ดอยมณฑา จังหวัดตาก กับป่าส่งท้ายปี กับระดับความสูง 1,057 เมตร ผมคิดว่าเป็นยอดเขาที่ไม่สูงมากนักสำหรับนักเดินป่า ตลอดการเดินทางขึ้นบนยอดนี้ผ่านลำห้วยสายเล็ก น้ำตกน้อย ๆ แอ่งน้ำเย็น ๆ วิวสองด้านบนสันเขา และเนินชัน ทำให้ตลอดการเดินทางไม่มีคำว่าน่าเบื่อ แต่เป็นคำว่า “เมื่อไหร่จะถึงสักที!!!”

ดอยมณฑา ตั้งอยู่ที่อุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช จังหวัดตาก จะเปิดให้ท่องเที่ยวเป็นฤดูกาล ต้องคอยติดตามที่เพจ อุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช Taksin Maharat National Park นับระยะเดินจากจุดที่รถอีแต๊กส่งเรา ต้องเดินขึ้นไปถึงยอดเขาระยะทาง 10 กิโลเมตรโดยประมาณ และขากลับเดินลงมาอีกเส้นทาง ซึ่งสั้นกว่าด้วยระยะทางเพียง 7 กิโลเมตร หลังจากที่ปิดไปนานนับ 6 ปี ปลายปี 2567 เส้นทางเดินป่า ดอยมณฑาก็กลับมาเปิดอีกครั้ง

ผมตกลงปลงใจกับตัวเองว่าต้องไปเดินเสียแล้ว “ป่าปิดนานขนาดนี้ธรรมชาติจะเป็นยังไงบ้าง” เป็นคำถามของผม และต้องไปหาคำตอบด้วยการพิสูจน์ และสัมผัสให้เห็นกับตา ด้วยการเดิน นั่งรถอีแต๊กจากวัดบ้านปูแป้ ต.พระวอ อ.แม่สอด จ.ตาก ไปตามเส้นทางที่ชาวบ้านใช้ไปไร่นาป่าสวน สองข้างทางเป็นป่าผสมกับนาข้าว ปศุสัตว์อยู่ในคอก ขับไปตามลำห้วยน้ำน้อย แต่ถ้าเป็นฤดูฝนน้ำคงจะมากพอสมควร ผมสังเกตจากรากไม้ที่โผล่ออกมาจากดิน เมื่อถึงตีนเขาสุดทางที่รถจะไปส่งเราได้ ลูกหาบเตรียมความพร้อม เจ้าหน้าที่ตรวจเช็คสมาชิก พวกเราถ่ายรูปรวมกันบันทึกความสดใส่ก่อนเดินขึ้นเขาที่ปิดไปนานนับ 6 ปี


ทางราบอันปลาบปลื้ม
ทางช่วงแรกเดินตามห้วยที่พอมีน้ำไหลอยู่บ้างย้อนตามเส้นทางน้ำไหลขึ้นไป เราต่างกระโดดเหยียบหินเพื่อข้ามไปบริเวณพื้นแห้งเพื่อจะได้เดินอย่างสะดวก หินที่เราเหยียบข้ามเรียงกันเป็นทางไว้อยู่แล้วซึ่งก็ไม่รู้ว่าด้วยความตั้งใจของคนที่เดินไปก่อนหน้าหรือเป็นอย่างธรรมชาติอยู่แล้ว เสียงน้ำไหลในลำห้วยราวกับเป็นเสียงบรรเลงของธรรมชาติ น้ำตกน้อยใหญ่ที่เดินผ่าน เราต่างหยุดยืนชื่นชมกับความงาม ก้มลงใช้มือสัมผัสกับความเย็นของน้ำ เดินสลับเข้าป่าสีเขียวต้นไม้ไม่สูงมากมองเห็นทางเดินชัดเจนที่สุด และสลับเข้าไปเดินในลำห้วยที่แห้งขอดมีเพียงหินก้อนเล็กก้อนใหญ่ไม้ที่หักโค่นแน่นิ่งไม่สนคนเดินผ่าน

ก่อนเดินขึ้นเนินที่ 1 นับจาก 4 ตลอดทางเราพูดกันว่าเดินสบายจัง เนินยังไม่มี เดินแบบนี้คงได้ทั้งวัน และเมื่อถึงเวลาดันเนินแรกของวันเป็นเนินที่ทำให้หายใจแรงเลยทีเดียว เจ้าหน้าที่บอกกับเราว่านี่พึ่งจะเนินแรกเอง เนินที่สามเป็นเนินที่จะได้เดินแบบสี่ขา ผมก็คิดในใจว่าจริงหรือหลอกกันเนินลูกนั้นมันเป็นยังไงทำไมต้องเดินถึงสี่ขาได้แต่สงสัยและเดินต่อไปไปให้เห็นกับตา แต่แค่เนินแรกเราก็หยุดพักหายใจสูดอากาศบริสุทธิ์กันพักใหญ่แล้ว ก่อนเดินทางต่อเพื่อผ่านเขาลูกที่สอง สาม และสี่ต่อไปให้ถึงจุดกางเต็นท์


เนินที่ 3 คลาน สี่ขาไม่เกินจริง
เมื่อเดินผ่านดงทึบออกมาก็พบเข้ากับเนินหินชันๆ สองลูกซ้อนกันอยู่ มองไกล ๆ คนที่เดินมาก่อนหน้าเห็นเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ ในสายตาคนยืนมองจากฝั่งตรงข้ามของเขาลูกนั้น ไม่มีร่มไม้ที่บดบังแสงแดดพอให้เราได้หยุดพัก ผมมองไกลออกไปมีคนเดินกางร่มด้วย มันเป็นอุปกรณ์พิเศษที่ถูกเตรียมมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ผมได้คำตอบของตัวเองแล้วว่าการคลานสี่ขาขึ้นเนินพร้อมกระเป๋าใบโตนั้นคือประสบการณ์ที่ใหม่สุด ๆ

พอพ้นเนินสูงชันมาได้ ผมยืนรอคนอื่น ๆ จนกระทั่งผมกลายเป็นกลุ่มสุดท้าย ปกติแล้วผมก็มักจะถอยตัวเองมาอยู่ท้ายแถวเสมอ ๆ อย่างน้อยที่สุดคนเดินท้าย ๆ จะได้ไม่รู้สึกเหงามาก และผมก็เป็นกำลังใจให้ถึงผมจะไม่ค่อยได้พูดคุยกับเขามากก็ตามที เราเดินกันต่อบนสันเขาผ่านใต้ต้นไม้ที่เป็นร่มเงาขนาดใหญ่มีกองขี้วัวอยู่ทั่วบริเวณ เจ้าหน้าที่บอกกับเราว่า ส่วนมากจะเป็นวัวของชาวบ้านขึ้นมาหากินหญ้าและพักใต้ร่มไม้ ถ้าเรามาเดินป่ากันเขาจะขังวัวไว้ แต่ถ้าไม่มีคนเดินป่าเขาก็ปล่อยให้วัวขึ้นมากินหญ้าปล่อยนานหลายวันเขาก็ค่อยมาตามเอากลับคอก



ยังไม่ถึงอีกจุดกางเต็นท์
ถึงจะผ่านเนินที่สี่มาแล้ว การรั้งท้ายกลุ่มของผมทำให้พบและได้ยินบทสนทนาต่าง ๆ หนึ่งในนั้นคือ “ยังไม่ถึงจุดกางเต็นท์อีกหรอ” ถึงเราจะตะเกียกตะกายผ่านเนินชัน ๆ มาได้แล้ว ก็ยังไม่วายต้องเดินให้พ้นเนินถัดไปอยู่ดี วิวข้างทาง ดอกไม้ ยอดหญ้าถูกแสงกระทบผ่องใสสวยงามกว่าตอนที่ไม่โดนแดด ยังมีสายลมอ่อน ๆ ปลอบประโลมเราได้ในยามเหนื่อยล้า ผมก้มมองนาฬิกา ราวห้าโมงเย็น สี่คนที่เดิมมาเป็นกลุ่มสุดท้ายเดินผ่านเนินต่ำ ๆ มองผ่านป่าไม่ทึบมากออกไปก็เห็นแคมป์ของเพื่อน ๆ ที่มาถึงก่อนหน้า พร้อมรอต้อนรับเราอยู่ ดวงอาทิตย์กลมสีส้ม ย้อมขอบฟ้าให้เป็นไปตามสีของมัน แสงโพล้เพล้ใกล้จะมืดสนิทของสนธยาย่ำมาเยือนในเวลาไม่นาน ช่วงเวลาของราตรีพร้อมนำพาพวกเราไปพบกับเช้าวันถัดไป

วันใหม่
ทะเลหมอกบาง ๆ ตอนเช้า กองไฟที่ก่อไว้ตอนกลางคืนยังไม่ดับ ด้วยเจ้าหน้าที่นอนอยู่ข้าง ๆ คอยเติมฟืน เพื่อเพิ่มความอุ่นให้ร่างกาย และประกอบอาหารเช้า สายลมแรกรุ่งอันเย็นเยือกพัดผ่าน ผมตื่นมาพร้อมกับกล้องคู่ใจเดินตรงไปจุดชมวิวไม่ไกลมาก มองเห็นทิวเขาเป็นชั้นซ้อนกันนำสายตาไปพบกับทะเลหมอกบาง ๆ บางครั้งมวลเมฆถูกพระพายพัดผ่านสันเขา ลิ่วลมกระโชกชวนให้กายหนาวสั่น ผมเดินถ่ายภาพอยู่นานสองนานก็นึกคิดได้ว่าถ้าเรามาช่วงฤดูฝนทะเลหมอกคงจะปกคลุมไปทั่วทั้งหุบเขาเป็นระนาบ น่าจะสวยเอามาก ๆ

ขากลับเดินชมป่า และลงอีกทาง เราลงมาอีกเส้นทางหนึ่งเป็นทางลาดชันลงอย่างเดียว เป็นทางที่เดินชมป่าโดยแท้จริงเพราะแทบจะไม่เห็นทิวทัศน์ข้างทางเลย มีเพียงศิลปะการขดงอของกิ่งก้านสาขาต้นไม้ให้ได้เห็นกันทั่วไป และเดินมาบรรจบเข้ากับทางแยกที่ลูกหาบเดินลัดขึ้นมาเมื่อวานตอนเช้า

เรานั่งรถอีแต๊กกลับมาพร้อมหน้ากันทุกคน ถึงจะมาไม่พร้อมกันแต่ก็ค่อย ๆ ตามกันมา รวมเพื่อนเดินทางครั้งนี้แล้วก็ 19 คน คนขับรถ 2 คน ลูกหาบ 4 คน คนนำทาง 2 คน และเจ้าหน้าที่ 2 คน รวมผมด้วยแล้วเป็น 30 คน เรียกได้ว่าเหมาป่ากันไปเลย เจ้าหน้าที่ดูแลเราเป็นอย่างดี เพราะมีการจำกัดคนขึ้นดอย และเดินช้าไม่ต้องเป็นห่วงเพราะจะมีคนคอยดูแลเราอยู่เสมอ ๆ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ หรือคนนำทางก็ดี จะอยู่กับเราไม่ห่างสายตา และการเดินป่าส่งท้ายปีแบบนี้ผมรู้สึกดี และอิ่มเอมหัวใจที่ได้รับมิตรภาพดี ๆ จากเพื่อน ๆ ถือเป็นเรื่องราวน่ายินดีก่อนข้ามปีที่ได้พบกับทุกคน สวัสดีปีใหม่ครับ
ไปกับโอมทีไรกินดีนอนหลับตลอด ข้าว ปลา อาหาร ขนมหวาน ไม่มีอด มีแต่เพิ่มให้จนคนกินร้องขอให้หยุดทำสักที!!!!
EXPLORER : สิณ
AUTHOR & PHOTOGRAPHER : สิณ – กสิณ สนลา
