Christopher James Russell ช่างก่อสร้างหนุ่มชาวอังกฤษ ใช้ชีวิตเรียบง่าย ชอบความท้าทาย และมีความตั้งใจ “วิ่งจากแม่สายไปเบตง” คนเดียว!
ผมพบเจอเรื่องราวของ Chris Russell จากสื่อออนไลน์ ตอนนั้นอีกไม่กี่กิโลเมตร เขาก็จะวิ่งถึงเบตงแล้ว ด้วยเพราะตัวผมเป็นคนที่ชอบวิ่งอยู่แล้ว เวลามีเรื่องราวเกี่ยวกับใครคนหนึ่งออกมาวิ่ง หรือมาทำภารกิจเกี่ยวกับการวิ่ง ผมมักจะสนใจเสมอ และ Chris ก็คือหนึ่งในคนนั้นที่ผมทราบข่าวและสนใจ จากนั้นผมก็เฝ้าติดตามเขาวิ่งผ่านเฟซบุ๊กเรื่อยมาจนเขาใกล้ถึงจุดหมาย บทสนทนาแรกเริ่มจากตรงนั้น ผมทักเขาไปทางอินบ็อกซ์เพื่อแนะนำตัวเองและบอกถึงวัตถุประสงค์ที่ติดต่อไป
ไม่นาน Chris ตอบรับคำชวนของผมหลังจากหายปวดเมื่อยจากการวิ่ง เราคุยกันอยู่หลายวัน ข้อดีของการคุยกันทางอินบ็อกซ์ระหว่างผมกับเขา เหมือนได้ละลายพฤติกรรมกันอย่างไม่รู้ตัว จนกระทั่งเราได้นัดแนะกันถึงสถานที่ที่จะพบปะพูดคุยกัน โดยระหว่างที่คุยกันนั้น เขากำลังอยากได้กีตาร์สักตัวในงบประมาณที่ไม่สูงเกินไปนัก ผมจึงส่งชื่อร้านและพิกัดไปให้ ระหว่างรอวันที่จะได้มาพบกันเพื่อสัมภาษณ์
จากคำทักทายในตอนแรกทางอินบ็อกซ์เพื่อนัดหมาย กลายมาเป็นบทสนทนาที่ว่าด้วยเรื่องเพลง ดนตรีและการวิ่ง ซึ่งเป็นความชอบส่วนตัวอยู่แล้ว เพื่อน ๆ ต่างชาติที่ผ่านเข้ามาในชีวิตน้อยนักจะคุยกันเรื่องเพลงและดนตรี ท้ายที่สุดเราแนะนำเพลงส่งให้กันฟัง และชวนกันไปวิ่ง ซึ่งเราตั้งใจไว้แล้วว่าจะไปวิ่งด้วยกันสักครั้ง นี่เป็นเพียงบทเริ่มต้นระหว่างผมกับ Chris ที่คุยกันนอกรอบ แต่ในรอบเราคุยเรื่องวิ่งของ Chris Russell อย่างเดียว
จากช่างก่อสร้างสู่การผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่
“ผมมาจากอังกฤษครับเกิดที่เมืองเพรสตัน ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับเมืองแมนเชสเตอร์ เมืองเล็ก ๆ ที่ไม่ดัง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นเมืองที่ค่อนข้างน่ารักนะครับ
“ผมทำงานก่อสร้างครับ เป็นงานที่ต้องอยู่ข้างนอกผมว่าเหมาะกับผมมาก ส่วนตัวแล้วผมชอบใช้ชีวิตกลางแจ้งมากกว่าอยู่ในอาคาร งานที่ผมทำเป็นงานที่ค่อนข้างแอ๊คทีฟ และท้าทายอยู่ตลอดเวลา ผมทำงานกับเพื่อน ก็ทำด้วยกันมาตลอด อีกอย่างเป็นบริษัทของพ่อเขาด้วยครับ ส่วนใหญ่ก็สร้างปั๊มน้ำมัน ชีวิตผมก็ไม่มีอะไรโดดเด่นหรอกครับ แค่คน ๆ หนึ่งที่เรียนจบ ทำงาน พักผ่อนด้วยการวิ่งออกกำลังกาย และฟังเพลง นี่อีกเดือนกว่า ๆ ก็ต้องกลับไปทำงานแล้วครับ”
เมืองไทยไม่ใช่ครั้งแรก
“ใช่ครับไม่ใช่ครั้งแรก ผมมาที่นี่หลายครั้งแล้วครับ ครั้งแรกน่าจะเป็นช่วง 9-10 ขวบ ไม่แน่ใจ จำไม่ได้นานมากแล้ว หลังจากนั้นก็กลับมาเรื่อย ๆ ครับ ภรรยาของพ่อผมเป็นคนไทยอยู่ที่จังหวัดขอนแก่น เลยดูเหมือนว่าผมมีบ้านมีครอบครัวที่เมืองไทยอีกแห่งหนึ่ง มีช่วงหนึ่งที่พาปู่ย่าของผมมาเที่ยวที่นี่ด้วย รู้สึกถึงความผูกพันครับ ก็เลยได้กลับมาตลอด ผมรักที่นี่นะ รักจนทำให้ผมอยากเรียนรู้ภาษาไทยบ้างแล้วสิครับ จะมีใครสอนผมไหมเนี่ย”
เพราะรักการวิ่ง
“มันอยู่ในสายเลือดเลย เหมือนใครหลาย ๆ คนที่ชอบวิ่ง จะรู้สึกขาดอะไรไป ถ้าไม่ได้วิ่ง ตอนอยู่ที่บ้านผมวิ่งทุกวัน แล้ววิ่งเยอะมาก วิ่งจนติด ฉะนั้นพอเวลาเราเดินทางไปที่ไหนก็มักจะหาโอกาสให้ตัวเองได้วิ่งเสมอ ๆ ครับ ส่วนที่ประเทศไทย ไม่ต้องถามเลย ผมอยากมาวิ่งมาก และอยากวิ่งในทุก ๆ ที่ด้วยซ้ำ ผมเคยไปลงวิ่งเทรลครั้งหนึ่งที่ “เขาสวนกวาง” แถว ๆ จังหวัดขอนแก่นครับ น่าจะช่วงเมษายนปีที่แล้ว ซึ่งเป็นเทรลแรกในประเทศไทย ผมมีความสุข และรู้สึกดีนะครับ ทุกวันนี้พยายามมองหางานวิ่งตลอด ทำให้ผมได้ใช้เวลามากขึ้นในประเทศไทย จากการวิ่งนี่แหละเลยเถิดไปเป็นไอเดียที่จะวิ่งตามความยาวของประเทศไทย แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหน เพราะเป็นต่างชาติ ไม่มีเพื่อน ไม่มีคนรู้จักมากพอที่จะก่อเกิดกิจกรรมแบบนี้ได้ ก็ลองเขียนรายละเอียด และหาข้อมูลเส้นทางเพิ่มเติม เพื่อความชอบของตัวเองขึ้นมา อีกอย่างมันเป็นการท้าทายตัวผมเองด้วย”
จากวิ่งเล่น กลายมาเป็นวิ่งเพื่อระดมเงินช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาส
“เหตุผลหลัก ๆ เลยของการวิ่งครั้งนี้ คือ “ผมอยากจะท้าทายตัวเอง” เหตุผลข้อเดียวเลย คืออยากรู้ว่าเราจะทำได้ไหม ร่างกายจะไหวหรือเปล่า มันยิ่งใหญ่มากนะครับสำหรับคน ๆ หนึ่งที่วิ่งคนเดียว ส่วนไอเดียการวิ่งระดมทุนเพื่อการกุศลนี้มาทีหลังครับ จำได้ว่าคุยกับเพื่อนคนหนึ่ง และเพื่อนบอกว่าเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ และคิดว่าน่าจะระดมเงินได้มาก และเป็นการวิ่งในประเทศไทย ซึ่งผมเองก็ได้ใช้เวลาที่นี่เยอะเหมือนกัน ผมมองว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ตอบแทนอะไรบางอย่างให้ประเทศไทย แคมเปญนี้จึงเกิดขึ้นครับ ‘แม่สาย – เบตง 2121 กิโลเมตร’
“ส่วนเงินบริจาคที่ได้มาจะส่งมอบให้กับใครนั้น ก็ไม่ง่ายนะที่จะหาโรงเรียนผู้รับมอบในตอนแรก โชคดีที่เพื่อนของผมคนหนึ่งเป็นอาจารย์ สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น รู้จักกันจากการปีนเขา เขาได้แนะนำโรงเรียนมาให้ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ช่วยเหลือเด็กออทิสติกและเด็กที่มีความบกพร่องทางจิต พวกผมก็เลยไปเยี่ยมชมที่นั่นในเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นโรงเรียนดี ดำเนินการโดยผู้หญิงจิตใจดีคนหนึ่งซึ่งขอไม่เอ่ยนาม และยังมีโอกาสไปเยี่ยมโรงเรียนอื่น ๆ อีก แถบชนบทของขอนแก่น เป็นสถานที่สำหรับเด็ก ๆ ที่เป็นออทิสติก มีความบกพร่องทางสมองและร่างกาย ซึ่งเงินทั้งหมดที่ได้รับมาจากการระดมทุนครั้งนี้จะถูกส่งไปให้พวกเขาโดยตรงเลยครับ”
ประเทศไทยอันตรายสำหรับการวิ่ง
“จริงครับ ผมว่าการจราจรไม่ค่อยปลอดภัยครับ เป็นปัญหาที่มีทุกประเทศครับ ผมเข้าใจได้ว่าค่อนข้างจะเสี่ยงกับถนน และการจราจรครับ ทุกครั้งที่ผมออกไปวิ่งผมจะคิดเสมอไปเองเสมอว่า รถมอเตอร์ไซค์ หรือแม้แต่รถบรรทุก เห็นว่ามีคนวิ่งอยู่ พวกเขาก็จะระวังกันมากขึ้นเวลาขับครับ แต่พวกเขาจะเห็นหรือไม่นี่ไม่รู้แล้วครับ
“ถึงแม้ว่าถนนเมืองไทยอาจจะดูไม่ปลอดภัย แต่คนไทยเฟรนด์ลี่มากนะครับ ผมรู้สึกปลอดภัยจริง ๆ เรื่องคน แต่กังวลเรื่องรถ โดยเฉพาะตอนที่ผมวิ่งในกรุงเทพฯ ผมว่ารู้สึกอันตรายนิดหน่อย แต่โดยรวมแล้วก็ผ่านมาได้ ไม่ได้กลัวอะไรเลยครับ ผมว่าคนไทยน่ารักครับ อ่อ! ปัญหาอย่างหนึ่งอาจจะเป็นพวกหมาครับ หมานี่เป็นปัญหาจริง ๆ ในการวิ่งครั้งนี้ครับ (หัวเราะ)”
วางแผนก่อนวิ่ง
“ผมเริ่มจากเขียนชื่อเมือง และสถานที่ต่าง ๆ ตามเส้นทาง วางแผนตามระยะทางครับ แต่เอาจริง ๆ ผมไม่ได้วางแผนละเอียดขนาดนั้นครับ ทั้งหมดผมรู้แค่ว่าจุดเริ่มต้นคือแม่สาย และจุดสุดท้ายคืออำเภอเบตง จังหวัดยะลา แค่นั้นเลยครับ ผมต้องเริ่มจากตรงนี้และจบตรงนี้ ผมคิดว่าแค่ชอบการวิ่งผมเลยไม่ได้วางแผนอะไรมากครับ รู้แค่ว่าผมอยากจะวิ่งให้จบภายในกี่วัน ผมรู้ว่าระยะทางมันคือเท่าไหร่ ผมเลยคำนวณไว้ว่าแต่ละวันต้องวิ่งเท่าไหร่ ผมรู้ว่าระยะทางจากแม่สายถึงเบตง ประมาณ 2,100 กิโลเมตร ทำให้ผมรู้ว่าทุกวันผมต้องวิ่งโดยเฉลี่ย วันละประมาณ 42 กิโลเมตร บางวันอาจจะมากถึง 60 กิโลเมตร บางวัน 50 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับที่พักด้วยครับ ถ้าวันไหนต้องวิ่งถึง 60 กิโลเมตร ก็เป็นเพราะที่พักนี่แหละครับ วิ่งหาที่พัก”
อุปสรรคและการก้าวผ่าน
“อุปสรรคใหญ่เลยผมว่าเป็นพวกหมานะ พวกหมาจรนี่เป็นเรียกว่าเป็นปัญหาได้เลย บางตัวมันก็ไม่ได้จะกัดนะครับ สิ่งที่ผมต้องทำเวลาที่เจอหมาก็คือต้องช้าลงเดินบ้าง เพราะถ้าผมวิ่งต่อมันจะยิ่งไล่ตามครับ ส่วนหมาบางตัวก็เป็นมิตรครับ บางตัวก็ไม่เป็นมิตรเลยครับ บางตัวน่ากลัวมาก ๆ ผมจำได้มีครั้งหนึ่งที่ต้องเผชิญหน้ากับหมาที่น่ากลัวพวกนั้น แต่พวกมันไม่กัดนะครับ ส่วนอุปสรรคในช่วงวันแรก ๆ ของการวิ่งคือตอนที่ผมได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เส้นเอ็นที่ข้อเท้าผมอักเสบ แล้วก็อาการบาดเจ็บที่ต้นขาช่วงที่ใกล้ ๆ ถึงกรุงเทพฯ แล้วครับ ส่วนในครึ่งหลังของการวิ่งจากหัวหินถึงเบตง ผมพยายามหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บต่าง ๆ เช่น ช่วงไหนควรเดิน ควรเร่ง เพราะในเส้นทางจะมีเนิน มีทางลาด ถ้าเราดันทุรังก็จะบาดเจ็บซ้ำเอาได้ โชคดีที่ร่างกายผมค่อนข้างจะฟื้นตัวเร็วด้วย มันเลยเหมือนไม่เจ็บมาก”
วิ่งคนเดียวลุยเดี่ยวถึงเบตง
“ระยะวิ่งช่วงหลังตั้งแต่หัวหินถึงเบตง ผมวิ่งคนเดียวครับ แต่ในช่วงครึ่งแรก ผมมีแค่คุณพ่อครับ พ่อผมขับรถตาม กับพรรคพวกอีกไม่กี่คน หลัก ๆ นี่จะเป็นพ่อมากกว่า ตอนที่อยู่ภาคเหนือบางวันผมวิ่งเสร็จแล้ว แต่ต้องขับรถกลับที่พักกัน แล้วเช้าวันต่อมาก็ต้องกลับไปที่จุดวิ่งเดิมเพื่อเริ่มวิ่งต่อครับ มันดีมาก ๆ ที่มีพ่ออยู่ด้วยตลอดครึ่งแรกครับ เขาช่วยเหลือผมได้มากทีเดียว มันดีที่ได้ผจญภัยไปด้วยกันกับเขาครับ บางวันเขาต้องรอผมวิ่งถึง 4-5 ชั่วโมง เขาก็ชิลครับ บางทีก็นอนรอ
“ส่วนครึ่งหลังผมอยู่คนเดียวเลยครับ พ่อผมเขามากับผมตั้งแต่แม่สายจนถึงหัวหินครับ หลังจากนั้นเขาก็กลับไปที่ขอนแก่น ส่วนผมก็วิ่งคนเดียวตั้งแต่หัวหินจนถึงเบตงครับ แต่ผมเอ็นจอยนะ ผมเอ็นจอยทั้งตอนที่มีพ่อ แล้วก็เอ็นจอยกับตอนที่อยู่คนเดียวด้วย มันต่างกัน แต่ผมได้รับประสบการณ์จากทั้งคู่เลย ผมมีความสุขทั้งหมดเลยครับ”
2,121 กิโลเมตร ครั้งหนึ่งในชีวิต
“ผมว่าเป็นเป็นเส้นทางที่ยาวที่สุดที่ผมเคยวิ่งนะ แต่มีครั้งนึงผมวิ่งที่อังกฤษระยะทาง 160 กิโลเมตร ผมวิ่งวันเดียว ใช้เวลาไป 21 ชั่วโมง ได้ คิดว่าอยากลองอีกนะ ได้ยินมาว่าที่เมืองไทยก็มีการแข่งขันวิ่งแบบนี้เหมือนกัน ผมอยากลองดู”
Mission Complete
“ผมรู้สึกดีมาก ๆ ครับตอนที่ทำสำเร็จ มีความสุขแล้วก็ภูมิใจในตัวเอง แต่รู้สึกแปลก ๆ นะครับ เพราะว่าในแต่ละวันที่ผ่านมาตื่นปุ๊บผมต้องออกวิ่ง แต่วันนี้ผมไม่ต้องวิ่งแล้ว เหมือนกิจวัตรประจำวันเปลี่ยนไป ผมไม่ต้องตื่นขึ้นมาวิ่งเหมือนเช้าเมื่อวันก่อน มันดีมาก ๆ ภารกิจจบผมดื่มเบียร์ ได้พบเจอและพูดคุยกับคนท้องถิ่นที่นั่น ดีมากครับ ช่วงที่คุณทักผมนั่นแหละผมวิ่งเสร็จแล้ว แล้ววันรุ่งขึ้นผมไปมาเลเซีย เพราะวีซ่าของผมจะครบกำหนด ถือว่าออกไปพักผ่อนครับ ผมอยากบอกว่า ผมมีความสุขจริง ๆ เป็นการท้าทายที่ยิ่งใหญ่ สนุกกับการผจญภัย ผมเชื่อว่าปู่ของผมจะต้องภูมิใจมากเช่นกัน เพราะเขาสอนผมถึงความสำคัญของการผจญภัย และการใช้เวลากลางแจ้ง เขาคงอยากจะได้ยินเรื่องราวเหล่านี้จากปากของผม”
เส้นทางครั้งต่อไป
“ผมยังไม่แพลนครับ แต่น่าจะไม่นาน เพราะผมสนุกกับการวิ่งทั้งยังได้ผจญภัยอีกด้วยครับ ผมว่าที่ประเทศไทย คือการผจญภัยอย่างหนึ่งนะ โดยเฉพาะผมซึ่งเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบวิ่งวน ๆ อยู่ในสวนเท่าไหร่ หรือในลู่วิ่งอะไรแบบนี้ ค่อนข้างน่าเบื่อครับ ผมชอบพวกวิ่งเทรล วิ่งตามภูเขามากกว่า ดูมีอะไรดี สนุกด้วย รู้สึกเป็นอิสระ ผมว่าการที่ผมได้สนุกไปกับการผจญภัยคือสิ่งที่สำคัญสำหรับผม”
สิ่งสำคัญที่มีต้องมีติดตัวในขณะที่วิ่ง
“พวกอาหารให้พลังงานครับ กินอาหารและดื่มน้ำเยอะ ๆ ดูเป็นเรื่องทั่วไป แต่สำคัญมากจริง ๆ ครับ แล้วก็พวกระดับการเต้นหัวใจสำคัญมากครับ ต้องคอยดูไม่ให้สูงจนเกินไป แล้วประเทศไทยร้อนมาก ครีมกันแดดก็สำคัญนะครับ อีกอย่างที่สำคัญ คือพยายามอย่าใส่ของในกระเป๋าเยอะ อย่างของผมมีแค่พวกกางเกง เสื้อยืด นาฬิกา โทรศัพท์ แล้วก็เงินครับ ตอนแรก ๆ ผมกังวลว่า อันนั้น อันนี้จำเป็นไหม สุดท้าย วิ่ง ๆไป ก็ค่อย ๆ เอาออกที่ละอย่าง”
คิดระหว่างวิ่ง
“ผมฟังเพลงเยอะมากครับสำหรับการวิ่งครั้งนี้ แต่ตอนที่วิ่งที่อังกฤษ หรือก่อนหน้านี้ผมไม่เคยฟังเลยนะ จริง ๆ แล้วพยายามไม่คิดอะไรตอนที่วิ่งครับ ซึ่งเป็นอะไรที่ผมเอ็นจอยมาก ๆ ผมไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่กังวลอะไร รู้สึกสงบ และมีความสุขครับ จะมีก็แต่คิดถึงผัดกะเพราตอนที่วิ่งเสร็จ เพราะผมชอบผัดกะเพรา และเบียร์”
รู้สึกไหมว่า “ฉันมาทำอะไรที่นี่”
“มีครับ โดยเฉพาะช่วงใกล้ ๆ จะจบ ผมรู้สึกว่ามันก็ดีนะ แต่เพราะว่าผมได้เห็นสถานที่ต่าง ๆ ในไทยที่ผมไม่เคยเห็น อย่างมีครั้งหนึ่งตอนที่วิ่งไปพะเยา ผมเจอทะเลสาบใหญ่มาก ๆ และก็สวยมาก ซึ่งผมคิดว่าผมอาจจะไม่ได้มา ถ้าไม่ได้ทำชาเล้นจ์นี้ มันดีจริง ๆ ผมได้พบเจอทั้งผู้คน และสถานที่ต่าง ๆ ผ่านการวิ่งครั้งนี้ ทั้งลำปาง พะเยา หาดใหญ่ ยะลา เบตง ผมไม่เคยคิดว่าผมจะได้ไปเลย ไม่ใช่เพราะไม่อยากไปนะ แต่การเดินทางไปมันเหมือนกับว่า เราเข้าถึงได้ยาก เหมือนมันไม่ใช่สถานที่ที่นิยมไปกัน มันกลับสวยมากๆ จนอยากจะกลับไปอีก”
สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับการวิ่งในครั้งนี้
“ผมว่าผู้คนกับสถานที่คือสิ่งที่ดีที่สุด เพราะตั้งแต่วันแรกถึงวันสุดท้ายของการวิ่ง ทุก ๆ วันจะเจอคนใจดี คอยช่วยเหลือ ผู้คนบนมอเตอร์ไซค์ บนรถ หรือบนรถบรรทุก ต่างก็ถามผมว่า “ไปไหน” เขาถามเพราะจะเสนอไปส่งให้ แต่ผมต้องปฏิเสธเพราะต้องวิ่ง บางครั้งพวกเขาก็ให้น้ำ ให้เครื่องดื่มชูกำลัง เยอะมาก ๆ เลยครับ บางคนให้วัตถุมงคล (โชว์สร้อย) บางคนก็ให้เงินบริจาคมาด้วย บางครั้งผมได้ข้าวผัดกะเพราฟรีด้วยนะ ความทรงจำเกี่ยวกับผู้คนเยอะแยะไปหมดเลย จำได้ว่าน่าจะวิ่งวันที่ 2 ผมวิ่งผ่านคนขายสับปะรดแล้วเขาถามผมว่า “ไปไหน” ภาษาไทยผมก็ไม่ได้ คนขายสับปะรดก็พูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย แต่เขาให้ผมกินสับปะรด แล้วให้เงินบริจาคมาด้วย ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันในเฟซบุ๊กด้วยนะ เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นเยอะมาก ๆ และเป็นความทรงจำที่ดีจริง ๆ คนไทยน่าทึ่งมาก ๆ สำหรับการวิ่งผจญภัยครั้งนี้ แล้วพวกเขายังได้แสดงออกถึงความเมตตาที่แท้จริงต่อผม ซึ่งผมจะไม่มีวันลืมเลยครับ”
สนุกกับการวิ่งคนเดียว
“บางครั้งผมก็วิ่งกับเพื่อน ๆ แต่ผมรู้สึกว่าผมมีความสุขกับการวิ่งคนเดียวมากกว่า สำหรับการวิ่งครั้งนี้อาจจะรู้สึกว่าเห็นแก่ตัวนิดหนึ่ง แต่การวิ่งคนเดียวผมรู้สึกว่าผมผ่อนคลายมาก ผมมีความสุขที่ได้วิ่งกับคนอื่นด้วยเหมือนกันนะ มีอยู่วันหนึ่งมีคนท้องถิ่นปั่นจักรยานตามผมมาสัก 5 กิโลเมตร ได้ ซึ่งเป็นช่วงที่ดีมากแล้วยังช่วยให้ผมมีกำลังใจในวันนั้นด้วย บางทีมีหมามาวิ่งด้วย มันวิ่งตามมาเป็นเพื่อนผมสัก 3 กิโลเมตรได้ มันน่ารักมาก นั่นแหละครับ จริง ๆ แล้วผมวิ่งได้หมดกับทุกคนนะครับ”
อยากจะบอกผู้ที่อยากจะเริ่มต้นวิ่ง
“คำแนะนำของผมอาจไม่ดีพอเพราะไม่มีรูปแบบอะไรชัดเจนแบบมืออาชีพ แต่ถ้าจะต้องแนะนำจริง ๆ ผมคิดว่าทำทุกอย่างให้มันเรียบง่ายที่สุด ผมว่าเราอาจจะชอบทำให้ซับซ้อน แต่จริง ๆ ทำให้เรียบง่ายดีกว่า อย่าทำอะไรที่มากเกินไป หรือเร่งเกินไป มันโอเคนะที่เดินบ้าง ไม่จำเป็นต้องวิ่งให้เร็ว คุณสามารถทำให้ช้าลงได้ คุณอาจจะเริ่มวิ่งที่ 2 กิโลเมตร แล้วค่อยเพิ่มเป็น 5 กิโลเมตร วิ่งช้า ๆ แล้วค่อยเพิ่มขึ้น ๆ สำคัญมากคือหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ พยายามเซฟตัวเอง ทำให้มันสนุก ไม่ต้องไปซีเรียส ผมคิดว่าการเล่นกีฬาทุกชนิด ที่สำคัญคือเราต้องสนุกไปกับมัน”
วิ่งไกลแบบนี้นอนอย่างไร
“เอาแน่นอนไม่ได้ครับ บางครั้งผมก็จองก่อน แต่บางครั้งก็วอล์คอินแล้วก็หวังให้เขามีห้องว่าง อย่างตอนที่ลำปาง ผมวิ่งเสร็จผมจะใช้ Garmin มาร์กจุดวิ่งของวันต่อไป แล้วดูหาที่พักใน google maps ในพื้นที่นั้น แล้วก็จะพยายามจองไว้ก่อน เพราะผมไม่อยากเจอกรณีที่ห้องเต็ม ส่วนใหญ่ผมจะจองไว้ก่อน แต่บางครั้งก็ต้องวอล์คอินบ้าง ผมว่าเมืองไทยนี่ดีนะครับ โดยเฉพาะถนนหลักมีที่พักเยอะมากเลยตลอดทางแม่สาย – เบตง แล้วก็ไม่แพงด้วยนะครับ คืนละประมาณ 500 บาท ประเทศไทยนี่ดีจริง ๆ สำหรับทุกคน ทั้งคนไทยและคนต่างชาติ ผมพยายามนึกปัญหาของที่พัก แต่ไม่มีเลย เรื่องที่พักไม่เป็นปัญหาเลยครับ”
ช่วงไหนยากที่สุด
“เส้นทางที่ยากที่สุด คือช่วงภาคเหนือครับ แต่ผมสนุกมากเลยนะ ทั้งเนินเขา และทางลาด อากาศก็ร้อนสุด ๆ ช่วงนี้แหละ เป็นช่วงที่ผมได้รับบาดเจ็บ เส้นทางภาคเหนือเป็นช่วงที่หนักหนามากครับ แล้วก็อีกช่วงน่าจะเป็นตอนที่เข้ามาในกรุงเทพฯ แล้ว มันยากเพราะการจราจรครับ ผมใช้เส้นทางพระราม 2 มันค่อนข้างจะอันตรายหน่อยครับ แต่นั่นก็นับเป็นการท้าทาย ส่วนจุดที่ดีที่สุดน่าจะเป็นช่วงภาคเหนือเหมือนกันครับ แล้วก็เส้นทางจากยะลามาเบตงด้วย ผมชอบถนนแบบนั้น เพราะมีธรรมชาติ ภูเขา เส้นทางในช่วงวันที่ใกล้จะถึงเบตงก็น่าทึ่งมากครับ มันดีจริง ๆ ผมโชว์วิดีโอให้ดูได้นะ ทิวทัศน์อันน่าทึ่งบนถนนที่เงียบสงบ สมบูรณ์แบบ”
เคยรู้สึกเหนื่อยมาก ๆ ไม่อยากวิ่งต่อ
“มีวันที่มันร้อนมาก ๆ แล้วผมได้รับบาดเจ็บ ผมรู้สึกมันค่อนข้างยาก เพราะเป็นการวิ่งระยะยาว แต่ผมไม่เคยมีความรู้สึกที่จะอยากยอมแพ้เลย ในใจผมมีแต่คำว่าไปต่อ มีแต่ความอยากที่จะทำให้สำเร็จให้ได้ในตอนนั้น (ทั้ง 50 วัน) แน่นอนว่ามันยากที่จะทำให้ภารกิจสำเร็จ เรื่องของจิตใจนี่ก็ท้าทายมาก ๆ ช่วงวันที่จะใกล้ถึงเบตงผมรู้สึกว่าใกล้เข้ามาแล้ว และผมก็ตื่นเต้นมากที่จะสำเร็จแล้ว แต่ในเวลาเดียวกันผมก็ไม่อยากเร่งเลย เพราะเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ ผมไม่อยากรีบเร่งเพื่อให้มันจบ ๆ ไป ผมเลยพยายามมีความสุขกับโมเม้นต์นั้นให้ได้มากที่สุด เป็นการท้าทายที่ยิ่งใหญ่ ผมมีแรงจูงใจที่จะวิ่งผ่านภารกิจนี้ให้สำเร็จ”
แรงกระตุ้นที่ทำให้วิ่งได้สำเร็จ
“แรงกระตุ้นคงไม่มี แต่น่าจะเป็นเรื่องความตั้งใจมากกว่า ผมคิดว่าผมตัดสินใจแล้วว่าจะต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ ผมรู้แหละว่ามันเป็นระยะทาง 2,121กิโลเมตร ต้องใช้เวลาหลายวัน ด้านจิตใจผมก็ถือเป็นการท้าทาย ส่วนร่างกายก็ท้าทายอยู่แล้ว ในใจผมคิดว่าอย่างไรก็ต้องทำให้สำเร็จ ผมไม่เคยคิดว่าต้องวิ่งอีก 20 วัน หรืออะไร ตั้งแต่แม่สายผมคิดแค่ว่าผมจะต้องไหวสำหรับวันที่ 2 พอจบวันที่ 2 ผมก็คิดว่าจะต้องไหวสำหรับวันที่ 3 คิดแค่ผมจะต้องวิ่งไหวในวันต่อ ๆ ไป คิดแค่วันต่อวัน แล้วผมก็แบบว่า “โอ้วิ่งไปแล้ว 20 วัน ผมเหลืออีกแค่ 30 วัน เท่านั้น” ตอนที่ผมวิ่งมาถึงกรุงเทพฯ รู้สึกดีมาก ๆ แบบ “โอ้ตอนนี้ถึงกรุงเทพฯ แล้ว” ภาคเหนือจบแล้ว ต่อจากนี้โฟกัสแค่ภาคใต้อย่างเดียว ตอนนั้นน่าจะเป็นวันที่ 29 ผมไม่เคยคิดไกล ๆ เลย ไม่เคยนึกถึงวันที่ 50 เลย แค่ไปต่อเรื่อย ๆ คิดวันต่อวัน คิดแค่ไปทีละวัน แค่นั้นเลยครับ”
ถ้าผมอยากจะวิ่งไปนครปฐม
“ผมว่าแค่คุณมุ่งมั่นและลงมือทำ คุณจะรู้สึกเซอร์ไพรส์ว่าขาของเราจะไปได้ถึงไหน ผมคิดว่าเรื่องของจิตใจอาจจะยากหน่อย แต่ลงมือทำเลย ลองฝึกวิ่งไกล ๆ เพื่อที่จะทำให้ร่างกายพร้อมและไหวสำหรับการวิ่งไกล ๆ แต่ผมคิดว่าการวิ่งไกล ๆ เป็นเหมือนเกมของจิตใจ ดังนั้นเตรียมสภาพร่างกายให้พร้อมรวมไปถึงเตรียมใจให้พร้อมด้วย สิ่งสำคัญคือคุณต้องสนุกไปกับการผจญภัยตลอดการวิ่งจากกรุงเทพฯ ถึงนครปฐม และถ้าผมว่างตรงกับคุณ ผมจะมาพาคุณวิ่งไปด้วยกันกับผม”
ทั้งหมดเป็นเรื่องราวประสบการณ์บนทางวิ่งระยะทาง 2,121 กิโลเมตร จากแม่สายถึงเบตง ของ Christopher James Russell เขาบอกกับผมว่า “ขอให้มีความสุขกับการวิ่งอย่าไปคิดอะไรมาก หิวก็เข้าเซเว่น ง่วงก็วิ่งหาโรงแรมนอน เท่านี้ก็พอแล้วในแต่ละวัน ของการวิ่งทางไกล”
ขอบคุณ Christopher James Russell