หลีกหนีความวุ่นวายมาผ่อนคลายกับวิถีเนิบช้า ท่องเที่ยวไปในมุมที่แตกต่างจากเดิม NAN SLOW LIFE เสน่ห์ของวิถีเนิบช้า และกาแฟ ท่ามกลางกลิ่นอายประวัติศาสตร์ที่อบอวลไปทั่วเมือง “น่าน” ส่วนหนึ่งในอาณาจักรล้านนาตะวันออกอันแสนสงบ เรียบง่าย ที่มักมอบความ “สบายใจ” ต้อนรับนักเดินทางอยู่เสมอ…

นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติที่มีทัศนียภาพอันน่าตื่นตาตื่นใจแล้ว เมืองนี้ยังมีดีในวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอยู่ด้วย ถ้าใครก็ตามได้โอกาสไปเที่ยวที่น่านแล้วทั้งทีก็อยากชวนให้ลองมาหย่อนใจใช้ชีวิตแบบปล่อยจอยที่ตัวเมืองเสียหน่อย รับรองว่าเมืองนี้จะมอบประสบการณ์ท่องเที่ยวใหม่ ๆ ให้แน่นอน
ความน่ารักของเมืองนี้คือไม่ว่าคุณจะหันหน้าไปทางไหน คุณจะเห็นความเป็นพื้นถิ่นอยู่ล้อมรอบตัวคุณไปหมดไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างตัวอักษรล้านนาที่มักปรากฎให้เห็นอยู่เสมอ มีงานศิลปะ และโบราณสถานมากมายที่กระจายอยู่ทั่วเมือง หรือถ้าหากคุณตื่นเช้าหน่อยแล้วได้ไปเดินที่ตลาดตั้งจิตนุสรณ์
คุณจะได้เห็นเมนูอาหารท้องถิ่นสุดออริจินอลแบบอดสงสัยไม่ได้จนต้องถามแม่ค้าว่านี้คืออะไร แล้วก็จะได้คำตอบเป็นภาษาคำเมืองน่ารัก ๆ กลับมา และยังอีกสารพัดพืชผักพื้นถิ่นที่เราอาจได้ไม่เจอในตลาดแถวบ้าน ใส่ถาดใส่จานวางขายกันริมถนนในตอนเช้า

ท่ามกลางบรรยากาศของวิถีชีวิตที่แสนปกติธรรมดา แต่กลับให้ความรู้สึกพิเศษกับคนต่างถิ่นอย่างพวกเราจนรู้สึกว่าถ้าอยากรู้จักเมืองนี้ให้มากขึ้น แล้วพวกเราจะเที่ยวอย่างไรกันดีแทนการเดินถางดงลุยพงขึ้นเขาที่เรามักทำกันประจำ แต่เปลี่ยนบรรยากาศมาทำตัวต๊ะต่อนยอนนอนในเมืองสักคืนสองคืนทำกิจกรรมที่ได้ความเป็นพื้นถิ่นสุด ๆ แล้วกิจกรรมที่ว่านั้นมันมีอะไรบ้างล่ะทีนี้…
ตั๋วเมือง
ถ้าเราตระเวนไปตามวัดต่าง ๆ ที่เป็นโบราณสถาน เรามักจะเห็นอักษรล้านนาอยู่บนงานจิตรกรรมฝาผนังอยู่เสมอ อย่างที่เห็นได้ชัด ๆ เลยก็คือภาพจิตรกรรมฝาผนังในวัดภูมินทร์ที่มักจะปรากฎอักษรล้านนาบรรยายเรื่องราวกระจายอยู่ตามจุดต่าง ๆ ในงานภาพเขียน จนคิดว่าถ้าคนทั่วไปอย่างพวกเรา อยากจะเรียนรู้การเขียนการอ่านอักษรล้านนาหรือ “ตั๋วเมือง” กับเขาบ้าง เอาแบบพอหมอปากหอมคอแค่พอเขียนชื่อตัวเองได้ แถมมีความรู้ติดไม้ติดมือมาสักนิดหน่อยคงไม่ต้องถึงขนาดลงเรียนกันเป็นคอร์สยาว ๆ ที่น่านพอจะมีแหล่งเรียนรู้อะไรแบบนี้บ้างหรือไม่…แค่พิมพ์คำว่า “ตั๋วเมืองน่าน” ในกูเกิลเท่านั้นแหละ…ได้เรื่อง

หลังจากอาหารเช้าที่ตลาด พวกเราก็มุ่งหน้าไปที่ “บ้านตั๋วเมืองคุ้ม๙” เพื่อไปพบกับ “หนานโชติ” บุญโชติ สลีอ่อน ปราชญ์ชุมชน ผู้เชี่ยวชาญการอ่าน และเขียนอักษรล้านนา ที่นี่เขามีกิจกรรมเรียนรู้สนุก ๆ กับการอ่าน และเขียนตั๋วเมือง ซึ่งถือเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ไม่สามารจะหาที่ไหนง่าย ๆ ได้เลย…โอเค! งั้นเรามาเริ่มเรียนกันเลยดีกว่า
หากดูจากกอายุ และริ้วรอยบนหน้าตาของทีมงานพวกเราทั้งหมดถึงแม้จะต่างวัยกันไปบ้าง แต่ตอนนี้เราก็กลายเป็นนักเรียนรุ่นเดียวกันทันที บรรยากาศห้องเรียนที่ดูมีเอกลักษณ์ทำให้กิจกรรมนี้รู้สึกพิเศษมากยิ่งขึ้น พวกเราทุกคนต่างขะมักเขม้นตั้งใจทั้งฟังทั้งเขียนเหมือนพรุ่งนี้มีสอบ ทำให้ช่างภาพต้องเอ่ยปากขอร้องว่า “ยิ้มบ้างเถอะพี่” ภาพออกมาจะได้ไม่เหมือนการสอบบรรจุ!



เราใช้เวลาอยู่ที่นี่กันไม่เกินชั่วโมงครึ่งก็ได้ของแถมติดไม้ติดมือเป็นย่ามล้านนาที่มีตั๋วเมืองฝีมือตัวเองกลับมาเป็นที่ระลึก แต่ไหน ๆ เราเจอหนานโชติที่เป็นผู้รู้เรื่องอักษรล้านนาทั้งที ก็เลยถือโอกาสตีซี้ แล้วรบกวนให้เป็นไกด์นำชมจิตรกรรมฝาผนังที่วัดภูมินทร์ต่อเลยก็แล้วกัน
วัดภูมินทร์
โบราณสถานที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ที่ยังคงความสวยงามสมบูรณ์แม้ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน ตามหลักฐานจากคำภีร์เมืองเหนือชื่อเดิมจะเป็น “วัดพรมหมินทร์” ที่ถูกตั้งขึ้นตามชื่อขอเจ้าครองนครในอดีตเมื่อสี่ร้อยกว่าปีก่อนโน้น แต่ก็ถูกเรียกผิดเพี้ยนไปมาจนกลายเป็น “วัดภูมินทร์” ในปัจจุบัน


ในความโดดเด่นในด้านงานสถาปัตยกรรมนั้นไม่ธรรมดา อย่างเช่น พระอุโบสถ และพระวิหาร ถูกรวมเข้าไว้เป็นหลังเดียวกันที่มาในรูปแบบจตุรมุข ซึ่งก็คือมีประตูทางเข้าออกทั้งสี่ด้าน แตกต่างจากโบสถ์ทั่วไปที่เราเห็นมักจะมีทางเข้าออกเพียงสองด้าน แค่หน้ากับหลังเท่านั้น และประตูยังเป็นงานไม้แกะสลักจากช่างฝีมือล้านนาแท้ ๆ อ่อนช้อย ละเอียดสวยงาม จนรู้สึกทึ่งกับฝีมือช่างในอดีตที่ยังไม่ได้มีเครื่องไม้เครื่องมือครบครันทันสมัยเหมือนในปัจจุบัน
ถึงจะเห็นเป็นโบสถ์หลังย่อม ๆ แบบนี้ก็เถอะรายละเอียดของงานสถาปัตยกรรม จิตรกรรม และงานฝีมือ ในวัดภูมินทร์ยังมีอีกมายมายที่น่าสนใจ ถ้าจะไล่ดูกันจริง ๆ ทั้งด้านนอกด้านในคาดว่าใช้เวลาอยู่ที่นี่ทั้งวันยังได้ ยิ่งในความงดงามของภาพจิตรกรรมฝาผนังด้วยแล้ว คงต้องแหงนมองกันนานจนเมื่อยคอแน่นอน งานภาพเขียนส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวของนิทานชาดก และวิถีชีวิตของชาวน่านในอดีต

การเดินชมงานจิตรกรรมฝาผนังด้านในยิ่งมีไกด์ท้องถิ่นอย่างหนานโชติพาทัวร์ด้วยแล้วทำให้การเที่ยวชมที่นี่ได้ทั้งความรู้ความ และความสนุกผสมกันไป ยิ่งเพิ่งได้เรียนอ่านตั๋วเมืองมายิ่งสนุก ถามว่าอ่านออกรึเปล่า ก็ต้องบอกว่าไม่ แค่ชั่วเวลานั่งรถจากบ้านหนานโชติมาถึงวัดก็ลืมหมดแล้ว ไอ้ที่จะจำได้ก็เพียงบางตัวเท่านั้นแต่ก็ทำให้เราสนุกและตั้งใจดูรายละเอียดของภาพเขียนเหล่านั้นมากขึ้นงานภาพเขียนส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวของนิทานชาดก และวิถีชีวิตของชาวน่านในอดีต

จุดที่ไม่ควรพลาดเลยก็คือ รูปหนุ่มพม่าที่กำลังกระซิบกระซาบอะไรกันอยู่สักอย่างกับสาวพม่าอย่างสนิทสนม จนเกิดเป็นเสน่ห์ในงานจิตรกรรมที่นำพาให้ผู้คนจินตนาการไปต่าง ๆ นานา ว่าเขาชายหนุ่มคนนั้นกำลังพูดอะไร จนทำให้อาจารย์สมเจตน์ วิมลเกษม ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปวัฒนธรรมเมืองน่าน สร้างสรรค์บทประพันธ์ภาษคำเมืองเอาไว้อย่างสวยงามสุดโรแมนติก ของงานจิตรกรรม “กระซิบรักบันลือโลก” ว่า
“คํารักคูพี่นี้ จักเอาไว้ในน้ำก็กลัวหนาว
จักเอาไว้พื้นอากาศกลางหาว
ก็กลัวเดือนดาว ลงมาแวดอุ้ม
จักเอาไว้กลางปราสาทข่วงคุ้ม
ก็กลัวเจ้ามาปะใส่ แล้วลู่เอาไพ
จึงเอาเก็บไว้ในอกในใจคูพี่นี้
หื้อมันให้อะฮิอะฮิ้
ยามเมื่อคูพี่นอนสะดุ้งตื่น เววา”
แปลได้แบบนี้
“ความรักของน้องนั้น พี่จะเอาฝากไว้ในน้ำก็กลัวเหน็บหนาว จะฝากไว้กลางท้องฟ้าอากาศกลางหาว ก็กลัวเมฆหมอกมาปกคลุมรักของพี่ไปเสีย หากเอาไว้ในวังในคุ้ม เจ้าเมืองมาเจอก็จะเอาความรักของพี่ไป เลยขอฝากเอาไว้ในอกในใจของพี่ จะให้มันร้องไห้รำพี้รำพันถึงน้อง ไม่ว่ายามพี่นอนหลับหรือสะดุ้งตื่น”

ทำเราสามารถเดินดูได้อย่างเพลิดเพลินจนลืมเวลา
จริง ๆ แล้วการกระซิบรักในงานจิตรกรรมมีอยู่หลายคู่มาก และยังมีจุดที่น่าสนใจซ่อนอยู่อีกมากมายอยากชวนให้ลองไล่ชมไล่สังเกตกันให้ดีนี่คือความสนุกอีกแบบของการชม แล้วถ้าใครเป็นทาสแมวก็ลองไล่หาแมวให้เจอ ใบ้ให้นิดหน่อยว่าเป็นแมวขาวแต่อยู่ตรงไหนไม่บอก…
โคมมะเต้า
ไหน ๆ ก็ไปเรียนเขียนตั๋วเมืองแล้วพวกเราก็ขอเลือกไปทำโคมไฟแบบล้านนากันต่อเสียเลยเรากระเถิบออกมาจากวัดภูมินทร์ไม่ไกลนักทันทีที่รถถึงจุดหมาย แม่ถิรนันท์ โดยดี ผู้ก่อตั้ง บ้านโคมคำ ส่วนหนึ่งของ “วิสาหกิจชุมชนบ้านโคมคำ ม่วงตึ๊ด” ก็ออกมาต้อนรับพวกเราอย่างอารมณ์ดี เตรียมที่เตรียมอุปกรณ์ พร้อมของว่างไว้เรียบร้อย
โคมมะเต้าคืองานฝีมือที่สืบทอดมาจากภูมิปัญญาของบรรพบุรุษตั้งแต่สมัยอดีตกาล เป็น สัญลักษณ์ที่แสดงถึงความศรัทธาอันแรงกล้าที่มีต่อพุทธศาสนา ถ้าคุณมาเที่ยวภาคเหนืออย่างที่จังหวัดน่านคุณจะเห็นโคมนี้ประดับประดาอยู่ตามวัดวาอารามอย่างสวยงาม ยิ่งหากได้มาในช่วงเวลาสำคัญทางพุทธศาสนาก็จะเห็นโคมมะเต้านี้แขวนเรียงรายเต็มไปหมด แต่ไม่ใช่แค่เพียงในวัดเท่านั้นที่จะมีโคมมะเต้าแขวนอยู่ ตามที่พักอาศัย หรือร้านค้าก็สามารถนำโคมนี้ไปแขวนประดับตกแต่งเพื่อความเป็นศิริมงคลได้ใช่กัน




พวกเราและแม่ถิรนันท์ทำโคมไปคุยไปอย่างถูกคอเพลิดเพลิน จนเผลอแป๊บเดียวก็ได้โคมสวย ๆ ใบใหญ่เอาไปถวายวัด ถึงแม้มันอาจจะไม่ได้สวยเนี๊ยบเท่าไหร่ แต่เชื่อว่าครูที่สอนวิชาการงานพื้นฐานอาชีพสมัยประถม ต้องภูมิใจกับสิ่งนี้แน่นอน
หลังจากทำโคมเสร็จพวกเราก็บึ่งรถไปต่อกันทันทีเพื่อนำโคมนี้ไปถวายที่วัดพระธาตุแช่แห้ง พระอารามหลวง ศาสนสถานที่เก่าแก่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดน่าน ต้องบอกว่านี้คือประสบการณ์การท่องเที่ยวที่แปลกใหม่ และความน่าประทับใจก็คือบรรดาผู้คนที่เราพบเจออย่างแม่ถิรนันท์ หนานโชติ และอีกหลายคนที่ให้ความรู้สึกเป็นกันเองอย่างมาก ถ้าวันนี้เราทำกิจกรรมได้อย่างอิ่มใจแล้วก็ต้องไปจบวันสวย ๆ หาที่อิ่มท้องกันต่อที่ “กาดข่วงเมืองน่าน” ถนนคนเดินที่เปิดในทุกวัน ศุกร์, เสาร์ และอาทิตย์ ถ้าคุณมาตรงกับสามวันนี้พอดี แนะนำเลยว่าอย่าได้พลาดบรรยากาศดี มีดนตรีฟัง และมีของกินเพียบในราคามิตรภาพ




ในราคาย่อมเยาว์ และบรรยากาศดี
ชิมกาแฟเมืองน่าน
ถ้าคุณเป็นคอกาแฟเราก็มีร้านกาแฟแนะนำ ที่เขาคัคสรรเมล็ดกาแฟพื้นถิ่นจากจังหวัดน่านหลากลายรสชาติ หลากหลายกรรมวิธีให้คุณได้ซดอย่างชื่นใจ “HORIZON HARVEST CAFE” สโลว์บาร์ลับ ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ของร้านกาแฟเฮือนฮังต่ออีกที ตรงนี้คุณสามารถเลือกได้เลยว่าอยากจะไปชิมกาแฟสไตล์ไหนไม่ว่าจะ เฮือนฮังต่อ หรือ HORIZON HARVEST CAFE ทั้งสองร้านนี้เขาก็ใช้เมล็ดกาแฟจากน่านทั้งสิ้น นอกจากรสชาติกาแฟที่คุณชอบแล้ว ความร่มรื่นของบรรยากาศแถวนี้ก็เหมาะกับการพกหนังสือสักเล่มมานั่งอ่านใต้ต้นไม้เช่นกัน



อีกหนึ่งร้านกาแฟที่เราอยากแนะนำก็คือ “น.น่าน คาเฟ่” ร้านกาแฟเรือนแถวไม้สไตล์อบอุ่น ที่เปิดมานานเป็นสิบปีแล้ว และใช้เมล็ดพันธุ์กาแฟพื้นถิ่นจากน่านเช่นกัน ที่นี่นอกจากจะมีกาแฟให้ดื่มแล้วยังเป็นโรงคั่วกาแฟด้วย เพราะฉะนั้นจะมีกาแฟหลากหลายให้คุณเลือกดื่ม และเลือกซื้อติดไม้ติดมือกลับไปแน่นอน



กิจกรรมแน่นที่บ้านบ่อสวก
ถ้าคุณเป็นคนชอบหาทำกิจกรรมให้มาที่นี่ได้เลย “ชุมชนบ้านบ่อสวก” รับรองว่าแถวนี้มีอะไรให้ทำได้ทั้งวัน คุณสามารถเลือกทำกิจกรรมที่หลากหลาย ชุมชนนี้มีความโดดเด่นเป็นอย่างมากในเรื่องของแหล่งโบราณคดีเตาเผาโบราณที่มีอายุเก่าแก่ประมาณ 750 ปี ก่อเกิดเป็นแรงบันดาลใจในการรื้อฟื้นประวัติศาสตร์ศิลปวัฒนธรรม และภูมิปัญญาพื้นถิ่นมากมายที่ให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษาเรียนรู้ผ่านกิจกรรมทางการท่องเที่ยว



หากบ่อสวกมีความโดดเด่นเรื่องเครื่องปั้นดินเผาขนาดนี้มีหรือที่พวกเราจะพลาด พวกเราปล้ำปั้นกันอยู่พักใหญ่ก็ได้แก้วกาแฟที่มีปัญหากับความสมมาตรออกมาหนึ่งใบ พร้อมเขียนลายไว้เรียบร้อย คุณสามารถให้ทางบ่อสวกส่งผลงานชิ้นเอกของคุณเข้าเตาเผาแล้วส่งไปรษณีย์มาให้ที่บ้านได้เลย
หลังจากนั้นเราไปกันต่อที่ “โรงทอผ้าลายบ่อสวก ณ บ้านซาวหลวง” ที่นี่เป็นแหล่งผลิตผ้าทอลายเอกลักษณ์ด้วยฝีมือของชาวบ้านในพื้นที่แท้ ๆ ทุกผืน แต่พวกเราไม่ได้มาทอผ้ากันหรอก เราขอแค่มาทำผ้ามัดย้อมจากสีสมุนไพรก็พอแล้ว กิจกรรมนี้เหมาะมากสำหรับครอบครัวโดยเฉพาะเด็ก ๆ น่าจะชอบสุด เพราะจะได้ใช้จินตนาการประดิดประดอยมัดลาย แล้วก็เอาไป
ย้อมกับเครื่องสมุนไพรหลายอย่างที่ต้องลงมือโขลกเองในครกไม้จากนั้นก็นำไปผสมน้ำ แล้วเอาผ้าขาวไปจุ่มแช่ แกะและตากเพียงเท่านี้คุณก็ได้ผ้าเช็ดหน้าลวดลายชิ้นเดียวในโลกสุดออร์แกนิกมาใช้แล้ว



หลังจากผ่านไปสองกิจกรรมที่ต้องลงมือทำไปแล้วต่อมาก็ขอลองทำกิจกรรมผ่อนคลายสไตล์บ่อสวกกันบ้างนั้นคือ “กิจกรรมสมุนไพรบ่อสวก” ของวิสาหกิจชุมชนส่งเสริมและพัฒนาสมุนไพร ตำบลบ่อสวก (บ่อสวกเฮิร์บ) ใจความของกิจกรรมนี้หลัก ๆ คือการอาศัยภูมิปัญญาท้องถิ่นในด้านสมุนไพรนำมาสรา้งความผ่อนคลายให้พวกเรานั่นเอง
พวกเราเลือกการแช่เท้าด้วยเกลือผสมสมุนไพรสูตรของที่นี่ แม่ ๆ ป้า ๆ บอกว่าใครที่มีปัญหาเรื่องกลิ่นเท้าอันนี้ได้ผลเลย ต่อมาเป็นการ “โฮมยา” หรือการอบสมุนไพรด้วยการหายใจสูดกลิ่นเข้าไปเพื่อช่วยให้ระบบทางเดินหายใจทำงานได้ดี เป็นหวัดคัดจมูกเจอสูตรนี้เข้าไปก็ช่วยได้



รวม ๆ แล้วการที่ได้มาสัมผัสเมืองน่านในฉบับสโลว์ไลฟ์แบบนี้ ถือว่าได้ทั้งความรู้เชิงประวัติศาสตร์ และความสนุกไปพร้อมกัน แต่สำคัญที่สุดก็คือการได้ทำความเข้าใจบริบทของวิถีชีวิตผู้คน และเข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่นได้ลึกซึ้งขึ้นกว่าเดิม จนอดคิดไม่ได้ว่าในโลกสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยความรวดเร็วแบบปัจจุบันนี้ บางทีมันก็ขับเคลื่อนให้มนุษย์อย่างเราต้องหมุนเร็วตาม จนบางครั้งเราอาจหลงลืมไปว่าการใช้ชีวิตที่เนิบช้าในบางทีมันก็ดีต่อหัวใจ…
ข้อมูลเพิ่มเติม
EXPLORERS: บาส
AUTHOR: บาส-บดินทร์ บำบัดนรภัย
PHOTOGRAPHER: เจมส์-อนุพงษ์ ฉายสุขเกษม


