เรื่องราวจากผู้อ่านที่อยากเล่าประสบการณ์ ‘ความทุลักทุเล’ ที่ ดอยทูเล เส้นทางเดินป่าที่สอนให้ นฤเดช ทิมปา ผู้นิยามตัวเองว่า นักเดินป่ามือสมัครเล่น (และอ่อนหัด) ได้เข้าใจคำว่า การมาเที่ยวป่า คือการใช้ชีวิตให้เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ อย่างลึกซึ้ง
ผมพยายามหาเหตุผลให้ตัวเองทุกครั้ง เวลาที่จะออกเดินป่าที่ไหนสักแห่ง เพื่อที่จะนำมาเป็นข้ออ้างทางความคิดในการตัดสินใจ ว่าควรไป หรือไม่ควรไปอยู่เสมอ แต่หลักหนึ่งของการตัดสินของผมมักจะมีคำว่า “อยากไป” เป็นแกนหลักของความคิด และมักจะถูกเบรกด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานาทุกครั้ง จนอดคิดไม่ได้ว่า อะไรเป็นปัจจัยหลักในการออกเดินป่าของเรากันแน่ บางครั้งผมก็อยากที่จะเป็นคนไม่ต้องมีเหตุผลบ้างก็ได้ ถ้าเราอยากไป อยากเดินป่า เมื่อการต่อสู้ภายในจิตใจเรียบร้อย ก็ได้ข้อสรุปว่า “ไปเถอะ ไปเที่ยวเถอะ ไปเดินป่า ในป่าที่อยากไป” ที่สุดแล้ว ผมตัดสินใจมาเดินป่าครับ แต่การตัดสินใจมาเดินป่าครั้งนี้มันอยู่บนพื้นฐานของความไม่พร้อมหลาย ๆ อย่าง แต่อยากลองทั้ง ๆ ที่ไม่พร้อม เพราะคำว่า “อยากเดิน” กับ “ดอยทูเล” มันยั่วยวนมาก
ดอยทูเล
ดอยทูเล ตั้งอยู่ในอำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก เป็นยอดเขาที่สูงจากระดับทะเล 1,350 เมตร และมีชื่อเรียกในภาษากะเหรี่ยงว่า “ทูเลโค๊ะ” หมายถึง ภูเขาสีทอง เพราะในช่วงหน้าหนาว ป่าหญ้าบนยอดดอยจะเปลี่ยนเป็นสีทองอร่าม ดอยทูเลจึงกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักเดินป่าที่ต้องการสัมผัสความงดงามของธรรมชาติ
ทำไมถึงต้องเป็น “ทุลักทุเล ที่ทูเล”
เพราะการเดินทางครั้งนี้ของผมมันทุลักทุเลของจริง จากที่เกริ่นไว้ตอนต้นถึงความไม่พร้อม ตั้งแต่ตอนตัดสินใจ มาไม่มาแล้ว ยังเป็นเรื่องของอุปกรณ์ที่ใช้ในการเดินป่า อย่างรองเท้าเดินป่า ไหนจะเรื่องของสภาพร่างกายอีก
หลังจากหายหน้าหายตาไปจากวงการเดินป่าไปสักระยะหนึ่ง จะว่าทริปนี้เป็นโอกาสดีที่มีที่ว่างพอดีก็ได้ เลยไม่ต้องคิดอะไรมากที่จะจองมา แต่พอจองแล้วก็ติดอีตรงที่ตัดสินใจว่าจะมาจริง ๆ เหรอ เอาเถอะเมื่อจองแล้ว ตัดสินใจแล้ว หาเหตุผลต่าง ๆ แล้ว ผมก็กลับมาอีกครั้งในทริปทูเล ดอยที่สูงที่สุดในจังหวัดตาก ที่ถูกเรียกว่าภูเขาสีทอง
เส้นทางที่เดิน ผมเดินขึ้นทาง คลุยหลวง – จอวาเล – ทูเล ผมนั้นยังจัดว่าเป็นนักเดินป่ามือสมัครเล่นและอ่อนหัดมาก การเดินป่าผ่านภูเขาสองลูก ใช้เวลา 3 วัน 2 คืน และเป็นครั้งแรกที่ใช้เวลานานแบบนี้ ความไม่พร้อมก่อให้เกิดความกังวล คือ อาหารและน้ำที่แบกไปเองจะพอกินไหม และเมื่อเตรียมของทุกอย่างจัดลงเป้ น้ำหนักอยู่ที่ 15-16 กิโลกรัม เป็นการแบกหนักครั้งแรก บอกเลยว่า หนักกว่าที่คิด ไหน ๆ ก็ตัดสินใจแล้วก็ได้แต่เตรียมใจให้พร้อม ไม่อย่างนั้นแล้วเดี๋ยวเราจะไม่สนุก และถ้าพร้อมแล้วเราไปแบบทุลักทุเลตามชื่อเรื่องเลยครับ
1
วันแรกคือการเดินจากคลุยหลวงไปจอวาเล ระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร แค่ 50 เมตรแรกก็ทำให้ใจตกไปอยู่ตาตุ่ม คิดในใจ โอโห้ แค่มองยอด ขาก็พับแล้ว ทางชันตั้งแต่เริ่มต้นคงไม่ต้องถามถึงทางต่อจากนี้ ผมเริ่มเดินตอนเที่ยงครับ โชคดีที่มีลมช่วยให้ไม่ร้อนมากนัก แต่ความเหนื่อยก็ยังคงอยู่กับเราตลอดทาง สองข้างทางเดินเราจะเห็นวิวเทือกเขาที่ซ้อนทับกัน ไม่ว่าภาพที่ผมเห็นจะสวยแค่ไหน ในใจก็ยังคงคิดว่าเมื่อไรจะถึงแค้มป์สักที เพราะตอนมาเดินก็ไม่เคยศึกษาว่าทูเลเดินยากไหม ระหว่างทางเดินก็ไม่มีป้ายบอก เจอป้ายอีกทีก็ถึง 3 แยกจอวาเลและทูเล ถ้าถามว่าเส้นทางเดินป่าที่นี่ยากไหม ผมตอบตรงนี้เลยนะครับ “ยากมาก” สำหรับมือใหม่ เพราะแค่เริ่มก็ทั้งชันทั้งสูง เดินลงสลับขึ้นจนตาลอยตาเหลือก
เดินขึ้นว่าเหนื่อยแล้ว พอหยุดพักนาน ๆ ก็รู้สึกง่วง เพราะอากาศเย็นน่านอน ยิ่งมาเจอกับลมเย็นเหมือนจะหลับเลย ดูเวลาก็เกือบ 5 โมง ตัดสินใจเดินต่อ แอบรู้สึกไปเองว่าเดินป่าตอนเย็นก็น่ากลัวเหมือนกันนะ เพราะมีคนเคยเล่าว่าเส้นทางนี้เคยมีคนเสียชีวิตที่นี่ด้วย นั้นแหละครับเป็นเหตุผลที่ทำให้เดินเร็วขึ้น เพราะความกลัวทำให้เดินมาถึงจุดตั้งแค้มป์ 6 โมงเย็น ก็ถือว่าไม่แย่เกินไปนักสำหรับมือใหม่อย่างเรา ยังทันชมแสงสุดท้ายของวัน ณ ดอยจอวาเล
2
เช้าวันต่อมาตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อมาดูดวงอาทิตย์ขึ้น แถมด้วยทะเลหมอกไหล ๆ ที่จุดชมวิว ทั้ง ๆ ที่เป็นดวงอาทิตย์เดียวกัน ทำไมการเดินทางไกลมาดูตรงนี้มันถึงงดงามก็ไม่รู้
เราผ่านค่ำคืนที่หนาวเย็นบนยอดดอยจอวาเล ผสมความเหนื่อยล้าของการเดินวันแรก ทำให้เช้าวันนี้สดชื่นขึ้นกว่าที่เคยเหมือนร่างกายจะปรับตัวได้ ก่อนเดินทางมาที่นี่ ผมได้ยินพ่อของเพื่อนสนิทท่านบอกว่าสมัยนี้นักท่องเที่ยว เที่ยวไม่เป็น ขี้ไม่เป็น ผมก็งงท่านจะสื่ออะไร จนมาพบกับตัวเองคือที่จอวาเลไม่มีห้องน้ำ
ถ้าคุณจะขี้ต้องขุดเท่านั้น คนไม่รู้ก็จะขี้เรี่ยราด แต่ถ้าคนเที่ยวเป็นขี้เป็นเขาจะเตรียมพลั่วเล็ก ๆ สำหรับขุดหลุมขี้ ให้ลึกประมาณ 8 นิ้ว และกระดาษที่ใช้ก็ต้องเป็นกระดาษทิชชู่แบบที่ไม่ใช่กระดาษเปียกนะครับ เพราะมันย่อยสลายยาก และจากประสบการณ์นี้ต้องยกความดีความชอบให้กับคุณพ่อของเพื่อนสนิทที่ท่านกรุณาให้ยืมพลั่วมาในทริปนี้ด้วยนะครับ
หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จสรรพ เราก็เดินทางกันต่อ ไปยังจุดตั้งแค้มป์ทูเล ระยะทาง 5 กิโลเมตร เส้นทางเดินก็ขึ้นลงเขาตามปกติ แต่ที่ทำให้เหนื่อยกว่าเดินก็คือแดดแรงมากครับ ตลอดทางเดิน 4 กิโลเมตรที่เหลือ คือไม่มีต้นไม้ปกคลุมเลย เดินกลางแดดร้อน ๆ นี่แหละคือเหตุผลว่าทำไมเราต้องศึกษาเส้นทางก่อนออกมาเดินป่า
ถ้าเรารู้ว่าวันนี้จะเดินท่ามกลางเปลวแดดที่มีภูมิประเทศแบบไม่มีต้นไม้ปกคลุมเราจะต้องเตรียมอะไรมาบ้าง อย่างถุงน้ำที่บรรจุอยู่ในเป้ที่ช่วยให้เราจิบน้ำได้สะดวก หรือเจลให้พลังงาน แต่ก็โชคดีที่ว่า วันนี้ระยะทางเดินไม่ไกล และใช้เวลาไม่นานมากแค่ 3 ชั่วโมงก็ถึงที่ตั้งแค้มป์แล้ว
ที่ดอยทูเลมีห้องน้ำและมีที่อาบน้ำ น้ำไหลตลอดเวลาเพราะมีน้ำตก ช่วงที่ผมไปมันช่วงหมดฝน น้ำเลยน้อย ไม่สามารถเล่นได้ พอหายเหนื่อยก็มองหาพื้นที่กางเต็นท์ มีหลายคนเคยพูดนะครับว่า เวลาเดินป่า แล้วมีแหล่งน้ำให้อาบน้ำได้ถือว่าวิเศษสุด ๆ เมื่อกางเต็นท์เสร็จผมรีบไปอาบน้ำ และความรู้สึกที่ได้อาบน้ำเหมือนสวรรค์ของนักเดินป่าจริง ๆ ครับ มันสดชื่นมาก
กิจกรรมอย่างหนึ่งของคนที่ชอบเดินป่าคือการได้นั่งดูดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ไม่ว่าจะลับขอบฟ้าหรือโผล่พ้นขอบฟ้า สำหรับผม ผมว่ามันเป็นดวงอาทิตย์ที่สวยกว่าในเมือง เพราะในป่าแบบนี้มันแลกมาด้วยหยาดเหงื่อ และความมุ่งมั่น และผมมักจะทิ้งเวลาอยู่กับการนั่งมองแสงธรรมชาติแบบนี้ได้นานเท่านานจนมีคนมาตามให้ไปกินข้าว
3
เช้าวันสุดท้ายของทริป ทะเลหมอกที่ค่อย ๆ ไหลตามร่องเขา แสงจากดวงอาทิตย์ทำให้ผมเห็นวิวรอบข้างได้ชัดขึ้น และก็ไม่พลาดที่จะเก็บภาพมาฝากคุณผู้อ่าน อย่างน้อยถ้าคุณถูกใจและอยากมาสัมผัสธรรมชาติแบบนี้ด้วยตาตัวเองบ้าง และก็จะเป็นแบบนี้ทุกครั้งไปในการเดินทาง เวลาของวันสุดท้ายมักจะผ่านไปเร็วอย่างน่าใจหาย ร่างกายเพิ่งปรับตัวได้ก็มีอันต้องลาจากกันซะแล้ว
การเดินขึ้นดอยว่ายากแล้ว การเดินลงดอยยิ่งยากกว่า เพราะจะต้องคอยระวังหัวเข่า ข้อเท้า เป็นพิเศษที่สำคัญต้องมีตัวช่วยคือไม้เท้าเดินป่า ซึ่งผมไม่มี นี่แหละถึงบอกว่าไม่พร้อม ไม่เตรียม บวกกับความห้าว วิ่งลงเขา สุดท้ายข้อเท้าพลิก สมน้ำหน้าตัวเองจริง ๆ
ไม่ว่าจะเดินขึ้นเขาหรือเดินลงเขา ในทุก ๆ ทริปสำหรับผมนั้น มันทำให้ผมได้อยู่กับตัวเอง ได้คิดไตร่ตรอง มีสติ ถึงแม้นว่าขาลงวันนี้ผมจะขาดสติก็เถอะ อย่างน้อยมันก็ทำให้การเดินทางป่าครั้งต่อไปสำหรับผม ๆ น่าจะเที่ยวเป็น ขี้เป็นมากกว่านี้ และอาจแนะนำคนอื่นได้บ้างถ้าเขาเชื่อผมนะ
สำหรับใครอยากหาความท้าท้ายให้ลองมาขึ้นทางทูเลสักครั้ง แต่ต้องเดินดี ๆ นะไม่งั้นจะขาพลิกแบบผมได้ เส้นทางนี้เดินสนุกครับ เดินลงใช้เวลา 3-4 ชั่วโมงก็ถึงหมู่บ้าน จุดนี้ก็นับว่าเป็นไฮไลต์ของทริปเพราะเราจะได้พบกับร้านค้า ไม่ว่าจะหยิบจับกินอะไรในร้านผมเชื่อว่ามันเป็นมื้อที่อร่อยและมีความสุขอีกมื้อหนึ่งในชีวิตครับ
จบทริป
ประโยคที่ว่า “การมาเที่ยวป่าคือการใช้ชีวิตให้เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ” นั้นช่างจริงแท้และลึกซึ้ง การมาเที่ยวป่าครั้งนี้ทำให้ผมเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ การใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติที่ปราศจากสิ่งอำนวยความสะดวกสบายใด ๆ ทำให้เราต้องปรับตัว เรียนรู้ และอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน
การกินอาหารที่เรียบง่าย นอนใต้แสงดาว ขับถ่ายในป่า ทุกๆ กิจวัตรล้วนเป็นไปอย่างเรียบง่าย ค่อยเป็นค่อยไป การเดินทางครั้งนี้สอนให้ผมรู้ว่า การท่องเที่ยวไม่มีรูปแบบที่ตายตัว ไม่มีคำว่า “ถูก” หรือ “ผิด” มีเพียงการเรียนรู้ ปรับตัว และเปิดใจรับประสบการณ์ใหม่ ๆ ความงามของธรรมชาติจะคงอยู่คู่กับมนุษย์ไปอีกนานแค่ไหน ขึ้นอยู่กับพวกเรา การรักษาความสะอาด ดูแลรักษาป่าแห่งนี้จะเป็นการส่งต่อความงดงามนี้ให้กับคนรุ่นต่อไป
รักษาความสะอาดของดอยทูเล ให้เป็นความงดงามของจังหวัดตากไปอีกนาน ๆ นะครับ
EXPLORER: นฤเดช ทิมปา