถ้าเราเล่าว่า ระบบนิเวศนี้คือน้ำที่คุณดื่ม ป่านี้คืออากาศที่คุณหายใจ กิจกรรมที่คุณชอบทำ เกี่ยวข้องกับธรรมชาติอย่างไร เมื่อจุดเชื่อมโยงเกิดขึ้น ความสนใจจะตามมา และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการอนุรักษ์ที่ยั่งยืน และเมื่อคุณรู้ว่าต้นไม้แต่ละต้นมีผลต่อเราอย่างไร มันก็จะนำไปสู่ความอยากรู้แล้วสนใจจนกลายเป็นความรักในต้นไม้จนเกิดเป็นการอนุรักษ์ขึ้นในใจ และมันจะทำให้เราเข้าป่าแล้วสนุก มีความสุข เพราะเรารู้ว่าต้นไม้ ดอกไม้ในป่ากำลังทำอะไรให้เรา


ถ้าให้เห็นภาพง่ายๆ เมื่อคุณเดินป่าศึกษาธรรมชาติ เวลาคุณเดินเข้าป่าอากาศร้อนๆ พอคุณเดินผ่านอุโมงค์ต้นไม้คุณจะรับรู้ได้ถึงความเย็น นั่นเป็นเพราะการคายน้ำ ของต้นไม้ซึ่งทำหน้าที่คล้ายการระเหยของน้ำเพื่อระบายความร้อน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ช่วยลดอุณหภูมิด้วย เช่น ใบไม้จะช่วยบดบังแสงแดด และการระเหยของน้ำจากใบไม้จะช่วยทำให้บริเวณนั้นเย็นลง หรือแม้นกระทั่งน้ำที่คุณดื่มในทุกๆวัน ล้วนมาจากป่าแทบทั้งสิ้น เพราะป่าคือต้นทางของน้ำดื่ม ด้วยเหตุผลนี้เอง เราจึงต้อง “ตระหนัก” และมองเห็นธรรมชาติในมุมที่ลึกซึ้งกว่าเดิม และการเรียนรู้ที่ดีที่สุด คือการพาตัวเองออกมาสัมผัสป่า และทำความเข้าใจว่าเรากับธรรมชาติเป็นเรื่องเดียวกัน

ความลับของ “ต้นน้ำ” ที่เรามองไม่เห็น
ทุกวันนี้คนดื่มน้ำ แต่ไม่เคยเห็นต้นน้ำ
หลายคนสงสัยว่า ทำไมพื้นที่ที่มีต้นไม้ถึงมีน้ำ คำตอบไม่ได้อยู่ที่ตัวต้นไม้เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ “ราก” เมื่อต้นไม้โตขึ้น รากจะหยั่งลึกลงไป สร้างโพรงและช่องว่างในชั้นดิน โพรงเหล่านี้ทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำธรรมชาติ เมื่อฝนตกลงมา น้ำจะไหลไปสะสมตามซอกหลืบเหล่านี้ พืชไม่ได้อุ้มน้ำโดยตรง แต่พืชเปลี่ยนโครงสร้างดินให้เก็บน้ำได้

เกร็ดน่ารู้นักเดินป่า
ทำไมเวลาหาน้ำ ต้องมองหา “ต้นกล้วย” คำตอบนี้อยู่ที่โครงสร้างของมันครับ หากเราผ่าต้นกล้วยดู จะเห็นช่องว่างมากมาย โพรงเหล่านี้คือพื้นที่กักเก็บน้ำ พืชที่ต้องการน้ำมากอย่างกล้วย จึงมักขึ้นในหุบเขาที่มีความชื้นสูงและมีน้ำไหลผ่าน การเจอกล้วยจึงหมายถึงการเจอน้ำ จากการสังเกตของคนเดินป่า จนเกิดเป็นภูมิปัญญาในการดำรงชีวิตในป่า


เรื่องเล่าของลูกไม้ และการเดินทาง
คำกล่าวที่ว่า “ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น” อาจใช้ไม่ได้กับพืชทุกชนิด
ธรรมชาติออกแบบกลไกการเดินทางให้เมล็ดพืชอย่างน่าทึ่ง ลูกยาง มีปีก เมื่อเจอลมก็ปลิวไปเติบโตไกลต้น เกสรต้นสน หากส่องกล้องดู จะเห็นรูปร่างเหมือน “มิกกี้เมาส์” มีหูสองข้างเป็นถุงลม ช่วยให้ปลิวไปได้ไกลมาก มะม่วง ผลหนัก หล่นตุ้บอยู่ใต้ต้นแม่ รอลุ้นว่าจะมีช่องแสงให้เติบโต หรือจะมีไม้ใหญ่หักโค่นเปิดทางให้หรือไม่
ไม่ว่าจะหล่นใกล้หรือไกล การรอดชีวิตขึ้นอยู่กับบุคลิกของต้นไม้นั้นๆ และจังหวะเวลาของธรรมชาติ

นิยามของ “ระบบนิเวศที่สมบูรณ์”
เรามักเข้าใจผิดว่า ความสมบูรณ์เท่ากับป่าดิบชื้นที่เขียวขจี
แต่ในความเป็นจริง ระบบนิเวศที่ดี คือระบบที่ “อยู่ได้ด้วยตัวเอง” และมีความยั่งยืน ป่าดิบเขา ก็มีความสมบูรณ์ในแบบของเขา ทุ่งหญ้า ก็มีความสมบูรณ์และหลากหลายในแบบของเขา ไม่มีระบบนิเวศไหนดีที่สุด มีแต่ระบบที่สมดุลและดำรงอยู่ได้โดยไม่สูญสลายไปเอง
ของขวัญจากป่าที่เรียกว่า “นิเวศบริการ”
หากคุณได้ลองเดินเล่นบน Canopy Walkway (ทางเดินเหนือเรือนยอดไม้) หรือแวะชม กลุ่มอาคารเรือนกระจก สถานที่เหล่านี้จะมอบมุมมองของป่าที่แปลกตาไปจากเดิม แต่สิ่งที่อยากให้มองให้ลึกซึ้งกว่าแค่ป้ายชื่อต้นไม้ คือสิ่งที่เรียกว่า “นิเวศบริการ” (Ecosystem Services)

น้ำ อากาศ อาหาร และป่าไม้ สิ่งเหล่านี้คือบริการที่ธรรมชาติมอบให้เราฟรีๆ และมีมูลค่ามหาศาล ตราบใดที่เรารักษาระบบนิเวศไว้ สิ่งที่เราได้รับก็จะคงอยู่ แต่หากวันหนึ่งระบบล่มสลาย สิ่งที่เคยได้มาฟรีๆ อาจกลายเป็นวิกฤตราคาแพงที่ยากจะแก้ไข
“สวนพฤกษศาสตร์” จึงเปรียบเสมือน “ธนาคารพืชพรรณ” ที่นี่ไม่ใช่แค่สถานที่ท่องเที่ยว แต่คือคลังรวบรวมพรรณไม้ที่เหลือน้อยในธรรมชาติ เพื่อดูแล ขยายพันธุ์ และเมื่อพวกมันแข็งแรงพอ เราก็จะทำหน้าที่ส่งคืนสู่ป่า (Reintroduction) แม้ความท้าทายคือ สภาพแวดล้อมเดิมอาจเปลี่ยนไปจนพวกมันอยู่ไม่ได้แล้วก็ตาม

เราคือส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ
ดร.กิตติยุทธ ทิ้งท้ายไว้อย่างน่าคิดเกี่ยวกับมุมมองต่อธรรมชาติ
มุมมองสิ่งแวดล้อม (Environment) เราเอาตัวเราเป็นศูนย์กลาง อะไรไม่มีประโยชน์กับเรา เราตัดออก มุมมองนิเวศวิทยา (Ecology) เราเป็นเพียง “ส่วนหนึ่ง” ของระบบ
“สีเขียว ไม่ได้สำคัญไปกว่าทุ่งหญ้าแห้งๆ ทุกระบบมีความสำคัญและสัมพันธ์กันเท่าๆ กัน ถ้าระบบนิเวศอยู่ได้ เราก็อยู่ได้… ในระบบนิเวศ เราไม่ควรตัดใครออก”
EXPLORER: ก้อง-ดร.กิตติยุทธ ปั้นฉาย
AUTHOR: ตู่-ไตรรัตน์ ทรงเผ่า
PHOTOGRAPHER: ฟาง-อภินัยน์ ทรรศโนภาส

