ปฐมบทแห่ง โรงเรียนนักเดินป่า แดนอีสานเริ่มต้นขึ้นแล้ว กับเส้นทางเดินป่าผาสวรรค์ อุทยานแห่งชาติน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น
วิวบนหน้าผาสูงเวลาเย็นพวกเราต่างตั้งตารอแสงสุดท้ายของวันลับไป แสงสีส้มระเรื่อสะท้อนพื้นผิวน้ำกว้างใหญ่ไกลสุดลูกตา “วิวแบบนี้ผมไม่ค่อยได้เห็นจากที่ไหน” ผมเปรยเบา ๆ กับเพื่อนร่วมทางที่เป็นนักเรียนรุ่นหนึ่งของ โรงเรียนนักเดินป่า ที่นี่
ผมคนหนึ่งที่คิดไม่ถึงว่าขอนแก่นจะมีเส้นทางเดินป่าที่เดินสนุก และสวยงามแบบนี้ มันทำให้ผมรู้สึกอิจฉาคนเมืองนี้ขึ้นมาทันที ท่ามกลางดงทึบ ทุ่งโล่ง เพิงหิน และภาพเขียนสีโบราณอายุหลายพันปี ประสบการณ์ที่ได้สัมผัสจากรูปแบบของธรรมชาติที่หลากหลายมันให้รู้สึกตื่นเต้นไปพร้อมกับความสุขใจ ระยะทางที่กำลังดีแบบไม่ไกลจนเกินไป อาการหอบเหนื่อยเบา ๆ ทำให้สูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดได้มากขึ้น กลิ่นของต้นไม้และดินอ่อน ๆ นอกจากในป่าก็หาไม่ได้อีกแล้วจากที่ไหน
ตั้งแต่โรงเรียนนักเดินป่าถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อสามสี่ปีก่อนจนกระทั่งตอนนี้มีโรงเรียนนักเดินป่าเพิ่มขึ้นเป็นสี่สาขา และในอนาคตมียังมีแนวร่วมจากเจ้าหน้าที่ และหน่วยงานอื่น ๆ อีกมากมายที่เล็งเห็นแล้วว่าสิ่งที่ทุกคนตั้งใจทำนั้นมีประโยชน์ ที่ผมใช้คำว่าทุกคนนั้นหมายถึงทั้งกลุ่มผู้บุกเบิก นักเรียน เจ้าหน้าที่ อาสาสมัครนักสื่อสารธรรมชาติ ไปจนถึงชาวบ้านผู้นำทาง และทุกคนที่เกี่ยวข้องนั้นมีความสำคัญไม่แพ้กัน
ต่อให้โรงเรียนนักเดินป่าในแต่ละสาขาถูกจัดตั้งขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว หากขาดหัวใจของผู้สานต่อก็เท่านั้น เพราะฉะนั้นเจ้าหน้าทุกท่านที่รับไม้สานต่อโครงการนี้ให้คงอยู่ก็ถือบุคคลสำคัญที่ขาดไม่ได้เช่นเดียวกัน ถ้าขาดพวกเขาเหล่านั้นไปวัฒนธรรมการเดินป่าที่ดีงามก็ไปต่อไม่ได้เช่นกัน
ป่าแดนอีสาน
ปฐมบทแห่งโรงเรียนนักเดินป่าภาคอีสานนี้เริ่มต้นด้วยบทเรียนมาตรฐานเรื่องความเข้าใจในเป้สัมภาระ การจัดอุปกรณ์ และสำคัญที่สุดคือข้อควรปฏิบัติที่ถูกต้องต่าง ๆ เมื่ออยู่ในป่า เราใช้เวลาในช่วงบ่ายจนถึงเย็นที่ลานนับดาวบริเวณอุทยานแห่งชาติน้ำพองเป็นห้องเรียน ให้ความรู้เกี่ยวเบื้องต้นกันก่อนเข้าป่าในวันรุ่งขึ้น นอกจากเจ้าหน้าที่แล้ว ยังมีบรรดาอาสาสมัครที่เป็นศิษย์เก่ารุ่นอื่น ๆ จากหลายที่มาช่วยด้วย ทุกคนล้วนมาด้วยความตั้งใจไม่มีค่าตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้นซึ่งเป็นสิ่งที่น่ายินดี เท่าที่ผมไปโรงเรียนนักเดินป่ามาทุกที่ บอกได้เลยว่าตอนนี้เรามีอาสาสมัครที่พร้อมใจจะให้ความร่วมมือเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
รุ่งขึ้นเหล่านักเรียน และเจ้าหน้าที่เตรียมตัวกันพร้อมแล้ว พวกเราขึ้นรถไปจุดเริ่มเดินที่เส้นทางศึกษาธรรมชาติ “หินช้างสี” ใช้เวลานั่งรถไปประมาณ 30 นาทีจากที่ทำการอุทยาน บรรยากาศของป่าดิบแล้งในช่วงต้นฤดูฝนดูชอุ่มเขียวขจีชุ่มชื่น นี่คือความต้องการของเจ้าหน้าที่ ที่อยากเปิดเส้นทางในฤดูนี้เพื่อให้พวกเราได้สัมผัสกับการเดินป่าลุยฝน แต่อย่างว่าใครจะไปเอาแน่เอานอนกับสภาพอากาศได้ ก่อนหน้านี้หนึ่งวันฝนลงฉ่ำไปทั่วบริเวณจนแทบจะหมดฟ้าไปแล้ว พวกเราเลยได้สัมผัสไอแดดแทนไอฝน แต่ยังโชคดีที่มีต้นไม้สูงเรือนยอดของมันแผ่ใบหนาทำหน้าที่เป็นร่มเงาให้พวกเราอยู่เป็นระยะ
ตลอดระยะทางจะมีการเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ จากเจ้าหน้าที่และอาสาสมัคร เราได้หลับตาฟังเสียงธรรมชาติ ได้ความรู้เรื่องพันธุ์ไม้ ได้เห็นภาพเขียนสีในยุคก่อนประวัติศาสตร์อายุหลายพันปีที่อยู่ตามเพิงหิน มันเป็นสิ่งที่ทำให้เส้นทางนี้ดูพิเศษ และมีเสน่ห์ น่าเสียดายที่บางภาพก็เลือนรางไปตามเวลา แต่บางจุดยังแสดงถึงรูปร่างของ วัว หมาจิ้งจอก มนุษย์ กับสัญลักษณ์ประหลาด ๆ ได้อย่างชัดเจน หินก้อนใหญ่รูปทรงแปลกตาตั้งตระหง่านมีให้เห็นอยู่ตลอดเส้นทาง ตามประสาเส้นทางในป่าเขาที่มักไม่ได้เรียบสนิท กลายเป็นสิ่งที่ทำให้นักเดินป่ามือใหม่ได้ฝึกฝนการเดินในพื้นที่ธรรมชาติได้ดี
บ่ายโมงเศษพวกเราก็ถึงที่หมายแล้ว คืนนี้เรานอนกันตรงจุดแค้มป์ “ผาผึ้ง” พื้นที่บริเวณนี้กางได้ทั้งเต็นท์ และผูกเปล ผมเลือกผูกเปลแถว ๆ แหล่งน้ำที่บรรยากาศดูโปร่งหน่อย จากสภาพอากาศผมเลือกหันเปลรับลมและเปิดทาร์ปกว้าง ๆ ไว้แต่ก็เตรียมพร้อมรับมือเกิดมีฝนหนักในช่วงกลางคืน
หลังจากที่เรียนรู้เรื่องการจัดการพื้นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เดินไปผาสวรรค์ที่อยู่ห่างไปประมาณ 700 เมตร จากจุดพักแรม วิวบนหน้าผาสูงเวลาเย็นพวกเราต่างตั้งตารอแสงสุดท้ายของวันลับไป แสงสีส้มระเรื่อสะท้อนพื้นผิวน้ำกว้างใหญ่ไกลสุดลูกตา “วิวแบบนี้ผมไม่ค่อยได้เห็นจากที่ไหน” ผมเปรยเบา ๆ กับเพื่อนร่วมทางที่เป็นนักเรียนรุ่นหนึ่งของโรงเรียนนักป่าที่นี่
พวกเราชมความของพระอาทิตย์กันพอประมาณ และตัดสินใจเดินกลับไปจุดพักแรมกันก่อนฟ้าจะมืด
เรายังมีมื้อเย็นที่ต้องเตรียมกันอีก สำหรับผมมนุษย์อาหารแห้งไม่มีอะไรอร่อยไปกว่ากุนเชียงที่ทอดไว้แล้วเมื่อวันก่อนกับข้าวเหนียวร้อน ๆ จากเพื่อนร่วมทาง ในบริบทเช่นนี้อาหารทุกอย่างจะรสชาติดีขึ้นเป็นสิบเท่าทันที
คืนนี้เราไม่ต้องการความอบอุ่นจากกองไฟ แค่ต้องการเพียงแสงสว่างสำหรับวงสนทนายามราตรีเท่านั้น โคมไฟ LED ถูกแขวนเรียงรายและทำหน้าที่มอบแสงนวลตาแทนแสงจากกองฟืน
ในความเพลิดเพลินเวลามักเดินเร็วกว่าปกติเสมอ นาฬิกาที่ข้อมือผมมันบอกเวลาสี่ทุ่มเศษ “ขอตัวไปนอนก่อนนะครับ พอเห็นเวลาก็ง่วงขึ้นมาทันทีราตรีสวัสดิ์ครับทุกคน” ผมบอกลารอบวงแล้วตรงดิ่งไปยังที่พักสุดหรูกลางป่า คืนนี้พอมีลมอ่อน ๆ โชยเป็นระยะไม่ถึงกับเย็นมากแต่ก็ไม่อบร้อนนอนสบาย
พระอาทิตย์ขึ้นตรงวิวที่ผมนอนพอดี แต่เช้านี้ความขี้เกียจมันกดทับทำผมลุกไปไหนไม่ได้ ความสบายของการนอนเปลทำให้ผมเลือกตื่นสายอย่างจงใจ หลังจากอาหารเช้าเราได้เรียนเรื่องเงื่อนผูกเปลกันเป็นบทเรียนสุดท้ายก่อนเดินเท้ากลับ แต่ป่าที่นี่ยังมีเซอร์ไพร้ส์ จุดชมวิวหินช้างสี คือปลายทางที่ทำให้การเดินป่าครั้งนี้มีความฟินาเล่ เราเดินจบสวย ๆ ผ่านจุดชุมวิวที่มุมสูงบนทางเดินไม้ แล้วไปสุดตรงร้านสวัสดิการของอุทยานที่มีเครื่องดื่มเย็น ๆ รออยู่
พวกเราใช้เวลานั่งพักไปคุยกันไปสักระยะก็ต่างแยกย้ายเราบอกลากันตรงนี้ ทุกอย่างเรียบง่ายไม่มีพิธีรีตองไม่ต่างจากตอนที่พวกเราพบกัน เราอาจจะเจอกันหรือไม่เจอกันอีกก็ได้ แต่เชื่อเถอะหากเรายังเดินทางเราก็คงได้พบกันอีก ยินดีที่พบกันนักเดินทางทุกท่าน…
เดินป่าลำบากไหม
“เดินป่าลำบากไหม” ผมว่ามันขึ้นอยู่ว่าเอาไปเทียบกับอะไร ถ้าเทียบกับชีวิตปกติอย่างพวกเราก็ลำบากกว่าแน่นอน แต่ถ้าเอาคำถามนี้ไปถามชาวบ้านที่เขาใช้ชีวิตเข้าป่าเป็นปกติ เขาก็บอกว่าไม่ลำบากมันเป็นเรื่องปกติทั่วไป แต่พอได้เที่ยวป่าบ่อยเข้าก็ต้องบอกแบบนี้ครับว่า “ไม่ลำบาก แต่ก็ไม่สะดวกเหมือนอยู่บ้าน” แต่มันมีวิธีการจัดการที่ทำให้เราสามารถใช้ชีวิตในป่าได้อย่างสบาย ๆ หลายคนอาจมีความกังวลเรื่องนี้แต่เชื่อเถอะว่าถ้าเราเตรียมตัวมาพร้อม การเที่ยวป่าจะสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับชีวิตแน่นอน
ในทริปนี้มีน้องผู้หญิงวัย 16 และ 17 ปี สองคนสมัครเข้ามาในแบบที่ไม่เคยเดินป่ามาก่อน และครั้งนี้คือการเดินป่าแบบจริงจัง เรียนรู้วิธีจัดการสัมภาระ และข้อปฏิบัติต่าง ๆ แบกเป้ กางเต็นท์ ทำอาหาร และดูและตัวเองเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นครั้งแรกของชีวิต จากคำบอกเล่าของน้องทั้งสองคนนอกจากบอก “ว่าโคตรเหนื่อย” นอกนั้นประทับใจทุกอย่าง และครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายของพวกเธอ
ถ้าในยุคที่ผมยังเรียนอยู่มันมีอะไรแบบนี้ที่คอยบอกเราว่าต้องเตรียมตัวอย่างไร ผมคงไม่ต้องแบกหม้อชามกระทะ ไข่ยกลัง น้ำยกโหล แบกของเหมือนย้ายบ้านมากกว่าไปเที่ยวดอยแน่ ๆ คงจะเหลือเพียงแค่เป้ข้างหลังใบเดียวที่จัดสรรของทุกอย่างมาแล้ว ไม่ต้องหิ้วของเกินความจำเป็นพะรุงพะรังไปแบบนั้น นี่ยังไม่รวมว่าไม่เอาเสื้อกันหนาวกับถุงนอนไปด้วยนะเพราะคิดว่าจะไปหาเอาข้างหน้าไม่มีก็ไม่เป็นไร สรุปไม่มีครับนอนทรมานไปสองสามคืนแต่ก็สนุกดี
เดินป่าทำไมต้องเรียน
จริง ๆ “ไม่ต้องเรียนก็ได้แต่ควรต้องรู้ในบางเรื่อง” เที่ยวป่ามันไม่ใช่แค่เรื่องของการจัดเป้ หรือเรียนรู้เรื่องอุปกรณ์แค่นั้น แต่มันเป็นเรื่องที่ควรรู้เพื่อความปลอดภัยทั้งต่อตัวเอง และคนอื่น และเป็นเรื่องที่จะทำอย่างไรให้เกิดผลกระทบกับธรรมชาติแบบน้อยที่สุดด้วย บางอย่างที่เราคิดว่านิดเดียวไม่เป็นไร มันทำให้ธรรมชาติพังมาเยอะแล้ว รู้ไว้ไม่เสียหาย แค่แนวคิดสามข้อนี้ก็เพียงพอต่อการสร้างวัฒนธรรมการเที่ยวป่าที่ดีได้ “พึ่งพาตนเอง เคารพธรรมชาติ ให้เกียรติเพื่อนร่วมทาง”
โรงเรียนนักเดินป่าเป็นเหมือนพื้นที่หนึ่ง ที่ส่งต่อวัฒนธรรมในการเข้าถึงธรรมชาติที่ดีงามเท่านั้น ถ้าหากคุณยังไม่ได้มีโอกาสได้เข้าไปร่วมกิจกรรมกับที่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเข้าถึงธรรมชาติอย่างถูกต้องไม่ได้ เพียงแค่เรารู้แนวคิดที่เป็นเหมือนแกนหลัก และข้อควรปฏิบัติไม่กี่ข้อ แค่นั้นคุณก็เป็นส่วนหนึ่งที่ส่งต่อวัฒนธรรมที่ดีในการเดินป่าได้แล้ว
พึ่งพาตนเอง
การทำทุกอย่างด้วยตัวเองถือเป็นเรื่องพื้นฐานที่คนเดินป่าต้องมี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการจัดการอุปกรณ์เท่าที่จำเป็น ศึกษาเส้นทาง กินอยู่หลับนอน และเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น หลงป่า อย่างน้อยเมื่อเกิดสถานการณ์นี้ขึ้นมาจะทำให้เราปลอดภัยเพื่อรอความช่วยเหลือได้ ซึ่งอย่ากังวลไปเลยถ้าคุณไม่เิดนออกนอกเส้นทาง ควรหยุดรอเพื่อน ไม่รีบร้อนเดินไปก่อน ถ้าเดินกันเป็นกลุ่มก็น้อยมากที่คุณจะหลงทาง
เคารพธรรมชาติ
ถ้าหากเราแสวงหาความสุขจากธรรมชาติ เราเองก็ควรมีหน้าที่ทำให้มันคงสภาพเดิมที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าเราแสวงหาความสุขกับป่า ป่าก็ไม่ควรโทรมเพราะเรา ผมว่าเรื่องนี้ถือว่าแฟร์ ๆ ทั้งต่อเรา และธรรมชาติ ตอนเที่ยวป่าให้เราลองทำตัวเป็นคนขี้เกรงใจดู จินตนาการว่าเหมือนไปบ้านเพื่อน จะกินจะอยู่ก็เกรงใจเจ้าของบ้านที่เป็น ต้นไม้ และสัตว์ป่าเขาหน่อย ขยะไม่ทิ้ง จะถ่ายหนักเบาก็ต้องมีวิธีจัดการ ถ้าเราเป็นเจ้าของบ้านเองก็คงไม่อยากให้ใครมาทำบ้านเราสกปรก เละเทะจริงไหม เช่นเดียวกันครับ ในพื้นที่ป่าที่เราเข้าไป และทุกครั้งที่เราออกมา ต้องดูเหมือนแทบไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยคือดีที่สุด นอกจากความภูมิใจในตัวเองที่คุณจะได้รับแล้ว ยังเป็นการนึกถึงนักเดินทางกลุ่มข้างหลังคุณด้วย ถ้าทุกคนมีสิทธิเข้าถึงธรรมชาติได้ ทุกคนก็ควรถนอมมันด้วยเช่นกัน
ให้เกียรติเพื่อนร่วมทาง
ในการเดินป่าทุกครั้งของผมจะมีโอกาสร่วมทางกับคนแปลกหน้าที่ผมไม่รู้จักด้วยเสมอ แต่หลังจากออกมาแล้วคนแปลกหน้าจะเปลี่ยนสถานะกลายเป็นเพื่อนกันทุกครั้ง การนึกถึงเพื่อนร่วมทางคืออีกสิ่งที่เราควรคำนึงเสมอ มันไม่จำเป็นที่คุณจะต้องถึงขนาดบริการเขาอะไรมากมายหรอก แค่ไม่สร้างความเดือดร้อนลำบากใจ มอบความสงบ มีน้ำใจ และให้เกียรติกันเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
เราเท่ากัน
ข้อดีของการที่ผมได้ร่วมทางกับคนอื่นในป่าคือเราต่างไม่ได้สนใจเลยว่าใครมีอาชีพอะไร มีเงินมากน้อยขนาดไหน หรือมีตำแหน่งอะไรด้วยซ้ำ เราตัดเรื่องนั้นไปได้เลย จะเป็นใครมาจากไหนถึงเวลาก็เอาเป้ขึ้นหลังแบกเองทั้งนั้น ยิ่งบรรยากาศรอบกองไฟจะเป็นช่วงเวลาแห่งเรื่องราวหลายเรื่อง ที่บรรดาเหล่านักเดินทางเอามาแลกเปลี่ยนกันตั้งแต่เรื่องกาแฟ สัตว์เลี้ยง หนัง กวี ดนตรี หนังสือ วิถีชีวิต ไปจนถึงระบบสุริยะจักรวาล นี่คือนิทานก่อนนอนจากนักเดินทางที่หาฟังจากที่ไหนก็ไม่ได้อีกแล้ว ผมเองก็เก็บเกี่ยวเอาสิ่งที่ได้จากวงสนทนามาเก็บไว้ อันไหนดีก็จำเอามาเล่าสู่กันฟังต่อถ้าไม่ลืมไปเสียก่อน เราได้แง่คิดดี ๆ หลายอย่างจากคนต่างวัย ต่างเพศ ต่างที่มา ต่างความเชื่อ มันคือช่วงเวลาแห่งมิตรภาพที่ไม่มีเส้นแบ่งอะไรทั้งสิ้น ในช่วงเวลานั้นทุกคนคือนักเดินทางเหมือนกัน
ในช่วงมื้อเย็นที่ต่างคนต่างมีอาหารของตัวเองตรงหน้า ไม่ว่าอาหารนั้นจะเป็นแบบสำเร็จรูปง่าย ๆ หรืออาหารเมนูพิเศษจากวัตถุดิบดี ๆ นอกเหนือจากความอิ่มอร่อยมันคือช่วงเวลาแห่งการแบ่งปัน ต่อให้คุณไม่ทำอะไรกินเลยคุณก็ไม่อด ทุกคนยินดีจะแบ่งอาหารให้คุณ ยิ่งถ้าคุณเคยเดินป่ากับชาวบ้านมาบ้างจะเห็นเลยว่าเขาจะเรียกคุณกินข้าวเสมอในแบบที่เรียกมานั่งล้อมวงกินด้วยกันจริงจังไม่ใช่เรียกไปตามมารยาท
ธรรมชาติเข้าถึงได้
การเดินทางท่องเที่ยวไปในธรรมชาติอาจไม่ใช่แค่ท่องเที่ยวเพื่อเก็บเกี่ยวความสุขส่วนตัวเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเป็นความสุขในรูปแบบของสำนึกที่ดีต่อส่วนรวมด้วย การเพิ่งพาตัวเอง เคารพธรรมชาติ และให้เกียรติเพื่อนร่วมทาง หรือการนึกถึงผู้อื่น แท้จริงแล้วในแนวคิดนี้มันไม่ได้ใช้แค่เพียงในป่า แต่มันสามารถใช้ในชีวิตธรรมดา ๆ ของเราทุกวันก็ได้ หากคุณรับรู้ถึงวัฒนธรรมที่ดีในการท่องเที่ยวธรรมชาติแล้ว ก็อย่าลืมส่งต่อบอกกล่าวสิ่งเหล่านี้ให้กับคนรอบข้างคุณรับรู้ด้วยเช่นกัน
พวกเรา Explorers Club อยากชวนทุกคนให้ลองออกไปสัมผัสธรรมชาติดูสักครั้ง ไม่จำเป็นว่าต้องเข้าป่าลึกไปค้างแรม หรือขึ้นเขาชันไปบนยอดดอยสูง แต่มันคือที่ไหนก็ได้ที่ไร้เสียงรถรา และห่างไกลความวุ่นวาย ที่ที่มันสงบพอที่จะให้เราได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ใช้เวลาเพียงชั่วนาทีหลับตาฟังเสียงใบไม้ สายลม และลำธาร นอกเหนือจากรู้จักธรรมชาติมากขึ้นบางทีคุณอาจได้รู้จักตัวเองมากขึ้นเช่นกัน…
EXPOLRER: บาส
AUTHOR & PHOTOGRAPHER: บาส – บดินทร์ บำบัดนรภัย