เรื่องราวของการออกเดินทางเพียงลำพังตลอด 50 วันของ “เกม” วิศวกรหนุ่มชาวไทย เพื่อพิชิตเส้นทาง เดินป่า ใน 5 รัฐโซนอเมริกันนอร์ทเวสอย่าง Oregon, Washington, Idaho, Wyoming, และ Montana ดินแดนที่เต็มไปด้วยภูเขาที่อลังการ ทะเลสาบอันอุดมสมบูรณ์ หินผาตั้งตระหง่าน และต้นไม้เขียวขจี
การ เดินป่า ชื่นชมธรรมชาติอันงดงามนี้ คงไม่มีวิธีไหนดีไปกว่าการเดินเท้า พักแรมในพื้นที่ห่างไกลจากความเจริญ ตัดขาดจากโลกที่วุ่นวาย เพื่อใช้เวลาอยู่กับตัวเอง และความสงบที่ผืนป่ามอบให้
การเดินทางของผมเริ่มต้นในช่วงฤดูร้อนปลายเดือนมิถุนายน 2023 หลังจากเสร็จภารกิจประชุมวิชาการที่เมือง Corvallis เมืองเล็กๆ หนึ่งในรัฐ Oregon ผมออกเดินทางจากเมืองด้วยการเช่ารถระยะยาว โดยในช่วงแรกผมมีจุดหมายคือขึ้นเหนือ ไปตามแนวเขา Cascade จนถึงชายแดนแคนาดา ก่อนที่จะขึ้นเครื่องบินจาก Seattle, WA ไปที่เมือง Boise, ID เดินทางต่อไปทางตะวันออก จนถึงเมือง Jackson Hole, WY ขึ้นเหนืออีกครั้ง ก่อนไปสิ้นสุดที่ Glacier National Park, MO โดยการเดินทางนี้ ผมได้วางแผน และใช้เวลาหาข้อมูลอยู่หลายเดือนกว่าจะลงตัว จนออกมาเป็นแพลนที่อัดแน่นไปด้วยเทรลเดินป่าต่าง ๆ มากกว่า ข้อมูลต่าง ๆ ผมใช้การหาแหล่งข้อมูลที่แตกต่างกันไป พวกเทรลที่ผมไปเดินต้องอาศัย Alltrails แอปฯ เดินป่ายอดนิยมของคนอเมริกา ส่วนการจองต่าง ๆ เกี่ยวกับอุทยานฯ มักต้องจองผ่าน Rec.gov
ในส่วนของ Free Campsite ผมได้แหล่งมาจาก FreeRoam และข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต กับความโชคดีมีคนให้พักพิงตามดวง และนี่คือเรื่องเล่าของการเดินทางในครั้งนี้ หรือจะมองว่าเป็นรายงานในแต่ละวันของก็ว่าได้ ว่าผมไปไหน ทำอะไร และพักที่ไหนบ้าง
Day 1-3 : Abiqua Fall : Trillium Campground
ช่วง 2 วันแรก ที่เริ่มเดินทางมาถึงเมือง Corvallis ผมใช้เวลาไปกับงาน Conference กว่าจะได้ออกเดินทางจริงจังก็วันที่ 3 เข้าไปแล้ว จุดหมายแรกของผม คือน้ำตกลับ ๆ แห่งหนึ่งที่ไหลบ่าลงมากลางกำแพงหิน Basalt การเข้าถึงค่อนข้างลำบากพอสมควร ขนาดรถ SUV ปกติอาจเข้าไม่ถึง Trailhead เลยต้องจอดไว้ที่ลาน แล้วเดินลงไปตามถนนไกลพอสมควร แม้ระยะทางเดินเทรลไม่ไกลมาก แต่ทางค่อนข้างยาก และอาจจะหลงได้ง่าย
Day 4-7 : Timberline trail around Mt. Hood : Campsites On Trail
จุดหมายที่ 2 คือ Timberline trail เทรลเดินป่าระยะทาง 40 ไมล์ นี่คือการเดินแบ็กแพ็กครั้งแรกในอเมริกา และผมก็มาคนเดียว เป็น First Backpacking และ First Solo Hike ของตัวเอง จุดเริ่มต้นของเทรลนี้อยู่ใกล้กับ Timberline Lodge จุดเล่นสกียอดนิยมของชาว Portland ความสวยงามของที่นี่ นับว่าสมกับที่เขาว่ามา แต่ความลำบากคงต้องยกให้เป็นที่หนึ่งของทั้งทริป เพราะผมเริ่มเดินในช่วงที่เทรลยังไม่ได้เปิดอย่างสมบูรณ์ ยังมีไม้ล้มขวางทาง ข้ามน้ำก็ลำบาก อีกทั้งหิมะที่ขวางทางตลอด ซึ่งรีวิวเต็ม ๆ ของเส้นทางนี้ผมได้ลงไปแล้ว ลองไปหาอ่านกันได้ครับ
Day 7 : Falls Creek Falls : Sno-Park Marble Mountain
หลังจากเดิน Timberline จบในช่วงเที่ยงของวันที่ 7 ผมออกเดินทางตามถนนสาย 35 ขึ้นไปทางเหนือ ตัดเข้าถนนสาย 84 ไปตามแม่น้ำ Columbia river gorge ก่อนจะแวะเข้าไปแวะชมน้ำตกข้างทางอย่าง Multnomah Falls ที่หาที่จอดรถยากเย็น ผมเลยตัดใจ และข้ามแม่น้ำเข้าสู่รัฐ Washington มุ่งหน้าสู่ Mt.St.Helen เพื่อเดินเทรลต่อไป ระหว่างทางมีน้ำตกที่น่าสนใจอย่าง Falls Creek Falls ส่วนตัวผมยกให้เป็นน้ำตกที่สวยที่สุดของ Pacific Northwest เลย ระยะทางเดินไม่ไกลมาก แต่ทางรถเข้านี่สิอย่างแย่ ดีที่เราขับรถ SUV มา ไม่เช่นั้นคงได้ตัดใจอีกแน่นอน ผมจึงตัดสินใจขับรถต่อ กว่าจะถึงแคมป์ก็มืดสนิท
Day 8-10 : Loowit loop around Mt.St.Helen : Campsites On Trail
ผมตื่นเช้าเก็บเต็นท์ และขับรถต่ออีกนิดหน่อย เพื่อมาที่ June Lake Trailhead แล้วเริ่มเดิน Loowit Loop เทรลนี้คือเส้นทางเดินป่ารอบภูเขาไฟ St.Helen เกือบตลอดทั้งเส้นทางจะมีสภาพเป็นดินและหินภูเขาไฟขรุขระและแห้งแล้ง โดยเป็นอีกเทรลที่เปิดประสบการณ์ให้ผมต้องเดินตากแดดตลอดทั้งวัน และบางจุดที่เดินขึ้นหน้าผาก็แสนอันตราย รีวิวเต็ม ๆ ผมได้ลงไปแล้ว ลองไปหาอ่านกันได้อีกเช่นเดิม
Day 10-11 : Drive to Seattle – Oyster Dome : Kaka’s House
หลังจากจบเทรลในช่วง 10 โมงกว่า ๆ ของวันที่ 8 ผมออกเดินทางขึ้นเหนือต่อเพื่อไปยังบ้านพี่แกะ พี่คนไทยสายเดินป่าท่านหนึ่งที่พบเจอกันบนเฟซบุ๊ก และนัดแนะกันว่าจะไปเดินที่ Wonderland trail Mt.Rainer ด้วยกันในอีก 2 วัน ถัดจากนี้ บ้านพี่แกะจึงกลายเป็นเหมือนเซฟเฮ้าส์ของผมตลอดทั้งทริปที่อยู่ใน WA ต้องกราบขอบพระคุณพี่แกะที่ให้ผมมีที่พักพิง พอไปถึงสิ่งแรกที่ทำ นั่นคือ การอาบน้ำ เพราะไม่ได้อาบน้ำร้อนมาเกือบ 10 วัน แล้วก็ซักผ้า นอนพักผ่อน ช่วงเย็นจากที่คิดว่าจะได้พัก แต่พี่แกะกลับพาผมไปเล่น Sub ที่ทะเลใกล้ ๆ อีกวันได้พักในช่วงเช้าก่อนไปลุยกันที่ Oyster Dome เทรลสั้นๆ กับระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร จึงค่อยกลับลงมาในช่วงพระอาทิตย์ตกดินจนถึงเวลามืดสนิท
Day 12 : Paradise & Skyline Trail : Cougar Rock Campground
เช้าวันที่ 12 หลังจากได้นอนที่นอนนุ่มๆ ผมขอพี่แกะออกเดินทางล่วงหน้าก่อน 1 วัน เพราะอยากไปสำรวจจุดต่าง ๆ ใน Mt.Rainier ที่พี่แกะเคยไปมาแล้ว และไม่อยากไปซ้ำอีก ร่วมถึงเราต้องไปเอา Permit ของเส้น Wonderland trail เพื่อให้วันเริ่มเดินทางไม่เสียเวลาตรงนี้ กว่าจะถึง Paradise ที่เป็นโซนไฮไลต์ของอุทยานฯ ก็เกือบบ่าย 3 โมง Skyline Trail คือเส้นทางเดินป่าในโซน Paradise ระยะทาง 9 กิโลเมตร ใกล้ยอด Mt.Rainier โซนนี้มีทั้งดอกไม้ หิมะเล็กน้อย และสัตว์ต่างๆเต็มไปหมด เหมือนเดินในสวนสมชื่อ Paradise มาก ๆ จุดเด่นนอกจากวิว Glacier ต่าง ๆ แล้ว ยังมีน้ำตก Mystic Fall อันโด่งดัง กว่าจะเดินจบก็เกือบมืด ก่อนตัดสินใจไปพักที่ Cougar Rock Campground
Day 13 : Silver Falls – Sunrise – Wonderland trail : Devil’s Dream Camp
เช้าวันที่ 13 ผมตื่นแต่เช้าเพื่อเก็บของและออกเดินทางไปตามถนน Stevens Canyon ไปตามตะวันออก แวะเข้าชมน้ำตก Silver Falls ก่อนเดินทางไปยัง Sunrise จุดสิ้นสุดของ Wonderland trail (WT) โซนเหนือ ซึ่งเป็นจุดนัดพบกับพี่แกะให้มารับ เพื่อไปเริ่ม WT ที่ Longmire จุดเริ่มต้นฝั่งตะวันตก WT เป็นเทรลเดินป่ารอบ Mt.Rainier แต่ฝั่งใต้จะไม่ค่อยมีวิว และเป็นวิวเดียวกับถนน Stevens Canyon ผมกับพี่แกะจึงแบ่ง WT เป็น 2 ส่วน คือโซนตะวันตก-เหนือ ซึ่งพวกเราจะแบ็กแพ็กกันแบบ Point to Point และโซนตะวันออกที่เราจะเดินแบบ Day-Hike เพราะระยะทางสั้น และช่วงที่เราไปยังเร็วเกินไปหิมะยังไม่ละลาย การเดินแบบ Point to Point ทำให้พวกเราต้องใช้รถ 2 คัน โดยคนแรกจอดไว้ที่ปลายทาง และอีกคันไว้เดินทางมาจุดเริ่มต้น วันแรกกว่าจะได้เริ่มเดินก็เกือบ 4 โมง เพราะทางเข้าโซน Sunrise ต้องต่อสู้กับมวลมหาประชาชนและทางอุทยานฯ ก็จำกัดจำนวนรถ ถ้าไม่มีรถขับออกมา ก็จะอนุญาตให้รถที่รออยู่เข้าไป ถ้าหากรถด้านในเต็มจำนวนที่กำหนดไว้ ดีที่วันแรกเราคิดว่าจะเจอกับปัญหาอะไรแบบนี้ จึงเลือกแคมป์ที่เดินใกล้เพียง 3 ชั่วโมงก็ถึงแล้วแทน
Day 13-19 : Wonderland Trail East – North : Campsites on Trail
Wonderland Trail คือรูทที่เดินขึ้น ๆ ลง ๆ บ่อยมาก ๆ และแทบจะไม่มีทางราบเลย ส่วนตัวถือว่าเป็นรูทที่ยากที่สุด แม้ทางจะค่อนข้างโล่ง และไม่มีอุปสรรคใด ๆ มากนัก ซึ่งรีวิวเต็ม ๆ ของเส้นนี้ก็ไปอ่านได้ในโพสต์เต็ม ๆ เช่นเคย พวกเราใช้เวลาในป่าเกือบ 6 วันเต็ม ก่อนจะไปจบด้วยการดูดาว Mt. Fremont Fire Lookout และเดินออกที่ Sunrise กลับบ้านพี่แกะ
Day 20 : Tolmie Peak : Kaka’s House
วันที่ 20 ขาที่ตึง ๆ ก็ยังตึงต่อไป พอดูดี ๆ แล้ว ไม่มีวันไหนที่เราได้นอนพักเต็มที่ และพักร่างจริง ๆ เลย ซึ่งวันนี้ก็ยังไม่ใช่เช่นกัน ช่วงบ่ายแก่ ๆ ผม พี่แกะ และเพื่อนพี่แกะอีกคน ออกเดินทางไปที่ Mowich Lake ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของ Mt. Rainier พวกเรามาที่นี่ เพื่อเก็บ Bucket ที่ใช้ Resupply ระหว่างเดิน WT และถือโอกาสนี้เล่นน้ำในทะเลสาบ และเดินขึ้น Tolmie Peak จุดชมวิว Mt. Rainier ที่สวยที่สุด ยิ่งตอนที่พระอาทิตย์ตกแสงทั้งดีและสวยมากจริง ๆ จะว่าไปผมคิดในใจว่าไปเดิน WT ก็ยังไม่เจอวิวดีเท่านี้ แต่ก็เอาเถอะนะ WT มันไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอก ผมปลอบใจตัวเอง กว่าจะเดินลงและกลับถึงบ้านพี่แกะก็เกือบเที่ยงคืน และผมดันเปรี้ยวอยากไปเดินที่ The Enchantment ต่อ สรุปคืนนั้นผมนอนไป 2 ชั่วโมง และต้องตื่นขับรถไป Snow lake Trailhead ที่อยู่ห่างไปอีก 2 ชั่วโมง
Day 21 : The Enchantment : Kaka’s House
The Enchantment คือเส้นทางเดินป่าแบบ Point to Point ถ้าจะเดินแบบ Day-Hike เราไม่จำเป็นต้องจองล่วงหน้า แต่ด้วยระยะเกือบ 29 กิโลเมตร Gain 1485 m., Loss 1990 m. นี่คือเส้นทางเดินป่าแบบ Day-Hike ที่โหดที่สุดตั้งแต่ผมเดินป่ามา ทั้งที่นอนน้อยและเดินหนัก ผมเริ่มเดินประมานตี 5 และกว่าจะจบก็เกือบ 3 ทุ่ม แต่ก็คุ้มค่ามาก ๆ กับความสวยงามตลอดเส้นทางที่ทำให้ผมเข้าใจแล้วละว่าทำไมคนถึงอยากมาแคมป์ที่นี่ และคนที่ไม่ได้ Overnight permit ถึงยังยอมเดินกว่า 30กิโลเมตรในวันเดียว รีวิวของเส้นทางนี้สามารถอ่านได้มีโพสต์ที่ผมแยกไว้ให้แล้วเช่นกัน
Day 22 : Rest Day : Kaka’s House
วันนี้ไม่มีอะไรมาก พักร่าง แบบพักจริง ๆ นอนเป็นผักกับขาที่ปวดร้าว ออกไปซื้อของ ทำตัวเป็นผู้ขออาศัยที่มีประโยชน์ ทำอาหาร กวาดบ้าน ทำงานพ่อบ้านต่าง ๆ ตอบแทนผู้มีพระคุณ
Day 23 : North Cascade National Park : Goodell Creek Campground
วันที่ 23 ผมออกเดินทางจากบ้านพี่แกะอีกครั้งไปทางเหนือ จุดหมายต่อไปคืออุทยานแห่งชาติที่คนไม่ค่อยรู้จัก ได้ยินชื่อคงจะพูดว่า คือหม่องใดวะ! North Cascade National Park มีถนนสาย 20 ตัดผ่าน อุทยานฯ แห่งนี้ ดังที่สุดน่าจะเป็น Diablo Lake ทะเลสาบสีฟ้าขนาดใหญ่ มีจุดแวะให้ถ่ายรูปสวยๆ หลายมุม แต่ผมมีเป้าหมายกับที่นี่อยู่ 3 Day-Hike Trails ประกอบด้วย Blue Lake, Maple Loop, Sahale Arm วันแรกผมเก็บ Blue Lake และ Maple Loop ตั้งแต่ช่วงบ่ายแก่ๆ กว่าจะเสร็จก็เกือบ 3 ทุ่ม อีกเช่นเคย ก่อนจะไปพักที่ Goodell Creek Campground
Day 24 : Sahale Arm : Silver Fir Campground
Sahale Arm คือเส้นทางเดินป่าแบบ Out-and-Back ที่เข้าถึงยากสักหน่อย เพราะ TH อยู่ปลายสุดของถนนสาย NF-15 ทางเป็นลูกรัง แต่ก็ไม่แย่มากเท่าไหร่ ที่ต้องมาที่นี่เพราะวิว มีวิวที่ดีแบบดีจริง ๆ จนหลาย ๆ คนยกให้เป็น Dolomites of Washington เพราะเทือกเขาของที่นี่มีความสวยงามอลังการ ติดอยู่อย่างเดียวคือมีแมลงวันตัวใหญ่คอยตอมตลอดทางนี้สิ ที่ทำให้แสนรำคาญ แถมยังกัดเจ็บด้วย รีวิวของเทรลนี้ก็มีให้ชมอีกเช่นเคยครับ หลังจากจบเทรลผมก็ออกเดินทางไปเหนือสุดของรัฐที่ยังพอมีเทรลให้เดิน นั่นคือ Mt. Baker Wilderness กว่าจะถึง Silver Fir Campground ก็มืดพอดี
Day 25-26 : Chain Lakes Loop & Ptarmigan Ridge Trail : Kaka’s House
ช่วงเช้าผมเดินทางมาถึง Artist Point และใช้เวลาไปกับการเดิน Chain Lakes Loop ที่มีทะเลสาบสวยๆ หลายแห่ง เส้นทางไปก็ค่อนข้างง่ายเหมาะกับมือใหม่ จากนั้นก็แบ็กแพ็กไปตาม Ptarmigan Ridge และแคมป์ที่สันเขามีวิวทางตะวันตกเป็น Mt. Baker และตะวันออกเป็น Mt Shuksan จะว่าไปนี่คือแคมป์ที่สวยที่สุดตั้งแต่เดินป่าในโซนนี้เลยก็ว่าได้ แต่ทางค่อนข้างอันตรายเพราะหิมะยังละลายไม่หมด และ Goat Lake ที่ผมตั้งใจจะไปแคมป์ก็ยังเป็นน้ำแข็งอยู่เลย พอเช้าวันที่ 21 ผมก็เก็บของเดินออกทางเดิม และขับรถกลับมาที่บ้านพี่แกะอีกครั้ง
Day 27-28 : Wonderland Trail East : Kaka’s House
ตื่นเช้ากับวันที่อยากบอกพี่แกะว่า ผมขอนอนได้ไหม แต่ก็นั่นละ ในใจก็อยากเดิน สรุปตี 5 ผมตัดสินใจขับรถไป Sunrise Mt. Rainier กับร่างแหลก ๆ อีกครั้ง รอบนี้เราจะเดินต่อจากรอบที่แล้ว คือเริ่มที่ Sunrise ไปจบที่ Box canyon ปลายทางของ WT ฝั่ง East สูตรเดิมคือพวกเราใช้รถสองคันจอดไว้ปลายทาง 1 และขับไปจุดเริ่มต้นอีก 1 รีวิวละเอียดของเทรลนี้ ผมมีโพสต์แยกให้อ่านเช่นเคย และนี่คือเทรลสุดท้ายของผมใน Washington ก่อนจะพักร่างที่บ้านพี่แกะแบบเต็ม ๆ วัน ในวันที่ 28 และออกเดินทางด้วยเครื่องบินจาก SEA ไป Boise, ID ในเช้ามืดของวันที่ 29
Day 29-33 : Grandjean Loop Trail : Campsites on Trail
เป็นครั้กแรกที่เกือบตกเครื่อง ทั้ง ๆ ที่เผื่อเวลาไว้เกือบ 3 ชั่วโมงที่สนามบิน Security Checkpoint คนล้นแบบล้นจริง ๆ และจัดการแย่มาก ๆ ยังดีที่ขึ้นเครื่องทันก่อนเกตปิด 5 นาที พอถึง Bosie ช่วง 11 โมง ผมก็เช่ารถ ซื้อของจำเป็นต่างๆ และออกเดินทางไป Sawtooth National Forest ที่เป็นจุดเริ่มต้นของ Grandjean Loop Trail ขับรถไปตามถนนสาย 21 ระหว่างทางวิวดีมาก ๆ เป็นเขาหัวโลน ทุ่งหญ้าสีทองในช่วงแรก และก่อนจะเป็นถนนในหุบเขาเรียบแม่น้ำ Payette ส่วนตัวผมว่าที่นี่คือถนนที่สวยที่สุดที่หนึ่งของอเมริกาเลยก็ว่าได้ โซนนี้มีคนล่องแก่งเยอะมาก ๆ ขับรถชมวิวไปเรื่อย กว่าจะถึง Trailhead ก็เกือบ 4 โมงเย็น และฝนก็ดันตกเสียอีก กว่าจะได้เริ่มเดินจริง ๆ จังๆ ก็เกือบ 5 โมง ตอนแรกผมวางแผนจะเดินแบบตามเข็ม แต่เพราะคิดว่าแสงคงไม่สวยเพราะฝนตก จึงตัดสินใจเดินทวนเข็มแทน รีวิวเต็มๆ ของเทรลนี้ก็ไปอ่านดูได้ ส่วนตัวผมว่ามันคือเส้นที่สวยที่สุดแล้วสำหรับทริป 50 วันนี้
Day 33 : Drive to Wyoming : Forest Road 239
วันที่ 33 หลังจากเดินจบ Grandjean Loop Trail ในช่วงเที่ยงผมออกเดินทางต่อไปที่เมือง Stanley แวะทานอาหารเที่ยง และเดินทางต่อไปตามถนนสาย 75 – 26 – 20 สู่ Idaho Falls ตลอดทางก็มีวิวกึ่งทะเลทราย ทิวเขา และหุบเขาให้ชมตลอดทาง เรียกว่าผมหลงรักเส้นทางนี้แบบหมดหัวใจ แม้จะเป็นโซนที่ไม่ได้โด่งดังเพราะไม่ได้อยู่ในแพลน Road trip ไหน ๆ เลย แต่บอกเลยว่า ควรมาให้เห็นกับตาตัวเองสักครั้ง หลังจากจัดการเรื่อง Supply ต่าง ๆ เสร็จที่ Idaho Falls ผมออกเดินทางไปทางตะวันออก ไปตามถนนสาย 26 – 31 – 33 และตั้งแคมป์ที่ Forest Road 239 ซึ่งเป็น Free Campsite ใกล้ ๆ กับ Mike Harris Campground
Day 34 : Grand Teton National Park : Upper Teton View
ช่วงเช้าผมออกเดินทางต่อไปที่เมือง Jackson Hole, WY ประตูสู่ Grand Teton National Park ในวันนี้ผมเลือกให้เป็นวันพักร่าง ขับรถถ่ายรูปไปตามจุดต่าง และเดินเทรลสั้น ๆ อย่าง Bradley & Taggart Lake loop จริง ๆ ก็แอบเสียดาย น่าจะไปเดิน Delta lake ดีกว่า เพราะวิวอลังการกว่ามาก แต่อีกใจก็อยากเก็บแรงไว้เดินวันพรุ่งนี้ พอเดินเสร็จก็ขับรถออกมาจากอุทยานฯ ซึ่งที่พักในโซนนี้จะแพงมากๆ แต่ก็มีจุดที่เป็น Free Campsite ไม่ไกลจาก Park เท่าไหร่นัก ชื่อว่า Upper Teton View ในโซน Bridger-Teton National Forest โดยทางเข้าจะอยู่บนถนนสาย 191 ตรงข้ามกับทางเข้า J.P. Cunningham Cabin
Day 35 – 37 : Teton Crest Trail : Campsites on Trail
เช้าวันที่ 35 ผมออกเดินทางไปจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่โด่งดังที่สุดของ Grand Teton นั่นก็คือ Mormon Row โรงนาเก่า ที่มีแบ็กกราวน์เป็นเทือกเขา Grand Teton หลังจากเก็บภาพเรียบร้อย ผมก็เดินทางต่อเข้าไปในอุทยานฯ เนื่องจากเป็นเทรล Point to Point ผมเลยต้องจอดรถไว้ที่ Jenny Lake Parking และ Hitchhike จากจุดนี้ไป Death Canyon Trailhead ยืนชูนิ้วโป่งเกือบ 15 นาที รถผ่านไปคันแล้วคันเล่าก็ไม่มีใครรับเลย เพราะจุดที่ผมจะไปนั้นทางเข้าค่อนข้างลำบาก ถ้าไม่ใช่รถยกสูงก็เข้ายาก แต่โชคดีที่มี Wild Life Photographer ท่านหนึ่งชื่อ Pual ผ่านมา และอาสาพาไปส่ง เพราะพี่แกจะไปถ่ายหมีแถวนั้นพอดี พี่เขาก็สาย Sony เหมือนกัน เราจึงคุยกันยาวเลย พอถึงจุดหมายก็แยกย้าย ผมตอบแทนพี่เขาด้วยเงิน $20 ตอนแรกเขาจะไม่รับ แต่ก็อยากให้รับไว้ถึงจะเล็กน้อยก็เถอะ ผมเริ่มเดินเส้นนี้ก็เกือบ 10 โมง มีรีวิวแบบละเอียดของเทรลนี้ ที่หาอ่านได้ในโพสต์แยกอีกตามเคย
Day 37 : Jackson Hole : Upper Teton View
หลังจากมาถึงรถในช่วงบ่าย ผมก็ไปหาที่อาบน้ำตามคลองเช่นเคย และก็เข้าเมือง Jackson Hole เพื่อหาอะไรรับประทาน พักฟื้นร่างกาย แล้วขับรถชมวิวไปตามถนนสาย 191 เรื่อย ๆ จนมาถึง Jackson Lake Dam ตอนแรกตั้งใจจะไป Yellow Stone เพื่อเก็บแสงเย็น แต่เพราะฟ้าปิดแสงไม่สวย เลยตัดสินใจมานอนที่ Upper Teton View ที่เดิม
Day 38 : Yellowstone National Park : Yellowstone Park Inn & Suites
หลักจากตื่นเช้า ผมออกเดินทางมา Yellowstone National Park ใช้เวลาเช้าจนเย็นไปกับการขับรถไปตามจุดต่าง ๆ แต่ก็ดวงไม่ดีนัก เพราะฝนตกและคนก็ค่อนข้างเยอะมาก เลยถอดใจในช่วงท้าย ก่อนจะขับรถออกมา พลางคิดว่า YNP คงไม่เหมาะกับผมจริง ๆ รีวิวแบบหยาบ ๆ ของที่นี่ก็มีโพสต์แยกเช่นเคย และคืนนี้เป็นคืนแรกที่ผมยอมจ่ายค่าโรงแรม เพราะอยากนอนเตียง กับต้องชาร์จแบตฯ กล้อง และอุปกรณ์ต่างๆ รวมถึงต้องซักผ้าด้วย เลยต้องจำใจจ่าย $135 ให้กับโรงแรม 2 ดาว ชื่อ Yellowstone Park Inn & Suites ในเมือง Livingston ที่อยู่ทางตอนเหนือของ YNP
Day 39 : Drive to Glacier National Park : Two Medicine Campground
หลังจากได้นอนเตียงนุ่ม ๆ และอาบน้ำร้อนในช่วงเช้า ผมออกเดินทางต่อไปทางเหนือถนนตลอดทางเป็นไร่มันฝรั่งแบบไร่มันจริง ๆ ที่ทอดไกลออกไปจนสุดลูกหูลูกตา กว่าจะถึง Two Medicine ซึ่งเป็นโซนหนึ่งทางตะวันออกของ GNP ก็ปาไปเกือบ 6 โมงเย็น มาถึงก็เจอกับควันไฟป่าที่มาจากแคนาดา จนทำให้ฟ้าเน่า แบบเน่ามาก ๆ ทำให้ต้องลุ้นว่าพรุ่งนี้เข้าป่าวิวจะเป็นอย่างไร และปัญหาของผมอย่างหนึ่งคือ ผมไม่ได้จอง Campsite ไว้เลย เพราะคิดว่าจะหาแคมป์ที่คนจองไว้แต่ไม่มาเพื่อเสียบแทน แต่ก็ไม่มี จนผมเดินไปถึง Backpacker Campground ซึ่งมีอยู่แค่ 2 ที่ ที่หนึ่งมีคนอยู่แล้ว ส่วนอีกที่วันนั้นว่าง ผมเลยว่าจะเนียน ๆ เดินไปด้อม ๆ มอง ๆ อยู่นาน จนมีคนจากอีกแคมป์ถามว่า ผมกำลังหาที่นอนอยู่หรอ ผมก็ยอมรับแต่โดยดีว่า ใช่ ครับ
โดยทั้งสองคนที่ทักผมนั้นชื่อ Ryan และ Scott จริง ๆ ทั้งคู่บอกว่าพวกเขาตั้งใจจะจองอันเดียว แต่ Ranger ให้มาสอง ถ้าผมจะนอนก็ได้เลยนะ ดีกว่าปล่อยว่าง ฟังจบผมนี่น้ำตาจะไหล ช่วงดึกผมเลยไปนั้งพูดคุยกับพวกเขาในวงเบียร์ จนได้ความว่าทั้งสองคนมาเดินป่าที่นี่เป็นที่แรกและครั้งแรก ผมจึงเลยเล่าให้ทั้งคู่ฟังว่า ผมทำอะไรมาบ้าง นี่ก็เป็นอีกครั้งที่คนอึ้งกับสิ่งที่ผมทำอยู่ Scott บอกว่า I’m 48 but you have seen many place than my entire life. ซึ่งทั้งสองคนก็เพิ่งออกมาจากเทรลที่ผมจะเข้าไป แต่ก็มีแพลนจะไปอีกที่ในพรุ่งนี้ และออกจากป่าในวันเดียวกัน ผมเลยนัดแนะเจอกันอีกครั้งกับทั้งคู่ หลังจากที่ผมเดินจบ Pitamakan – Dawson Loop
Day 40-41 : Pitamakan – Dawson Loop : No Name Lake Campsite
เช้าวันที่ 40 ผมเริ่มเดิน Pitamakan – Dawson Loop ในช่วง 8 โมง หลังจากรับ Permit ซึ่งรีวิวเต็มของเส้นนี้ มีโพสต์แยกให้อ่านอีกเหมือนเดิม หลังจากเดินจบผมก็ขับรถไป East Glacier Park เป็นเมืองเล็กๆ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของอุทยานฯ และพบเจอกับ Ryan และ Scott อีกครั้ง รอบนี้ผมหาที่นอนไม่ได้อีกเช่นเคย ซึ่งก็ได้ทั้งสองคนนี่แหละที่แนะนำให้มาพักที่ Motel แล้งเราสามคนก็ออกไปดริ้งกันจนดึก ก่อนจะกลับมาพักที่ Whistling Swan Motel
Day 42 : Grinnell Glacier – Avalanche Lake : Avalanche Campground
GNP มีข้อกำหนดในช่วงปี 23 ว่าถ้าจะเข้าอุทยานฯ ในช่วงเวลา 6 โมงเช้า ถึงบ่าย 3 โมง ต้องมี Ticket time entry ซึ่งผมก็ไม่มี เลยทำให้ต้องออกจาก Motel ที่พักพิงกับ Ryan และ Scott ตั้งแต่ตี 3 ขับรถไปถึง Grinnell Glacier TH ในโซน Many Glacier ก็เกือบตี 5 รอดด่านพอดี แต่ร่างกายก็ยังอยากพักผ่อน ผมเลยต้องนอนพักในรถรอแสงเช้าเกือบ 10 โมง แล้วเริ่มออกเดิน กว่าจะเดินจบก็บ่าย 3 โมง และขับรถมาเข้าทาง Saint Mary ในปี 2023 เราไม่จำเป็นต้องมี Entry ticket ถ้าเลยบ่าย 3 โมง ไปแล้ว ผมขับรถไปตามถนน Going-to-the-sun-Road ชมวิวระหว่างทางไปเรื่อย และไปพักที่ Avalanche Campground ต่อด้วยเดินเทรล Avalanche Lake ในช่วงเย็น เป็นเทรลที่ง่ายๆ เหมาะกับทุกคน ทางสบาย และน่าจะเป็นเทรลที่คนมาเยอะที่สุดแล้ว ซึ่งรีวิวเต็ม ๆ ของ GNP ผมก็มีแยกให้อ่านอีกว่าตลอดเวลา 10 กว่าวันที่อยู่ที่นี่ ผมไปไหน และทำอะไรบ้าง
Day 43 : Going-to-the-sun-Road : Brownies Hostel & Bakery
วันที่ 43 คือวันที่ผมพักผ่อน และต้องไปเอา Permit ของเส้น North circle loop หลังจากรับ Permit แล้วก็ใช้เวลาทั้งวันขับรถเล่นตาม Going-to-the-sun-Road แวะถ่ายรูปหลายจุด ที่แนะนำคือ The Loop, Paradise Meadow, Mountain Goat Study Area, Logan Pass, Heavy Runner Mountain overlook, Jackson Glacier Overlook, Wild Goose Island Lookout ที่พักในคืนก่อนเข้าป่าหลายวันผมพักที่ Brownies Hostel & Bakery เป็นโฮสเทลเล็ก ๆ ทางฝั่ง East คืนละประมาณ $80 สำหรับเตียง Queen size และห้องน้ำรวม
Day 44 – 47 : North Circle loop : Campsite on Trail
เช้าวันที่ 44 ผมขับรถออกมาที่ Many Glacier อีกครั้ง แต่รอบนี้ไม่ต้องรีบ เพราะมี Backpacking Permit ใช้แทน Entry ticket ได้ ขับรถมาจอดที่ Iceberg Ptarmigan Trailhead และเริ่มเดินเส้น North Circle loop ซึ่งสามารถอ่านรีวิวโดยละเอียดได้จากโพสต์แยกอีกตามเคย หลังจากจบ North Circle loop เย็นวันที่ 45 ผมมาพักที่ Brownies Hostel & Bakery อีกครั้ง
Day 48 : Logan Pass – Hidden Lake – Lake McDonald : Sprague Creek Campground
พักร่างกาย และซักผ้าในช่วงเช่าวันที่ 48 ที่โฮสเทลมีเครื่องซักผ้าแบบหยอดเหรียญให้บริการ ช่วงบ่ายผมเข้าไปใน Park อีกครั้งทาง Saint Mary โดยใช้ E-mail จอง Campsite เป็นใบผ่าน ก่อนจะไปจอดรถไว้ที่ The loop เพราะผมว่างแผนจะเดิน Highline ในวันที่ 47 ที่เริ่มต้นที่ Logan pass ไปจบที่ The loop ระหว่างนั้นก็ว่าง จึงนั่งรถ Shuttle ของ Park ที่วิ่งไปตามจุดต่าง ๆ ขึ้นกลับไปที่ Logan pass ก่อนจะเดินไป Hidden Lake เทรลนี้น่าจะพอ ๆ กับ Avalanche แต่ง่ายกว่ามาก จริง ๆ แล้วคนอาจจะเดินเส้นนี้เยอะกว่า เพราะมีจุดไฮไลต์ใกล้ ๆ หลายจุด ระหว่างทางอาจจะพบเห็นสัตว์ต่าง ๆ เช่น Mountain goat และ Bighorn sheep พอเดินเสร็จผมก็นั่ง Shuttle ไปฝั่ง West และลงที่ Sprague Creek Campground ตั้งแคมป์ก่อนจะไปดูพระอาทิตย์ตกที่ Lake McDonald สุดโด่งดัง
Day 49-50 : Highline Trail : Sprague Creek Campground
วันที่ 49 ผมเก็บของ และนั่ง Shuttle มาที่ The loop เอาของไม่จำเป็นลง แล้วนั่ง Shuttle ต่อไปที่ Logan pass เพื่อเริ่มเดิน Highline Trail เส้นนี้ไม่เหมาะกับคนกลัวความสูง เพราะช่วงแรกทางแคบมาก ๆ แต่ก็มีราวจับในเดิน ๆ ไปได้ ระหว่างทางมีวิว Mt Oberlin, Mt Cannon ให้ชมตลอดทาง จนข้าม Haystack Butte ไฮไลต์จริง ๆ ของเส้นนี้ คงหนีไม่พ้น Grinnell Glacier Overlook จุดชม Grinnell Glacier มุมสูงที่เป็น Side trip แต่ต้องเดินในระยะ 1.3 กิโลเมตร กับ Iconic วิวที่ถ้าไปแล้วก็กลั่นใจขึ้นไปเถอะเพราะดีจริง ๆ ถัดจากนั้นก็จะไม่มีอะไรมาก และเริ่มเดินลงเมื่อเลย Granite Park Chalet
แต่ถ้าใครแรงเหลือจะดันต่อไป Swiftcurrent Mountain ที่เป็นอีก Side trip สุดโหดก็ได้ แต่ผมขอผ่าน เทรลจะจบที่ the loop ที่มีลานจอดรถอยู่ใครที่จะเดินเส้น Highline Trail แนะนำให้จอดรถตรงนี้ และไปเริ่มที่ Logan pass จะได้ไม่ต้องดัน Elevation gain มากโดยไม่จำเป็น พอถึงรถผมก็ขับมาที่ Paradise Meadow เพื่อเก็บแสงเย็น ก่อนกลับไปที่ Sprague Creek Campground และใช้คืนสุดท้ายที่นี้ ก่อนจะออกเดินทางไปชมเมือง Kalispell และมาขึ้นเครื่องที่ Glacier Park International Airport กลับมาที่ Florida จบทริป Solo Backpacking ทริปแรกในชีวิต
การเดินทางคนเดียวตลอด 50 วันนี้ให้อะไรผมบ้าง?
ส่วนตัวแรก ๆ ผมก็กังวลและกลัวมาก เพราะเป็นครั้งแรกที่เที่ยวคนเดียวแบบคนเดียวจริง ๆ อยู่ในป่าคนเดียว Navigate เอง แบกของเอง ถ่ายรูปเอง ขับรถเอง ทำอะไรทุกอย่างด้วยตัวเองทั้งหมด ตอนแรกก็คิดอยู่นานว่าจะไปดีไหม เพราะถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ใครจะเรียกคนมาช่วยเรากันนะ อีพ่ออีแม่จะรู้ไหมว่าลูกเป็นอย่างไร แต่ก็นะคิดอีกทีถ้าไม่ไปตอนนี้ แล้วจะตอนไหน??? อยู่ที่นี่อีกไม่กี่ปี ซัมเมอร์ก็มีแค่ 3 รอบ PhD ปีสูงๆ ก็คงจะยุ่งจนไม่ได้ไปไหน พอคิดได้แบบนั้น ความกลัวค่อย ๆ ปลิวไป กลายมาเป็น Motivation เสียอย่างนั้น
ผมเริ่มนั่งหาข้อมูลเทรลที่จะเดิน วางแผนเดินทาง ขอ Permits จัดการหลาย ๆ อย่างจนตารางออก แต่พอดูตารางก็ปวดหัวอีกว่าจะเดินรอดไหม เทรลที่อยากไปเยอะมาก และเดินอัด ๆ จนแทบจะไม่มีวันพักเลย จำได้เลยว่าในตารางมีวันพักแค่ 3 วัน จาก 50 วัน จนแล้วจนรอดก็ไม่ปรับ เพราะคิดว่าบินไปถึงที่แล้ว ต้องทำให้ได้ เทรลที่ท้อที่สุดคงเป็นเทรลแรก (Timberline Loop) เพราะเป็นแบ็กแพ็กกิ้งเทรลแรก บวกกับไปตอนที่เขายังไม่ได้เปิดเต็มที่ ทางจึงยังรก หิมะยังมี บางจุดถ้าพลาดก็กลับบ้านเก่าได้เลย (ดีที่ระวังตัวพอสมควร เลยไม่มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด และรอดออกมาได้) พอผ่านอันแรกไปก็เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่ค่อยรู้สึกท้อเท่าไหร่เวลาเดิน (นี่สินะที่เขาบอก เทรลแรกยากเสมอ) จนเดินครบทุกที่ที่อยากไป มีปรับแพลนนิดหน่อย แต่ไม่มีล้มเลยแม้แต่อันเดียว เพราะโชคดีได้คนช่วย และเจอคนดี ๆ ระหว่างทางนี่ละ Glacier ตัวดีเลย
วันแรกไปไม่มีที่นอน ดีที่เจอคนให้จอยแคมป์ และที่จริงเส้น North Loop ไม่ได้แคมป์ที่อยากได้ แต่ก็เจอคู่รักระหว่างทางตอนเดินคุยกันไปมา เขาได้แคมป์นั้นในวันที่เราอยากได้พอดี และให้เราแชร์แคมป์ด้วย ไม่อย่างนั้นคงต้องเดิน 6 วัน แทนที่จะเป็น 4 วัน เดินจบสวย ๆ
ในส่วนรูปแบบทริปที่ผมทำอาจจะไม่เหมือนใครสักเท่าไหร่ อย่างแรกคือผมเลือกเส้นที่เราจะไปเดินเอง และหาข้อมูลเองทั้งหมด จะเห็นว่าหลาย ๆ เส้น พูดชื่อไปก็ไม่รู้จัก แม้จะรู้จักอุทยานฯ ก็ไม่รู้ชื่อเทรลอยู่ดี บางเส้นเราไปไม่เจอคนเลย Loowit Loop นี้ นับได้เลยว่าเจอแค่ 10 คน ผมค้นพบว่าการไปในที่ที่ผมอยากไปแบบไม่ได้ตามกระแสใคร มันดีจริง ๆ นะ ผมได้พบความสวยงามและความแตกต่างที่ยากจะหาได้จากโซเชียลมีเดีย
อย่างที่สองคือส่วนมากคนจะเดินเทรลยาว ๆ ไปเลย PCT CDT ทั้งเส้น หรือแบบเป็น Section เพราะค่าใช้จ่ายน้อยกว่ามาก ๆ แต่ข้อเสียคือจะมีบางช่วงที่ไม่มีวิวดี ๆ และเดินตามถนนบ้าง ในตอนเราเลือกเทรลเราก็ตัดเทรลที่ทับกับเส้น Thru-Hike ดัง ๆ ออก (เพราะคิดว่าคงจะไปเดิน PCT CDT อยู่ดี สักวันละนะ) เทรลที่เราเดินจะว่าเป็นอีกมุมมองของการเดินป่าในอเมริกาก็ว่าได้ เทรลที่มีวิวสวยทุก ๆ วัน โดยใช้เวลาไม่นานมาก 4 – 5 วัน กำลังดี เสร็จก็ขับรถไปเทรลต่อไป ไล่ตามแผนที่ไปเรื่อย ๆ ใต้ขึ้นเหนือ ตะวันตกไปตะวันออก แต่ก็ต้องแลกมากับการวางแพลนที่ดีพอ และการจัดการกับ Permit ให้ลงตัวกับวันที่ต้องการทั้งหมด ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ นอกจากจะต้องศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดแล้วยังต้องดวงดีอีกด้วย
สรุปการเดินในทริปนี้
Total Hiked Distance 700 km, 30,000 m elevation gain
โดยแบ่งเป็น
Backpacking, 8 trails, 525km, 23,000 m elevation gain, 26 days.
Longest Distance backpacking in a day : Day 4 North Circle (Fifty Mountain Campground – Ptarmigan Trailhead) = 32km/20miles, gain 600m, loss 900m, 11hrs (8am-7pm)
Day-hike, countless trails, 175km, 7,000 m elevation gain, 21 days.
Longest Distance Day – Hike : The Enchantments : 29km/18miles, gains 1485 m, loss 1990 m, 13hrs (6am-9pm)
Zero day = 3 days
Cost = $3,500
อ่านรีวิวเต็มๆ ได้ที่ https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=24727614896853243&id=100000942259911
EXPLORER: เกม-ธนากร อุทัย
