บ้านและสวน Explorers Club ออกเดินทางร่วมกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ไปยัง บ้านหัวทุ่ง เยี่ยมชุมชนต้นแบบในพื้นที่สงวนชีวมณฑลดอยเชียงดาว ที่ชาวบ้านอยู่ร่วมกับป่าอย่างเกื้อกูล จนกลายเป็นโมเดลที่น่าสนใจ และสะท้อนแนวคิด ‘ป่าฟื้น คนยั่งยืน’

‘ชุมชนบ้านหัวทุ่ง’ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เป็นตัวอย่างความสำเร็จอีกแห่งของโครงการพัฒนา โดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ที่จับมือกับภาคเอกชนเข้ามาพัฒนา ชักชวนชาวชุมชนให้มีส่วนร่วมในการปกป้องป่า และสร้างรายได้จากการดูแล ไม่ใช่การบุกรุก

ชุมชนแห่งนี้เป็นชุมชนดั้งเดิมในพื้นที่สงวนชีวมณฑลดอยเชียงดาว เป็นแหล่งกำเนิด ‘น้ำออกฮู’ ซึ่งถือเป็นแหล่งต้นน้ำของสายน้ำย่อยแม่น้ำปิง ที่ปัจจุบันนี้ ชาวบ้านในชุมชนสามารถสร้างรายได้หล่อเลี้ยงชีวิตและครอบครัวได้จาก ‘การดูแลป่า’ อีกด้วย

โดย มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เข้ามาจัดทำ “โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ซึ่งพัฒนาโมเดลคาร์บอนเครดิตภายใต้มาตรฐาน T-VER ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ที่มีชุมชนเป็นศูนย์กลาง เพื่อตอบโจทย์การอนุรักษ์ป่าและความเป็นอยู่ของคน มาตั้งแต่ปี 2564 ขณะเดียวกัน ยังได้ส่งมอบคาร์บอนเครดิตระยะที่ 1 จำนวน 43,123 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งถือเป็นปริมาณคาร์บอนเครดิตจากโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าที่มากที่สุดเท่าที่เคยมีการส่งมอบในประเทศไทย จากโครงการ “คุณดูแลป่า เราดูแลคุณ: การจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2564 ครอบคลุม 12 โครงการใน 4 จังหวัดภาคเหนือ ให้แก่ 7 องค์กรเอกชน ในงาน MFLF Sustainability Forum 2025 “วิกฤตโลก ทางออกไทย” ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา

ใจความสำคัญของกิจกรรมในโครงการนี้คือ ‘การมีชุมชนเป็นศูนย์กลาง’ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงรับหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนให้แต่ละกิจกรรมเป็นไปอย่างเหมาะสมด้วยองค์ความรู้และเงินทุน กิจกรรมต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นโดยคนในชุมชนเป็นคนลงมือทำทั้งหมด โดยมี แม่หลวงศิริวรรณ ศรีเงิน ผู้นำชุมชนสตรี ได้ผนึกกำลังชาวชุมชนทุกเพศทุกวัย ให้มาร่วมมือกันทำงานตามโครงสร้าง บทบาท และธรรมาภิบาลที่ชัดเจน ทั้งการตั้งกติกาการใช้ประโยชน์ป่า จัดเวรยามลาดตระเวน ทำแนวกันไฟ และเก็บข้อมูลแปลงตัวอย่างร่วมกับทีมเทคนิค ขณะเดียวกัน อีกฟากหนึ่งก็มีการต่อยอดภูมิปัญญา พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชนควบคู่กันไปด้วย

คุณสมิทธิ หาเรือนพืชน์ Head of Nature-based Solutions and Special Projects มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ กล่าวถึงภาพรวมโครงการ “จัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ พัฒนาโมเดลคาร์บอนเครดิตที่มีชุมชนเป็นศูนย์กลาง เพื่อตอบโจทย์การอนุรักษ์ป่าและความเป็นอยู่ของคนไปพร้อมกัน โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2564 ภายใต้มาตรฐาน T-VER ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) โครงการเริ่มจากโมเดล “ปลูกป่า ปลูกคน” ณ โครงการพัฒนาดอยตุงฯ ที่ประสบความสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาโลก จนขยายผลสู่ป่าชุมชนทั่วประเทศ ปัจจุบันครอบคลุมพื้นที่กว่า 287,000 ไร่ ดูแลโดยชุมชนมากกว่า 300 ชุมชนใน 12 จังหวัด ในภาคเหนือ อีสาน กลาง และใต้ มีผู้เข้าร่วมกว่า 150,000 คน และได้รับแรงสนับสนุนจากภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจมากกว่า 30 องค์กร ตัวชี้วัดเชิงพื้นที่ยืนยันผลลัพธ์จริงพื้นที่เสียหายจากไฟป่าของพื้นที่โครงการระยะที่ 1–2 ลดจากค่าเฉลี่ย 12% เหลือ 4% (พ.ศ. 2567) ส่วนระยะที่ 3 ลดจาก 8% เหลือ 3% สะท้อนประสิทธิภาพการดูแลป่าอย่างต่อเนื่องทั้งฤดูไฟและนอกฤดูไฟ



หัวใจของโครงการคือ “ชุมชนเป็นเจ้าของกติกา ข้อมูล ผลประโยชน์” เงินสนับสนุนที่มาจากภาคีและผู้ซื้อคาร์บอนเครดิตถูกออกแบบให้ไปสู่หมู่บ้านผ่านสองกองทุน ได้แก่ กองทุนดูแลป่าเพื่อใช้ในกิจกรรมอนุรักษ์ฟื้นฟูป่า และป้องกันและบรรเทาไฟป่าเช่น ทำแนวกันไฟ ลาดตระเวน สร้างฝายชะลอน้ำ ปลูก-ฟื้นฟูป่า และกองทุนพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อเสริมรายได้ฐานรากและลดแรงกดดันต่อทรัพยากร เงินสองกองทุนหมุนเวียนแล้วกว่า 157 ล้านบาท โดยชุมชนวางแผน เสนอโครงการ และติดตามและรายงานผลกันเอง มูลนิธิฯ ทำหน้าที่พี่เลี้ยงด้านมาตรฐาน การติดตาม-ตรวจวัด (Measurement, Reporting and Verification: MRV) และธรรมาภิบาล ทำให้การดูแลป่ากลายเป็นอาชีพสุจริตที่ยกคุณภาพชีวิตคนและต่ออายุป่า



อย่างไรก็ตามเพื่อให้คาร์บอนเครดิตมีคุณภาพและตรวจสอบได้ โครงการใช้แปลงตัวอย่างภาคสนามตามมาตรฐาน T-VER ผนวกกับผลแปลภาพถ่ายประเภทป่าและความหนาแน่นชั้นเรือนยอด เปรียบเทียบข้อมูล ขณะเริ่มโครงการ กับ “หลังเข้าโครงการ” เพื่อประเมินการกักเก็บและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในป่าชุมชน ซึ่งทำให้ข้อมูลโปร่งใส ทวนสอบได้ และต่อยอดสู่การขอรับรองคาร์บอนเครดิตในอนาคต โดยรักษาหลักการผู้ทำจริงได้ประโยชน์จริง



หลังจากชุมชนเข้าร่วมโครงการฯ มาตั้งแต่ปี 2565 ร่วมมือกันดูแลป่าชุมชนที่มีอยู่ราว 884 ไร่ จนเกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจชุมชน ช่วยให้ป่าฟื้นตัวต่อเนื่อง ลดความเสี่ยงไฟป่าลงได้อย่างมีนัยสำคัญ ลดปัญหา PM2.5 จากไฟป่าและการสูญเสียคาร์บอนกักเก็บ ป่าที่ฟื้นตัวยังช่วยรักษาความหลากหลายทางชีวภาพและบริการระบบนิเวศสำคัญ เช่น การซึมซับน้ำฝน ลดการพังทลายของดิน และยกระดับความมั่นคงของระบบนิเวศต้นน้ำ ขยายประโยชน์ไปสู่ผู้คนทั้งลุ่มน้ำปิง


ในแง่เศรษฐกิจของชุมชน คาร์บอนเครดิตทำหน้าที่เป็น ‘แรงจูงใจที่ยุติธรรม’ มากกว่าเป็นเพียงเครื่องมือชดเชยร่องรอยคาร์บอนของธุรกิจ ที่โครงการดังกล่าว แสดงให้เห็นภาพใหญ่ที่สังคมไทยกำลังมองหารูปธรรมของคาร์บอนเครดิตที่ยึดโยงกับชีวิตคนในชุมชน เนื่องจากรายได้จากการขาย เงินส่วนชุมชนจะกลับเข้าสู่สองกองทุน เพื่อจ้างงานดูแลป่าและต่อยอดอาชีพ เกิดวัฏจักร “เงิน-งาน-ป่า” ที่หมุนเวียนในพื้นที่และทำให้การอนุรักษ์คงอยู่ได้ด้วยตัวเองระยะยาว ใช้ปกป้องต้นน้ำ สร้างงาน กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก และส่งมอบอากาศและน้ำที่ดีให้คนทั้งประเทศ






ความสำเร็จที่ ‘บ้านหัวทุ่ง’ จึงเป็นเครื่องยืนยันได้ทางหนึ่งว่า เมื่อกติกาและแรงจูงใจถูกออกแบบอย่างเป็นธรรม คาร์บอนเครดิตก็สามารถเป็นสะพานเชื่อมระหว่างป่าที่สมบูรณ์ สังคมที่เท่าเทียม และเศรษฐกิจที่ยั่งยืน มากไปกว่านั้นยังขยายผลสู่ชุมชนข้างเคียงอีก 5 หมู่บ้าน เกิดการถ่ายทอดทักษะอาชีพหลากหลาย ทั้งการเพาะเห็ด เลี้ยงผึ้ง อาหารพื้นถิ่น และงานจักสาน ทำให้คนรุ่นใหม่เห็นเส้นทางอาชีพในบ้านเกิดโดยไม่ต้องเบียดเบียนป่า และเกิดความภาคภูมิใจร่วมกันในฐานะ ‘ผู้พิทักษ์ต้นน้ำ’
REPORTER: เอ็กซ์-พงษ์อมร ต้นสายเพ็ชร
PHOTO: มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์
WEBSITE: https://www.maefahluang.org/

