The mountains are calling, and I must go. วลีอันเป็นตำนานของ John Muir นักธรรมชาติวิทยา ผู้อุทิศเวลากว่าชั่วชีวิตเพื่ออนุรักษ์ผืนป่าแห่งเทือกเขา Sierra Nevada ดินแดนที่ได้รับการยกย่องว่างดงามที่สุดแห่งหนึ่งของอเมริกา
ปี 1915 หรือ 1 ปีให้หลังการจากไปอย่างสงบของ John Muir เส้นทางเดินป่าตามรอยเท้าของเขาก็ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้าง แม้ระยะทางที่ทอดยาวบนเทือกเขา Sierra Nevada และความทุรกันดาร จะทำให้การก่อสร้างเต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่ด้วยความร่วมมือจากหลาย ๆ ฝ่ายและการระดมทุนนับครั้งไม่ถ้วน เส้นทางก็ได้แล้วเสร็จในปี 1938 แบกรับชื่อของชายผู้เป็นดังพระบิดาผู้ให้กำเนิดและขนานนามเส้นทางนี้ว่า John Muir Trail (JMT)
JMT มีจุดเริ่มที่ Happy Isles ใน Yosemite National Park ไล่ตามเทือกเขา Sierra Nevada ไปทางทิศใต้เป็นระยะทาง 340 กิโลเมตร (210 ไมล์) พาดผ่านเขตอนุรักษ์ธรรมชาติต่าง ๆ ตั้งแต่ Ansel Adams Wilderness, John Muir Wilderness, Sequoia & Kings Canyon National Parks และ Inyo National Forest แม้ตลอดเส้นทางจะมีทิวทัศน์อันสวยงามรออยู่ แต่การที่จะได้ชื่นชมมันด้วยตาตัวเองนั้น นักเดินป่าจะต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ ทั้งการจัดการทรัพยากรจำเป็นต่าง ๆ การรักษาสภาพร่างกายให้แข็งแรง การต่อสู้กับสภาพจิตใจของตัวเองจากระยะทางที่ยาว แสงแดดอันร้อนระอุในพื้นที่โล่งแจ้ง การข้ามแม่น้ำลำธารที่ไหลเชี่ยวกราก การดันข้าม High Mountain Pass ถึง 7 ครั้ง ก่อนจะสิ้นสุดที่การพิชิต Mt. Whitney (4,421 m / 14,505 feet) ยอดเขาที่สูงที่สุดใน 48 รัฐของอเมริกา
การวางแผนสำหรับ JMT คือหนึ่งในที่สุดของความยุ่งยากในการจัดการการเดินป่าก็ว่าได้ ทั้งเรื่อง ใบอนุญาต (Permit), การวางแผนการเดิน (Itinerary design), การนำทาง (Navigation), การเติมทรัพยากร (Resupply), การเดินทาง (Transportation) และที่พักก่อนและหลังการเดินป่า (Pre & Post Hike accommodation) ที่ทุกอย่างจะผสมปนเปและมีข้อจำกัดต่าง ๆ ส่งผลต่อกันละกันอย่างไม่สิ้นสุด โพสต์นี้ผมเลยอยากจะเขียนเรื่องราวของตัวผมเอง ที่ออกเดินทางเส้นทางนี้เพียงลำพัง ตั้งแต่เริ่มจนจบว่าผมทำมันได้เป็นอย่างไร
ใบอนุญาต (Permit) คือสิ่งสำคัญที่สุดและจะกำหนดแทบทุก ๆ อย่างที่เกี่ยวของกับการเดิน JMT โดยปกติแล้วการพิชิต JMT สามารถทำได้ทั้งแบบเดินลงใต้ Southbound (SoBo) ที่เป็นรูปแบบ Classic ตาม JMT และเดินขึ้นเหนือ Northbound (NoBo) ตามรูปแบบของ Pacific Crest Trail (PCT) อัตราส่วนจำนวนคนเดินระหว่าง SoBo กับ NoBo คือ 20% กับ 80% และทั้งสองทิศทางก็มีการแข่งขันสูงทั้งคู่เพื่อให้ได้มาซึ่ง Permit และที่ยากที่สุดก็คงหนีไม่พ้น Entry Point อันเป็นตำนาน Happy Isles (HI) -> Past LYV (Donohue Pass Eligible) ใน Yosemite National Park โดยการที่จะขอ HI Permit จะเปิดล่วงหน้าในสมัคร Lottery ประมาน 6 เดือน แบ่งเป็นของแต่ละ week เพียง 9 คนต่อวันเท่านั้นที่จะได้รับ award ในเดือนมกราคม 2024
ผมทำการสมัครไปสำหรับวันที่ 23-29 มิถุนายน 2024 และก็ประกาศใน week ต่อมาว่าได้วันที่ 23 มิถุนายน 2024 ผมเลือกไปเดินคนเดียวเพราะอยากทำให้โอกาสสูง และผมเลือกทั้งช่วงเวลาใน week นั้นๆ เลยเพิ่มโอกาสเข้าไปอีก หลังจากได้ HI Permit ผมก็ยกเลิก NoBo Permit ที่ถือไว้ก่อนหน้านั้นประมาน 1 week และเริ่มวางแผนการเดินทางทั้งหมดแบบจริงจัง
การวางแผนการเดิน (Itinerary design) JMT ค่อนข้างมอบอิสระให้แก่นักเดินป่าพอสมควรที่เราจะสามารถแค้มป์นอนจุดใดก็ได้ ตลอดเส้นทาง 340 กิโลเมตร ตั้งแต่ Happy Isle ถึง Whitney Portal แต่อาจจะมีบางช่วงที่มีข้อกำหนดว่าห้ามแค้มป์ เล็ก ๆ น้อย เป็นดีเทลแต่ละเขตก็จะมีป้ายและข้อกำหนดบอกไว้ ซึ่งส่วนมากแล้วก็ไม่ได้กระทบจุดไฮไลต์ต่าง ๆ มากมาย เรียกได้ว่าแทบไม่กระทบเลยก็ว่าได้ สิ่งที่หน้าปวดหัวคือในระยะทางที่ยาวขนาดนี้ควรจะแบ่งเป็นกี่วันและนอนที่ไหนบ้างถึงจะได้วิวสวยงามที่สุด
21 วัน คือเวลามาตรฐานที่นักเดินป่าทั่วไปเดิน JMT จบ ทั้งนี้แผนการเดินทางนอกจากคำนึงถึงระยะทาง Elevation Gain และ Highlight ต่าง ๆ แล้ว ควรออกแบบให้สอดคล้องกับวันที่เราจะ Resupply และวันที่เราจะต้องขึ้นรถประจำทาง ณ ต้นทางและปลายว่ายังบริการอยู่ด้วย นี้คือจุดพักแรมของผมในแต่ละคืนบน JMT
Game Toki’s JMT Itinerary
1.Cloud Rest Junction
2.Sunrise
3.Cathedral Lake
4.Lyell Fork Head Water (Resupply at Tuolumne Meadow)
5.Thousand Island Lake
6.Cecile Lake (High Route)
7.Red’s Meadow Campground (Resupply at Red’s Meadow Resort)
8.Duck Lake Junction
9.Mono Creek Junction
10.Vermillion Campground (Zero Day)
11.Marie Lake
12.South Fork San Joaquin River Bridge (Resupply at Muir Trail Ranch)
13.Evolution Lake
14.Little Pete Meadow
15.Lower Palisade Lake
16.Lake Marjorie
17.Middle Rae Lake
18.Kearsarge Pass Junction
19.Kearsarge Pass Junction (Resupply at Onion Valley)
20.Forester Pass South Approach
21.Guitar Lake
22.Trail Camp
เส้นทางนี้คือเส้นทางที่ผมเดินจริง ๆ และปรับเปลี่ยนหน้างานตลอดเวลาตามระยะทาง สภาพอากาศ และจุดที่ผมสนใจ ในบางวันผมถึงแค้มป์ตั้งแต่เที่ยงหรือบ่ายนิด ๆ แต่เลือกที่จะไม่เดินต่อเพราะเหตุผลหลักคืออยากจะเก็บภาพช่วงพระอาทิตย์ขึ้นและตก ร่วมถึง Side trip ต่าง ๆ โดยเฉพาะช่วง Happy Isle – Muir Trail Ranch ที่มีจุดเติมทรัพยากรเยอะ และไม่จำเป็นต้องรีบ ระหว่างเส้นทางนี้ผมก็แยกไปเดิน High Route จาก Ediza Lake – Minaret Lake ที่ต้องข้าม Slope หิมะด้วย และถ้าพลาดก็จะตกลงไปในทะเลสาบน้ำแข็ง และผมไม่แนะนำให้ใครไปตามทั้งนั้น
การนำทาง (Navigation) สำหรับ JMT สิ่งที่คนนิยมใช้กันมากที่สุดคือมือถือ โดย Application ที่นิยมที่สุดคือ Farout แผนที่ JMT ใน app นี้คือ official ก็ว่าได้ และจะแชร์ข้อมูลต่าง ๆ กับ PCT ตัว app ที่นอกจากจะเป็นตัวบอก พิกัดและเส้นทางแล้วยังบอกถึงจุดสำคัญต่าง ๆ เช่น Campsite, Water source, Alert ต่าง ๆ และทุก Icon จะมี Comment ของคนที่เดินผ่านจุดนั้น ๆ เช่นน้ำยังไหลอยู่ หรือ Campsite ยังมีหิมะอยู่หรือไม่
ส่วนสำคัญที่สุดคือ Alert เนื่องจากระยะทางที่ยาวมันจะมีบางจุดที่เส้นทางพังจากภัยธรรมชาติต่าง ๆ เช่น หิมะที่ตกหนัก น้ำหลาก ในช่วงที่ผมไปก็มีสะพานหนึ่งหักและเป็นสะพานหลัก ถ้าไม่ข้ามสะพานนี้จะต้องอ้อมและเดินเพิ่มเกือบ 50 กม. แต่ใน comment ก็มีคนบอกว่ามีจุดข้ามน้ำที่ปลอดภัยให้เดินเลยไปทางเหนือ จากสะพาน 500 เมตร น้ำจะนิ่งในตอนเช้าและข้ามได้ เป็นต้น
ดังนั้น Farout เลยเป็น app ที่จำเป็นมาก ๆ สำหรับ JMT ไว้อัพเดทข่าวสารต่าง ๆ เวลามีเน็ตและเราสามารถคาดการณ์สิ่งต่าง ๆ ได้จาก Comment จาก Hikers ที่ผ่านจุดนั้นแล้วด้วย
การเติมทรัพยากร (Resupply) คือสิ่งที่ยุ่งยากที่สุดของ JMT ก็ว่าได้ เนื่องจากตลอดเส้นทางจะเป็นพื้นที่ห่างไกล ไม่มี Refugee, Huts และสิ่งอำนวยความสะดวกใด ๆ เลย ดังนั้นอาหารและของอุปโภคต่าง ๆ ต้องทำการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าด้วยตัวคุณเอง โดยจะมีจุดที่สามารถ Resupply ได้หลายจุด
แต่ที่นิยมกันมีทั้งหมด 5 ที่ได้แก่ Tuolumne Meadow (TM, 46km SoBo), Red’s Meadow Resort (RM, 105 km SoBo), Vermillion Valley Resort (VVR, 150 km SoBo), Muir Trail Ranch (MTR, 185km SoBo), และ Onion Valley (OV, 295km SoBo) โดยทุกจุดไม่ได้อยู่บน JMT และจะต้องเดิน off trail เพื่อออกไป Resupply ทุกจุด แต่ละจุด ผู้ให้บริการจะแยกกันอย่างเป็นเอกเทศ ดังนั้นต้องติดต่อแต่ละจุดด้วยตัวเอง TM, RM และ MTR จะเป็นจุดที่ค่อนข้างสะดวกเพราะเดิน off trail ไม่เกิน 2 กม. และมีทางตัดกลับเข้าเทรลได้โดยช่วงที่ skip ก็เป็นป่าที่ไม่มีอะไรของเส้นทาง
สำหรับ VVR อันนี้ถ้าจะจาก JMT ก็ 16 กม. ไปกลับ แต่ก็มีจุดที่สามารถขึ้นเรือ Ferry ที่ล่นระยะเหลือ 2 กม. ไปกลับได้ มีค่าใช้จ่าย $20 จุดสุดท้ายคือ OV ถ้าสังเกตจากระยะ จะเห็นว่า ตั้งแต่ MTR มาถึง Whitney Portal จะไม่มีจุดอื่นอีกเลยซึ่งมันไม่มีจริง ๆ ระยะช่วงนี้คือ 200 กม. การแบกอาหารจำนวน 10 กว่าวันและต้องใส่ทั้งหมดใน Bear Canister จะกล่าวว่าเป็นจุดที่ไม่มีทางเลือกที่สุดก็ว่าได้ การจะ Resupply ที่ OV เราจะต้องใช้เวลา 1 วันเต็ม ๆ เดินไปกลับจาก JMT ข้าม Kearsarge Pass สองรอบกับระยะทาง 24 กม. elevation +- 800 เมตร ถือว่าเป็นจุดที่ลำบากที่สุด แต่จำเป็นที่สุดเช่นกัน
ทั้ง 5 จุดนี้เราสามารถส่งพัสดุที่เป็นของกินเราไปไว้ได้ทั้งหมด แต่ละจุดจะมีค่าบริการไม่เหมือนกัน ตัวผมใช้บริการส่งพัสดุแค่ 2 ที่คือ RM ($40) และ MTR ($95) ค่าใช้จ่ายนี้ไม่รวม ค่าบริหารของ USPS ไปรษณีย์ของอเมริกาที่เราต้องจ่ายด้วย ขึ้นอยู่กับขนาดของพัสดุและน้ำหนัก ส่วน TM และ OV ผมขับรถและนำไปดรอปไว้เองเลยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ก็มาในรูปแบบค่าเช่ารถ ค่าน้ำมันและเวลาแทน แต่ผมก็วางแผนจะขับรถเที่ยวโซนนั้นด้วยอยู่แล้วเลยไม่ได้ติดใจอะไรมาก
ทั้งสองที่จะมี Bear Box เป็นกล่องเหล็กไว้ใส่อาหารสำหรับนักท่องเที่ยว ซึ่งให้เขียนชัดเจนบนพัสดุของว่าจะมา pick up วันไหน เจ้าหน้าที่พบเห็นก็จะไม่เอาทิ้งและปล่อยไว้จนกว่าจะเลยวันที่เขียนไว้ไปพอสมควร ส่วนมากคือเกิน 2 สัปดาห์ เป็นต้นไป ส่วนตัวที่พบคือก็ไม่มีใครมายุ่งกับพัสดุของผมเลย วันที่ไปเอาออกจาก Bear Box ก็อยู่ดีปกติ ทั้งนั้นทั้งนี้มันก็มีวิธีเข้าไป Resupply ในเมืองแบบที่ PCT Hikers หลาย ๆ คนทำ แต่ในส่วนนี้อาจจะต้องศึกษาเอง จุดที่ทำได้ก็น่าจะเป็นจาก RM ไปเมือง Mammoth Lake ที่มีรถ Bus รับส่ง
การเดินทาง (Transportation) สำหรับ JMT แล้ว นี้คือหนึ่งในไม่กี่เส้นทางเดินป่าของอเมริกาที่เราสามารถเดินทางไปกลับจากจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดด้วยรถประจำทางได้ ซึ่งถือว่าแรร์มาก ๆ กับประเทศที่ระบบขนส่งสาธารณะสิ้นชีพไปแล้ว สำหรับการเข้าหรือออกจาก Yosemite National Park มีรถประจำทางที่บริการโดย Yosemite Area Regional Transportation System (YARTS) ในเส้นทาง Merced – Yosemite Valley ตัวเมือง Merced คือเมืองที่ใหญ่ที่สุดที่ใกล้กับ Yosemite มีสนามบินบริการเที่ยวบินจาก San Francisco และก็มี Bus ด้วยเช่นกัน
ในส่วนของปลายทางทิศใต้ Whitney Portal (WP) เมืองที่ใกล้ที่สุดคือ Lone Pine แต่การจะเดินทางออกจาก WP นั้นไม่มีทางอื่นนอกจาก Hitchhike หรือโบกรถนั่นเอง ซึ่งมันไม่ได้ยากเย็นอะไร คนจะมาเดิน Day Hike ในโซนนี้อยู่แล้ว และจะจอดรถที่ปากทาง WP และทางออกจาก WP ก็เป็นถนนเส้นเดียวไปออกที่ Lone Pine ถ้าออกไปช่วงเวลาเย็น ๆ สัก 4-5 โมง ยืนโบกไม่นานก็มีคนใจดีพร้อมไปส่งแน่นอน
ในส่วนของการเดินทางไปและกลับจาก Lone Pine สามารถนั่งรถ Bus ของ Eastern Sierra Transit Authority (ESTA) บริการเส้นทาง Lone Pine – Lancaster (เมืองทางตอนบนของ Los Angeles) Bus จะส่งและรับผู้โดยสารที่สถานี Metro Link เชื่อมต่อกับสนามบิน LAX นั้นเอง ทั้งหมดนี้จะต้องเดินทางหลายต่อแต่ก็มีบริการรองรับ ไม่จำเป็นต้องเช่ารถก็สามารถเดินทางได้
ที่พักก่อนและหลังการเดินป่า (Pre & Post Hike accommodation) ทั้ง Merced และ Lone Pine ต่างก็มีโรงแรมและ Motel ราคาถูก ๆ ไปจนถึงแพง ๆ อันนี้ก็ตามแต่สะดวกว่าจะเลือกอันไหน การเดินทางในเมือง Merced สามารถกดเรียก Uber ได้ และเมื่อเข้าไปใน Yosemite ด้วย YARTS แล้ว Permit Holder และสมาชิกสามารถพักที่ Backpacker Campground ได้ 1 คืนก่อนวันเริ่มเดินทางโดยมีค่าบริการ $8 ต่อคน และแคมป์จะอยู่ห่างแต่ก็ไม่ห่างมากจาก HI ก็ตื่นเช้าและเริ่มเดินได้เลย ในส่วนของ Lone Pine ผมพักที่ Trail Motel เพราะมีเครื่องซักผ้าและใกล้กับจุดขึ้นรถ
John Muir Trail คือเส้นทางเดินป่า ที่ผมมักจะแนะนำให้ใครหลาย ๆ คน ที่อยากจะมาเดินป่าอเมริกาสักครั้ง ว่าถ้าเลือกได้หนึ่งเส้นทางว่าควรจะเดินเส้นไหนดี ก็ควรเป็นที่นี้ละ ส่วนตัวนี้คือเส้นทางที่สวยที่สุดในอเมริกาที่ผมได้เดินมาและก็เป็นเส้นทางที่มีอะไรหลาย ๆ อย่างต้องจัดการมากที่สุดเช่นกัน
เส้นทางนี้ที่นอกจากจะมอบความสวยงามให้ชื่นชมแล้ว ยังมอบทั้งความลำบาก ความปวดหัว ความวิตกกังวลต่าง ๆ จากปัจจัยทั้งหมดที่ผมได้กล่าวไปในแต่ละหัวข้อ ซึ่งนี้ละคือรสชาติของการเดินป่าในประเทศเสรีชน ที่ทุกคนต้องพึ่งตัวเอง ไม่มีบริการใดที่จะมอบความสะดวกสบายให้ ไม่มีไกด์ ไม่มีคนนำทาง ไม่มีลูกหาบ ไม่มีที่พักระหว่างทาง ไม่มีร้านค้าใด ๆ มอบประสบการณ์การสุดขั่วแก่ผู้มาเยือนแบบของจริง ดังคำกล่าวที่ว่า In the wilderness, you are on your own out there. ซึ่งถ้าคุณเดินเส้นนี้ได้ด้วยตัวคุณเอง มันก็ยังมีเส้นอื่นที่ยากกว่านี้ในประเทศนี้รอคุณอยู่ครับไม่ต้องห่วง
ส่วนตัวนี้น่าจะง่ายสุดแล้วในเรื่องการนำทาง หวังว่าคุณจะเป็นคนไทยคนต่อไปที่พิชิตเส้นทางนี้
Happy Trails
Sierra Nevada : Solo Thru-Hike John Muir Trail (Southbound)
Location : Yosemite National Park, Ansel Adams Wilderness, John Muir Wilderness, Sequoia & Kings Canyon National Parks, Inyo National Forest
Footage date : June – July 2024
Hiking Level : Strenuous
Duration : 2-4 weeks (depend on your hiking style)
Distance : 338km/211miles
Elevation Gain : 14,000 m
AllTrail : https://www.alltrails.com/explore/trail/us/california/john-muir-trail–6?u=m
Best time to Travel : Late June – Early Sep
Trailhead : Happy Isles->Past LYV (Donohue Pass Eligible)
Permit : Required and extremely competitive
EXPLORER / AUTHOR / PHOTOGRAPHER: เกม-ธนากร อุทัย (Gametoki)