เมื่อรู้สึกว่าการท่องเที่ยวในวันหยุดมันไม่สุด ไม่อยากเจอผู้คนแน่นหนาชวนตาลาย และไม่อยากต่อคิวทั้งที่กินที่เที่ยวเลยตัดสินใจไปมันวันธรรมดาน่าจะตอบโจทย์ความต้องการที่สุด ถ้าต้องขับรถไกล ๆ หลายชั่วโมงเหยียบคันเร่งน่องเกร็งจนตะคริวกินขนาดนี้ไปทั้งทีขอให้คุ้ม หน่อย เที่ยวตรัง คือการพักร้อนของผม
การไป เที่ยวตรัง ครั้งนี้ผมตั้งใจว่าจะมาเที่ยวจริง ๆ ไม่ทำคอนเทนต์ ไม่โพสต์โซเชียลใด ๆ ฉันจะไม่ทำอะไรเลย! นอกจาก เที่ยว กิน และนอนไปวัน ๆ เท่านั้น…แต่เพื่อนเจ้าถิ่นจัดหนักพากินพาเที่ยวแบบไม่พัก จนทำผมหลงรักเมืองตรังเข้าเต็มเปา….มันดีงามจนท้ายที่สุดมนุษย์ทำคอนเทนต์แบบผมก็อดใจไม่ไหวที่ต้องมาเล่าให้ฟังอยู่ดี…
หากเปรียบเทียบจังหวัดตรังในเวลานี้ คงเหมือนผลไม้อะไรสักอย่างที่กำลังสุกงอมหอมหวานได้ที่ สวยทั้งสีสัน ละมุนทั้งรสสัมผัส แสงแดดจัดจ้าน กลิ่นไอทะเลอบอวลคละคุ้ง สีของท้องฟ้าถูกสะท้อนลงบนผิวน้ำทะเลใสกลายเป็นสีเดียวกัน “นี่คือช่วงเวลาแห่ง ซัมเมอร์ที่แท้จริง” มันจะมีอะไรสุขใจไปกว่าการใช้ช่วงเวลานี้ตระเวนตามเกาะ ลัดเลาะตามหาดในแบบคนน้อย ๆ ไม่ต้องแย่งกันกินแย่งกันเที่ยว “ทุกสถานที่มันแทบจะเป็นของคุณในวันธรรมดา”
การเดินทางของผมในครั้งนี้ไม่ซับซ้อน แล้วก็ไม่ได้วางแผนไว้ด้วย รู้อย่างเดียวคือขับรถลงใต้มุ่งหน้าจังหวัดตรัง แต่จะให้ขับรวดเดียวก็ไม่ครับ! ผมขี้เกียจเกินไปที่จะขับรถนาน ๆ ขอแวะนอนที่ประจวบฯก่อนหนึ่งคืน หาของกินอร่อย ๆ ร้านกาแฟดี ๆ แล้วรุ่งขึ้นค่อยเดินทางต่อ ก็มาพักผ่อนนี่หว่า! จะรีบไปทำไม ทะเลตรังไม่ได้หนีไปไหนอยู่แล้ว!
เที่ยวแบบโอมากาเสะ
พวกเราค่อนข้างสบาย ๆ กับทริปนี้เพราะเรื่องกิน เรื่องเที่ยวทุกอย่างเพื่อนเจ้าถิ่นเป็นคนจัดการ จะเรียกว่าการ “ท่องเที่ยวแบบโอมากาเสะ” ก็ได้ ตามใจเจ้าถิ่นเป็นหลัก ส่วนนักท่องเที่ยวสายขี้เกียจแบบผมมีหน้าทีเสพความสุขอย่างเดียวเพื่อนให้ไปไหนก็ไป กินตรงไหนก็กิน เรียกว่าแทบไม่ต้องใช้สมองเพียงแค่ปล่อยจอยทั้งใจและกายหยาบ ซึ่งมันสุดจะมีความสุข และดีที่มีเจ้าถิ่นพาเที่ยว จะมีเพียงความต้องการอย่างเดียวของผมก็คือการได้กางเต็นท์ริมทะเลใส ๆ บนเกาะสวย ๆ ที่ไหนสักแห่ง เอาแค่นั้นเลย….
กว่าพวกเราจะถึงตรังก็บ่ายสามโมงกว่า เพื่อนเจ้าถิ่นก็จัดแจงพาผมไปนั่งเรือเล่น ๆ แบบกรุ่บกริ่บชมวิวทะเลแถว ๆ อำเภอสิเกาเรียกน้ำย่อยก่อนเริ่มต้นเที่ยวกันจริงจังในวันพรุ่งนี้ เหมือนเป็นการปล่อยทีเซอร์ให้ตื่นเต้นเล็กน้อย จากนั้นก็ไปหาข้าวเย็นกิน พร้อมกับชมพระอาทิตย์ตกทะเลที่หาดปากเมง
ภาพพระอาทิตย์ตกทะเลที่เส้นขอบฟ้าครั้งล่าสุดก่อนหน้านี้ผมเห็นมันเมื่อไหร่จำไม่ได้ นี่คือช่วงเวลาที่ได้ตั้งคำถามกับตัวเองสะกิดรอยหยักในสมองให้ทำงาน มันคงนามมากแล้วจนไม่แน่ใจว่าเราลืมมันไป หรืออาจไม่เคยเห็นมันมาก่อน… แต่ช่างเถอะ! ไม่ขอเสียเวลานึกถึงอดีตผมเริ่มต้นจดจำมันใหม่กับช่วงเวลาปัจจุบันตรงหน้าดีกว่า ฟ้าสีส้มแดงไล่เฉดขึ้นไปเป็นสีน้ำเงิน สีของทะเลตอนนี้ไม่ต่างกันกับท้องฟ้า “มันสวยแบบลืมไม่ลง” ผมตั้งใจยืนมองจนพระอาทิตย์ลับไปที่ขอบฟ้าอย่างช้า ๆ แต่โมเมนต์สุดโรแมนติกของพระอาทิตย์ลับขอบฟ้ามันเตลิดหายวั๊บไปกับความตื่นตาของอาหารสารพัดอย่างที่อยู่ตรงหน้า เมนูขึ้นชื่อของร้าน ต้ม ผัด แกง ทอด เพื่อนผมจัดการสั่งรอไว้แล้วตอนผมเดินไปดูพระอาทิตย์ตก ตอนนี้มื้อเย็นพร้อม! และผมก็พร้อมมาก! นี่ไงผมไม่ต้องใช้สมองเลย หน้าที่ของผมคือ กิน เที่ยว และนอน นี่แค่วันแรกก็ทำพวกเราลืมนึกกรุงเทพฯไปเสียแล้ว…เที่ยวแบบตามใจเจ้าถิ่นมันฟินอย่างนี้นี่เอง
เที่ยวนี้ของจริง
การท่องเที่ยวของพวกเราเริ่มต้นอย่างเป็นทางการจริง ๆ ในวันที่สอง หลังจากที่ซัดติ่มซำชุดใหญ่เป็นอาหารเช้ากันเต็มที่ วันนี้เพื่อนจะพาร่างผมไปที่ไหนกี่ที่ก็ได้ แต่ต้องขอไปจบด้วยการกางเต็นท์นอนที่เกาะสวย ๆ ก็แล้วกัน พวกเราข้ามไปเกาะมุกกันเป็นที่แรก เรือเครื่องพามาจอดแถว ๆ หน้าร้าน Dulay Cafe บริเวณอ่าวควน บริเวณนี้ดูแล้วผู้คนไม่พลุกพล่าน ถ้าเดินเลาะริมหาดไปเรื่อย ๆ จะมีมุมสวยสงบอยู่หลายมุมเราเดินเล่นเพลิน ๆ ใช้เวลาที่อ่าวควนกันพักใหญ่จนติ่มซำเมื่อเช้าหมดฤทธิ์ เราเลยตัดสินใจจัดข้าวกลางวันกันอีกมื้อก่อนขึ้นรถเครื่องพ่วงข้างไป “หาดฝรั่ง” กันต่อ
ชื่อหาดฝรั่ง ก็ฝรั่งสมชื่อ หันซ้ายหันขวาก็เห็นแต่ฝรั่ง แถวนี้ส่วนใหญ่มีแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติมาพัก นักท่องเที่ยวคนไทยวันนี้เห็นจะมีแต่พวกเรา หาดทรายบริเวณนี้ไม่ยาวมาก แต่มีพื้นที่กว้างพอที่ให้เราวิ่งเล่นจานร่อน ได้สบาย ๆ เราชมวิวอยู่แถวนี้กันสักพักเพื่อนผมก็เรียกเรือมารับพาเราไปถ้ำมรกตกันต่อ
ด้วยสีสันของน้ำทะเลที่สะท้อนขึ้นไปบนผนังหนังส่องสว่างทำให้ปากถ้ำกลายเป็นสีเขียวสวย ข้างในภูเขาหินกลางทะเลกลับมีอ่าว และหาดทรายเล็ก ๆ ดูสวยงามแปลกตา ด้วยความงดงามที่ธรรมชาติรังสรรค์ทำให้ใคร ๆ ต่างก็ต้องการมาที่นี่ “ถ้ำมรกต” สถานที่สุดฮิตแห่งท้องทะเลตรัง ในวันหยุดเราจะเห็นเรือเป็นสิบ ๆ ลำจอดอยู่หน้าถ้ำ พร้อมด้วยบรรดานักท่องเที่ยวที่ลอยคอต่อแถวยาวเหยียดเข้าถ้ำมรกต แต่สำหรับวันธรรมดาในเวลาสามโมงเย็นเท่าที่เห็นตอนนี้มีเพียงเรือสองลำเท่านั้นที่ลอยเท้งเต้งอยู่หน้าถ้ำ ดูเหมือนว่าพวกเราจะเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มที่สองที่มาแถวนี้ เราลอยคอตีขาเข้าไปด้านในสบาย ๆ แบบไม่ต้องต่อคิว สามารถหยุดที่ปากถ้ำชมความงามได้นานกว่าปกติแบบไม่มีคนมาต่อแถวกดดัน ด้านในโล่งไร้ผู้คนจนแทบอยากจะตั้งวงเล่นตระก้อ ตอนนี้ที่นี่เป็นของพวกเราแล้ว นี่แหละความดีงามของวันธรรมดา
แต่ถึงคนจะโล่งขนาดไหน ก็ไม่อนุญาตให้นำเรือทุกชนิดเข้ามาด้านในเพื่อความปลอดภัย เกิดมีเหตุไม่คาดฝันขึ้นมาจะลำบากทั้งเราเองทั้งคนอื่น ซึ่งเขามีป้ายห้ามอยู่ด้านหน้าชัดเจนนะ แต่ถามว่านักท่องเที่ยวเชื่อมั้ย อ่ะให้ทาย!
แคมป์ริมเล
ปลายทางของวันนี้มันจะจบด้วยความต้องการเดียวของผมในทริปนี้ “แคมป์ริมทะเลบนเกาะสวย ๆ” พวกเราทั้งหมดมุ่งหน้าไปกันต่อที่ “เกาะกระดาน” พร้อมสัมภาระ และอุปกรณ์แคมป์ครบครันที่ผมเตรียมมาอย่างดีไม่มีขาดตกบกพร่องความพร้อมเรื่องแคมป์ บาส Explorers Club มั่นใจได้ไม่มีพลาด แต่ถ้าจะพลาดก็มีอยู่เรื่องเดียวที่ผมนึกไม่ถึงคือจุดจอดเรือมันอยู่ห่างจากจุดที่เราจะแคมป์ เท่ากับว่าเราต้องแบกของเดินกันเหงื่อท่วมกันคนละสองสามรอบกว่าจะขนของหมด ปกติจะเคยชินกับการขนของใส่รถไปจอดที่จุดแคมป์เลยไง แต่นี่ขนของใส่เรือไอ้เราก็ไม่ทันคิดว่าจุดที่เรือจอดกับจุดที่กางเต็นท์มันจะไกลกัน พอเรือจอดบุ๊ปเท่านั้นแหละ! ทุกคนในทริปมองหน้าส่งสายตาเหมือนบอกว่า “เหรอออออ บาส”
ถ้าใครจะมากางเต็นท์แนะนำว่าเอาของมาแต่พอดีก็พออย่าระห่ำแบบผม และหากคุณมาที่เกาะกระดานการเตรียมความพร้อมเรื่องอาหารคือสิ่งจำเป็นอย่างมาก… แต่พวกเราดันลืมสนิทมีเพียงน้ำขวดใหญ่ 4 – 5 ขวดกับ ข้าวเหนียวไก่ทอดสามชิ้น แล้วก็ขนมถุงอีกนิดหน่อย ดูทรงแล้วไม่พอสำหรับ 6 คน แต่ก็ยังดีที่อาหารกลางวันชุดใหญ่บนเกาะมุกยังไม่หมดฤทธิ์
บรรยากาศของการแคมป์ที่เกาะกระดานไม่ทำให้ผมผิดหวังเลยแม้แต่น้อย มันใกล้เคียงกับสิ่งที่ผมคิดไว้มาก น้ำทะเลใส ๆ บนเกาะสวย ๆ แถวที่เราตั้งแคมป์รวมพวกเราแล้วมีเพียงแค่นักท่องเที่ยว 2 กลุ่มเท่านั้น
มิวสิคเฟสติวัลริมทะเล
อย่างว่าโลกนี้ไม่มีอะไรสมหวังไปเสียทุกอย่าง ถึงผมจะได้มาแคมป์ที่เกาะสวยสมใจอยากแต่ก็ใช่ว่าจะได้รับความสงบสุขแบบที่ปราถนา การนอนฟังเสียงคลื่น และสายลมของผมถูกสกัดดาวรุ่งด้วยเพลงนางแมวดังกระหึ่มจากลำโพงตัวเขื่องของนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มที่ตั้งวงกันไม่ห่างเรามากนัก ตอนนี้เกาะในฝันของผมคึกคักไม่ต่างจากงานบิ๊กเมาเท่น ผมได้ฟังพี่โป่ง หิน เหล็ก ไฟ ต่อด้วยพี่ปู พงษ์สิทธิ์ และตามมาติด ๆ ด้วยอาจารย์ไข่ มาลีฮวนน่า และศิลปินหลายท่านวนเวียนผลัดเปลี่ยนกันบรรเลงดนตรีเคล้าเสียงคุยกันเฮฮาสนุกสนั่นเหมือนอยู่บ้าน งานนี้ผมมีทางเลือกสองทาง ทางแรกคือปล่อยวาง ทำจิตใจให้สงบใช้หลักธรรมในวิชาพุทธศาสนาที่เรียนตอนประถมข่มใจ กับทางที่สองคือก็ปรับที่ตัวเราโดยการเดินไปร่วมวงเซิ้งด้วยให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไป…
แต่สุดท้ายห้าทุ่มกว่างานดนตรีก็ปิดวิก ให้ผมเดาถ้าลำโพงไม่แตกก็คนนี่แหละวงแตกหมดสติแยกย้ายกันไปนอน ในที่สุดความสงบก็กลับมาอีกครั้ง “ผมดั้นด้นเดินทางมาไกลขนาดนี้เพื่อมาฟังเสียงของความสงบ” ผมนั่งถ่างตารอโอกาสนี้มาหลายชั่วโมงในที่สุดมันก็มาถึงจนได้
จะว่าไปการเปิดเพลงฟังก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรแต่เปิดเบา ๆ ฟังกันเองในกลุ่มอาจเป็นสิ่งที่ดีกว่า และการคุยเฮฮากันตามประสาเพื่อนฝูงก็เป็นเรื่องปกติถ้าอยู่ในพื้นที่ปิด หรือบ้านตัวเองมิดชิดดังให้เต็มที่ก็ไม่มีใครว่า แต่ในที่สาธารณะการคุยกันเบา ๆ นอกจากเส้นเสียงไม่อักเสบแล้วยังเป็นการเคารพสิทธิ์คนอื่นด้วย “ความสงบคือของสาธารณะ ทุกคนมีสิทธิ์ได้รับความสงบ และไม่ควรมีใครมาทำลายสิทธิ์นั้น”
ท้ท้องฟ้ายามราตรีไม่จำเป็นต้องเห็นดาวเสมอไป
แสงจันทร์สว่างส่องกระทบผิวทะเลมองเห็นริ้วคลื่นระยิบระยับ ความงามของท้องฟ้ายามราตรีไม่จำเป็นต้องเห็นดาวเสมอไป ท่ามกลางแสงสลัวมีบทสนทนาของมิตรสหายเป็นกับแกล้มชั้นดีที่เข้ากันกับบรรยากาศยามนี้ พวกเราจับกลุ่มคุย(ไม่เสียงดังเหมือนอยู่บ้าน) จนเกือบตีสองกว่าถึงจะแยกย้ายตัวมุดเข้าเต็นท์ แต่ผมเลือกนั่งเอนหลังนิ่ง ๆ อยู่บนเก้าอี้มองทะเลอีกสักพักใหญ่ คืนนี้มีลมอ่อน ๆ อากาศสบายกำลังดี เสียงคลื่นทำหน้าที่เป็นเสียง ASMR ในที่สุดเสียงของความสงบก็เปลี่ยนเป็นเสียงกรน…
แสงเช้าคืออีกสิ่งที่ผมเฝ้ารอแล้วก็ไม่ผิดหวัง ท้องฟ้ายามเช้าของฤดูร้อนมันให้ความรู้สึกเหมือนความหวัง นี่คือสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นใหม่พระอาทิตย์ไม่เคยหยุดทำหน้าที่ส่องสว่าง ชีวิตก็เช่นกันต้องดำเนินต่อไปชีวิตยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะ อย่างเช่นการเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างที่ผมบ้าบอขนมาแคมป์ แต่ก่อนจะเก็บของผมขอจิบกาแฟก่อนสักเหยือกสองเหยือก ดูเหมือนการชงกาแฟกินเองมันกลายเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการแคมป์ไปแล้วอย่างแยกไม่ได้ ผมเลือกเสพกาแฟตามสถานการณ์มากกว่า ถ้าไปเดินป่าให้ผมขนอุปกรณ์มาขนาดนี้คงไม่ไหวใช้กาแฟซองอย่างเดียวจะเหมาะกว่า แต่สถานที่แบบนี้มันต้องละเมียด มันต้องพิถีพิถันกันหน่อย ว่าแล้วผมก็ค่อย ๆ หยิบอุปกรณ์ทุกอย่างออกมา จนเพื่อนมันต้องแซวว่า “เรื่องกาแฟมึงพร้อมกว่าเรื่องอาหารอีกเนอะบาส” ผมจัดแจ้งรินกาแฟใส่แก้วยื่นให้มัน ไม่ใช่เพราะน้ำใจหรอก แต่ให้มันหยุดพูดดีกว่า
ตอนนี้อุปกรณ์กาแฟหนัก ๆ ที่อุตส่าขนมามันทำหน้าที่ได้อย่างคุ้มค่าแล้ว วิวข้างหน้ามันทำให้กาแฟอร่อยขึ้นอีก 30% เสียดายที่เราต้องเดินทางไปที่อื่นกันต่อ ถ้าไม่ติดเรื่องเวลาการใช้ชีวิตติดอยู่บนเกาะนี้ไปอีกสักวันสองวันก็เข้าท่า จะได้คุ้มค่ากับของที่แบกมาหน่อย….และเพลงนางแมวก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง แต่ไม่เป็นไรวันนี้ผมกลับแล้วก็ได้แต่อวยพรให้นักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นที่มาที่นี่โชคดีแล้วกัน
เที่ยวจนร้องขอชีวิต
เราออกจากเกาะกระดานเดินทางกลับฝั่งเอาของมาเก็บที่รถ แล้วขึ้นเรือไปที่เกาะลิบงกันต่อ นี่คือการเที่ยวแบบ NON STOP ของแท้ เที่ยวกันในแบบที่ตอนเช้ายังไม่มีใครได้อาบน้ำแปรงฟันสักคน ตอนนี้กลิ่นพวกเราเป็นหนึ่งเดียวกับทะเลไปแล้ว ผมนัดบังแอนไกด์เจ้าถิ่นแห่งเกาะลิบงไว้แล้วล่วงหน้า เราเริ่มต้นทำความรู้จักกับเกาะลิบงด้วยอาหารกลางวันสุดอร่อยกันเป็นอันดับแรก เมนูท้องถิ่นรสชาติจัดจ้านอร่อยแบบตักข้าวกันคนละสามสี่จานราวกับว่าวันนี้พื้นที่ของกระเพาะไม่มีที่ว่างสำหรับอาหารจากที่อื่นแล้ว หลังจากนั้นบังแอนก็จัดหนักให้เราทัวร์แบบไม่ได้พักกันเลยทีเดียว หอชมพะยูน หาดทุ่งหญ้าคา สะพานหิน แค่สามที่นี้ก็เล่นเอาเกือบหมดวันเข้าไปแล้ว รอบนี้ถือเสียว่ามาเซอร์เวย์กันก่อน รอบหน้าจะขอจัดเต็มกว่านี้ ยังมีสถานที่บนเกาะลิบงที่น่าสนใจอีกมาก เราพูดได้เต็มปากได้เลยว่าเที่ยวกันจนเพลีย
บรรยากาศยามพระอาทิตย์ขึ้น และตกที่ลิบงสวยงาม ฟ้าใส ทะเลสวย หาดทรายขาวละเอียด และสะอาด เราอยากแนะนำให้คุณมาเที่ยวที่เกาะลิบงในวันธรรมดา แล้วจะพบว่าเกาะลิบงเป็นของคุณ ผู้คนไม่พลุกพล่านจนเกินไป ถ่ายรูปมุมไหนก็สวย และสิ่งที่ไม่ควรพลาดหากมาเยือนที่เกาะลิบง “อาหารท้องถิ่น” ฝีมือชาวบ้านจากวัตถุดิบสด และอย่าพลาดหิ้วของดีท้องถิ่นอย่าง“เคยหอม” ติดไม้ติดมือกลับไปเป็นของฝาก
ถึงครั้งนี้พวกเราไม่ได้เจอพะยูน และเห็นหญ้าทะเล แต่ก็ทำให้พวกเราได้เห็นถึงความสำคัญของธรรมชาติ และได้เห็นถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับธรรมชาติบริเวณเกาะลิบงที่กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ด้วยตาตัวเอง จนรู้สึกได้เลยว่าเราไม่ควรนิ่งเฉยต่อเรื่องของสิ่งแวดล้อมอีกต่อไป เราได้รู้ถึงอีกมิติของปัญหาจากชาวบ้านในแบบที่ถ้าคุณไม่ได้เดินทางมาด้วยตัวเองจะไม่รู้เลยว่ามันมีอีกหลายอย่างที่โลกโซเชียลไม่ได้พูดถึง อย่างไรก็ตามหากคุณมาที่เกาะลิบงในวันธรรมดาคุณจะได้เห็นความสวยงามในแบบที่แตกต่างออกไปไม่มีผิดหวังรับรองว่าคุ้มค่ากับการมาแน่นอน
เราใช้เวลาช่วงสุดท้ายของทริปนี้ด้วยการเดินเล่นชมเมืองตรัง จะว่าไปการได้เดินเล่นในเมืองแบบนี้ก็เป็นอะไรที่ไม่เลว นอกจากหมูย่าง และติ่มซำในมื้อเช้าแล้ว ยังมีร้านอาหารอร่อยขึ้นชื่อ ร้านกาแฟเจ๋ง ๆ อีกหลายร้าน รวมถึงอาคารบ้านเรือนสวย ๆ บรรยากาศคลาสสิกได้ยุค ถ้าคุณเป็นช่างภาพสายสตรีทต้องกรี๊ดลั่น ผู้คนอัธยาศัยดี การส่งท้ายทริปด้วยการเลือกนอนในเมืองก่อนเดินทางกลับก็ถือว่าไม่เลวทีเดียว
แนะนำ
สำหรับพวกเราการเที่ยววันธรรมดาที่ไม่ใช่วันหยุดมันทำให้เราเข้าถึงพื้นที่นั้นได้มากกว่าปกติ เราสามารถใช้เวลาในแต่ละสถานที่ได้อย่างละเมียดขึ้น แต่ละสถานที่มันดูเป็นธรรมชาติในแบบตัวเองนั่นเป็นสิ่งที่พวกเราชอบมาก ถ้าคุณเป็นคนไม่ชอบคนพลุกพล่าน ก็อยากแนะนำให้คุณมาในวันธรรมดา
ถ้าอยากแคมป์บนเกาะกระดานควรเตรียมอาหารไปให้พร้อมทุกมื้อ ควรขนอุปกรณ์แคมป์ไปแต่พอดีเพราะจุดจอดเรือ และจุดแคมป์ห่างกัน แต่ถ้าไม่ติดว่าต้องเดินหลายรอบอยากถ่ายรูปมาแล้วมีพร็อพสวย ๆ ก็ตามสะดวก มีห้องน้ำส่วนกลางให้บริการแต่ให้ตรวจสอบดูก่อนใช้ว่าน้ำไหลรึเปล่า ถ้าน้ำไม่ไหลให้แจ้งเจ้าหน้าที่ได้เลย มีแต่ห้องน้ำนะครับถ้าจะอาบน้ำมีก๊อกกับสายยางด้านนอกข้างห้องน้ำ ตอนผมไปผมตามหาฝักบัวกับห้องอาบน้ำไม่เจอจริง ๆ มันอาจจะมีก็ได้แต่ผมไม่เจอ ด้วยความที่เป็นวันธรรมดาคนแทบไม่มีเลยไม่ต้องรอคิวอาบน้ำกันนาน และสำคัญสุดอันนี้ซีเรียส ขอร้องครับอย่าเสียงดังกันเลยครับพ่อคุณแม่คุณ
ส่วนบนเกาะลิบงมีที่เที่ยวเยอะ นอนสักสองคืนแล้วออกตระเวนเที่ยวตั้งแต่เช้า และไม่ควรพลาดอาหารท้องถิ่น และอย่าลืมซื้อ “เคยหอม” ของดีลิบงติดไม้ติดมือไปฝากแม่ ท่องเที่ยวเกาะลิบงสามารถติดต่อได้ที่ บังแอน 095-019-5759
เกาะมุกมีที่สวย ๆ หลายที่ เกาะไม่ใหญ่มากเดินทางไปในแต่ละจุดใช้เวลาไม่นาน นอนสักคืน เที่ยวสองวันก็ถือว่าพอ ดี ๆ
และสุดท้าย กลับมานอนที่ตัวเมืองตรังอีกสักคืน มีร้านอาหารอร่อย ๆ หลายร้าน บรรยากาศเมืองคลาสสิก ตึกสวยมุมถ่ายรูปเพียบรวม ๆ แล้วใช้เวลามาเที่ยวตรังสัก 4 – 5 วันจะอิ่มเอมมาก
หากขับรถมาเองถ้าไม่อยากเหนื่อยเกินไปให้เผื่อเวลาแวะนอนแวะเที่ยวกลางทางทั้งขามา และขากลับไม่จำเป็นต้องตะบี้ตะบันขับกันรวดเดียวถึง นั้นเท่ากับว่าคุณต้องมีเวลาเผื่อไปอีก และการมีเพื่อนไปด้วยนั้นยอดเยี่ยม งานนี้ต้องขอบคุณเพื่อนเจ้าถิ่นที่ดูแลอย่างดีแบบทุกระดับประทับใจ รวม ๆ แล้ว “คือดี” มีซ้ำแน่นอน
.