คำถามที่หลายคนต้องตอบเจ้าหน้าที่สถานทูตฯ และเจ้าหน้าที่ตม. สหรัฐฯ คือ “จะทำอะไรบ้างที่อเมริกา” ซึ่งเป็นคำถามมาตรฐาน แต่คงมีไม่กี่คนที่ตอบเหมือนฉัน ว่า “ไป Seattle เพื่อตกปลาแซลมอน” เลยโดนซักไซ้ไล่เลียงอีก ว่าที่ไหน ทำไม เมื่อไหร่ ฯลฯ คงด้วยหน้าตาท่าทางที่ไม่ให้กับการเป็นนักตกปลาเอาเสียเลย
ก่อนอื่นคงต้องเท้าความนิดหน่อย ว่าฉันโตมาที่ Seattle ทุกปิดเทอมฉันไม่เคยได้หยุดเหมือนเด็กคนอื่น เพราะพ่อแม่จะส่งไปอยู่กับป้า (ซึ่งแต่งงานกับคนอเมริกัน) “อังเคิล” ของฉันพาไปฝากโรงเรียนที่นั่นตั้งแต่อนุบาลจน ม.2 เลยมีความคุ้นเคยกับเมืองนี้เป็นพิเศษ และป้าก็ยังมีบ้านตากอากาศที่ Hood Canal ใน Olympic Peninsula ความทรงจำในวัยเด็กจึงเป็นการทำกิจกรรมวันเสาร์-อาทิตย์ อาทิ ไปตกปลา rainbow trout ในทะเลสาบ และไปขุดหอย butter clams อีกสิ่งที่ได้เห็นเสมอ คือการที่อังเคิลตกแซลมอนมาให้ป้าทำอาหารให้พวกเรา
สารภาพตามตรงว่า ตามประสาเด็ก ฉันก็ไม่รู้ว่าแซลมอนที่เคยกินมามันพิเศษยังไง จนโตมาถึงได้บางอ้อว่า แซลมอนธรรมชาติที่อังเคิลตกได้ มันต่างจากแซลมอนเลี้ยง ชนิดที่เทียบกันไม่ได้เลย ถ้าสงสัยว่า ทำไมต้องแซลมอนจากแถบนี้
คำตอบก็คือ Pacific Northwest เป็นแหล่ง wild salmon ชั้นดี ซึ่งเมื่อเป็นปลาที่อยู่ตามธรรมชาติ ทั้งรสชาติ คุณภาพ คุณค่าทางอาหาร ย่อมดีกว่าปลาที่เลี้ยงในฟาร์ม แถมปราศจากการใช้ยาปฏิชีวนะและไม่ก่อให้เกิดมลภาวะในแหล่งน้ำด้วย ราคาตามท้องตลาดถึงได้สูงลิบลิ่ว เพราะเป็นที่ต้องการของเชฟตามร้านอาหารชั้นนำ


เมื่ออังเคิลวัย 84 เปรยว่า ไม่รู้จะไปตกปลาได้อีกสักกี่ปี (ด้วยสังขารที่เริ่มร่วงโรยไปตามกาลเวลา) การกลับไป Seattle ครั้งแรกในรอบ 20 ปีนี้ ฉันจึงมีภารกิจสำคัญ คือการไปตกปลาแซลมอนกับอังเคิล ที่ไม่รู้ว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายไหม เลยยอมเสียเวลาเป็นวันๆ เพื่อกรอกเอกสารยื่นขอวีซ่า เราต้องวางแผนให้ตรงกับฤดูกาลตกปลา ซึ่งตามปกติจะอยู่ช่วงกลางเดือนสิงหาคมถึงกันยายน ถือว่าเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากฤดูร้อนเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง อังเคิลบอกว่า ถ้าฝนตกชุกเป็นสัญญาณที่ดี ว่าปลาจะเข้ามาวางไข่กัน
หลายๆ คนคงเคยเห็นในสารคดีบ้างแล้ว ว่าแซลมอนเป็นปลาที่ปกติอยู่ในทะเล แต่เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ จะว่ายทวนน้ำกลับเข้ามายังลำธารหรือแม่น้ำที่พวกมันเกิดเสมอเพื่อวางไข่ ช่วงนี้จึงถือว่าเป็นช่วงพีคของการตกปลา ถึงตรงนี้อย่าเพิ่งตกใจว่าแล้วปลาจะขยายพันธุ์ยังไงถ้าโดนตกเสียหมด
สำหรับประเทศอเมริกามีกฎหมายเรื่องการจับสัตว์น้ำค่อนข้างเข้ม ทาง Washington Department of Fish and Wildlife ทำหน้าที่กำกับดูแลให้ทุกคนทำตามกฎระเบียบ เริ่มจากต้องมีใบอนุญาตก่อน ซึ่งตรงนี้ นักท่องเที่ยวหรือขาจรสามารถชื้อสำหรับ 1-3 วัน ส่วนคนที่อยู่แถวนั้นอย่างอังเคิลของฉันก็มีใบอนุญาตรายปี
ใบอนุญาตมีหลายประเภท เช่น สำหรับตกปลาอย่างเดียว สำหรับตกปู ตกกุ้ง เก็บหอย หรือแบบ combo การจับสัตว์น้ำจะมีลิมิตรายวัน อาทิ หนึ่งคนตกแซลมอนได้ไม่เกิน 4 ตัว เก็บหอยนางรมได้ไม่เกิน 18 ตัว เก็บหอยตลับได้ไม่เกิน 40 ตัว อันนี้ส่วนมากก็วัดกันที่ความซื่อสัตย์เพราะฉันยังไม่เคยเจอ ranger มาตรวจ แต่ถ้าใครเกินลิมิตแล้วโดนจับได้ รับรองโดนปรับฉ่ำแน่
หมายสำหรับตกแซลมอนของเรา คือ Big Quilcene River ก่อนไปต้องศึกษาตารางน้ำขึ้น/น้ำลงให้ดี เพราะควรไปถึงหมายให้ตรงกับจังหวะที่น้ำลงเต็มที่ ช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่น้ำตื้นและมองเห็นปลาได้ง่าย


เราไปแวะที่ Quilcene Hatchery กันเพื่อสอบถามเจ้าหน้าที่ว่าปลาเริ่มเข้ามากันหรือยังในปีนี้ และได้คำตอบว่าช่วงคืนที่ผ่านมา มีปลาจำนวนหลายพันตัวว่ายเข้ามาและพยายามกระโดดข้าม salmon ladder เพื่อไปวางไข่ ซึ่งตามปกติ ที่นี่เป็นศูนย์ขยายพันธุ์ปลาของทางภาครัฐฯ จึงเป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ อีกทั้งมี observation area ให้นักท่องเที่ยวไปชมปลาที่เข้ามาจากแม่น้ำอีกด้วย
ละแวกนี้ ปลาแซลมอนที่เข้ามาจะเป็นสายพันธุ์ Silver Salmon (Coho) ถือเป็นสายพันธุ์ขนาดกลาง แต่ละแม่น้ำก็จะแตกต่างกันไปว่ามีปลาชนิดไหน สำหรับฉัน เนื้อปลา Coho ก็อร่อยมากแล้ว รสชาติเข้มข้น เนื้อแน่นแทบไม่มีมัน และขนาดกำลังดี เหมาะนำไปย่าง อบ รมควัน หรือทำเป็น gravlax
เมื่อรู้ว่า salmon run ของปีนี้ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว อังเคิลก็ตาเป็นประกายและมีความหวังขึ้นมาทันทีเพราะรู้ว่าประสบการณ์ครั้งนี้จะเป็นไฮไลท์ของทริปหลานรัก ส่วนหลานนั้นตื่นเต้นกว่า เพราะไม่ได้จับคันเบ็ดมา 20 ปีแล้ว เอาล่ะ งานนี้เดี๋ยวก็รู้ว่าหมู่หรือจ่า


นอกจากแซลมอนแล้ว Hood Canal ยังมีชื่อเสียงในฐานะที่เป็นแหล่งหอยนางรม Pacific Oysters ชั้นดี ระหว่างที่รอจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการตกปลา เราจึงได้ไปหาดที่ Eagle Creek แถวบ้าน เพื่อเก็บหอยนางรมและขุด Manila clams ที่นี่อุดมสมบูรณ์มากเสียจนมีหอยดาษดื่นอยู่เต็มหาด ชนิดที่ว่าไม่ต้องกลัวใครมาแย่งเลย
และสำหรับหอยนางรมก็มีกฎอีกว่า ให้แกะออกจากเปลือกและทิ้งเปลือกไว้ที่หาดเท่านั้น ห้ามเอากลับไปทั้งเปลือกเด็ดขาด เมื่อได้ครบตามลิมิต (54 ตัว เพราะเรามีใบอนุญาต 3 ใบ) จึงต้องมานั่งแกะเปลือกกันอยู่ตรงใต้ต้นไม้ ส่วนฉันแอบอู้งาน แล้วหนีไปเก็บแบล็คเบอร์รี่ข้างทางแทน ที่นี่แบล็คเบอร์รี่ถือเป็นผลไม้ป่าที่ขึ้นริมถนนเกือบทุกเส้นและเก็บกันไม่หวาดไม่ไหวเลยเช่นกัน





Showtime…เมื่อได้เวลาตกปลา …
“หมาย” ของอังเคิลเหมือนจะเป็นหมายลับเพราะไม่มีป้ายบอก คนแถวนี้รู้กันว่าต้องจอดรถทิ้งไว้ตรงไหล่ทาง(เพราะลานจอดก็ไม่มี) เราจัดการอาหารกลางวันที่ป้าห่อมาให้กันในรถจะได้ไม่ต้องเป็นภาระหอบไป เพราะกว่าจะถึงปากแม่น้ำ ต้องเดินลุยโคลนและลุยน้ำ ส่วนใหญ่นักตกปลาจึงต้องใส่บู้ทยางทรงสูงและชุดเอี้ยมกันน้ำ หรือที่เรียกว่า waders ไหนจะคันเบ็ด ไหนจะเก้าอี้แค้มปิ้ง ไหนจะเป้ที่ใส่เสบียงและอุปกรณ์สารพัด จึงทุลักทุเลพอประมาณ
แต่เท่าที่สังเกต คนแถวนี้ดูมืออาชีพกันมากและเดินกันคล่องทีเดียว รวมถึงอังเคิลวัย 84 ของฉันที่ตัวปลิวปล่อยให้หลานรั้งท้าย แถมตรงไหนเป็นเลน/โคลน บู้ทจมโคลนเกือบมิดอีก มิน่าล่ะ มองไปรอบข้างแทบไม่เจอผู้หญิงสักคน!




เราปักหลักกันก่อนถึงปากแม่น้ำ ช่วงน้ำลงจะเหลือธารน้ำกว้าง 2-3 เมตร ลึกประมาณข้อเท้า ถ้าปลาเข้า จะเห็นเลยว่าว่ายเข้ามากันชุม ที่ต้องอยู่ตรงนั้น เพราะถ้าใครไปดักตั้งแต่ปากแม่น้ำ ปลาจะเห็นแล้วกลับตัวกันหมดทั้งฝูง เท่ากับว่าไม่มีใครได้ตกปลาเลย ตามมารยาทแล้วจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง
ว่ากันด้วยมารยาทแล้วก็ต้องว่ากันด้วยกฎอีกเรื่อง คือ ในการตกแซลมอน ปลาต้อง “กินเบ็ด” เท่านั้น ถ้าเกิดบังเอิญตะขอเบ็ดไปเกี่ยวส่วนอื่น เช่น หางหรือครีบ ต้องปล่อยคืนสู่ธรรมชาติเพราะถือว่าผิด (ถ้า ranger มาตรวจเจอก็งานงอกอีกเช่นกัน) แล้วมือสมัครเล่นอย่างฉันจะไหวไหมเนี่ย (ถ้าตกปลาไม่ได้ ก็เท่ากับตอนเย็นจะไม่มีข้าวกิน เพราะป้าขู่ไว้ว่า No fish, no dinner)
วันที่ออกไปถือว่าค่อนข้างคึกคัก เห็นแซลมอนค่อนข้างชุม แต่เรามีข้อจำกัดเรื่องเวลา เพราะจากตอนที่น้ำลงเต็มที่จะมีเวลาอีกประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าน้ำจะขึ้น ซึ่งน้ำจะมาเร็วกว่าที่คิด และบางทีกว่าจะกลับถึงฝั่ง ระดับน้ำอาจจะอยู่เท่าเอว อังเคิลเล่าว่าเคยเอ้อระเหยลอยชายอยู่นานเกินไป สุดท้ายได้ว่ายน้ำกลับเข้าฝั่ง


ฉันเห็นคนโน้นคนนี้รอบตัวได้ปลากันจนกดดัน เห็นตายายคู่หนึ่งกำลังเก็บอุปกรณ์ เลยไปชวนคุยได้ความว่า วันนี้เค้าไม่มีโชคเลย เอาล่ะสิ เราก็ไม่อยากกลับบ้านมือเปล่านะ แต่อีกไม่นาน ได้ยินคุณสามีตะโกนว่า “ได้แล้วๆ” ถือเป็นการประเดิมได้ปลาตัวแรกในกลุ่มเรา ทำให้ใจชื้นขึ้นมา (ว่าไม่อดตายแล้ว!) จากนั้นไม่นาน อังเคิลของฉันก็ได้ปลา และตามมาด้วยตัวที่สอง ฝีมือคุณสามี
ฉันเห็นปลาว่ายผ่านไปไม่รู้กี่ตัวจนลืมนับ มันไม่ใช่แค่ว่ายธรรมดานะ เหมือนติดเทอร์โบกันเลยล่ะ เพราะฉะนั้น นอกจากตาดีแล้ว มือยังต้องไวอีกด้วย ฉันเหวี่ยงเบ็ดไม่รู้กี่รอบจนเกือบจะท้อ ความที่เป็นมือสมัครเล่นก็เงอะงะตามประสา จนลุงส่ายหัวด้วยความกลุ้มใจ แล้วในที่สุด ก็รู้สึกถึงแรงกระตุกที่คิดว่านี่น่าจะเป็นปลาแล้วล่ะ (ไม่ใช่เกี่ยวหิน เหมือนรอบที่ผ่านๆ มา) พอเห็นว่าเป็นปลาแน่ก็กรี๊ดด้วยความดีใจ และในความสับสนอลหม่านของการที่ปลาลากสู้เบ็ดและฉันพยายามดึงสายเอ็นกลับมา ก็เลยทำเอ็นพันกับรอกยุ่งเหยิงชนิดที่แก้ไม่ออก เลยถือเป็นการจบเกมส์ไปโดยปริยาย


ตอนนั้นพระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ เราเลยคิดว่าควรปิดจ๊อบและรีบเดินกลับฝั่งก่อนที่น้ำจะขึ้นสูงเกินไป สรุปว่า เราได้ปลาสิริรวม 4 ตัวที่ตกเอง + อีก 1 ตัวที่มีคนยกให้ฟรีๆ เพราะเขาตกได้เกิน สำหรับฉัน ถือว่า Mission Accomplished แล้ว ที่ตกแซลมอนได้เองเป็นตัวแรกในชีวิต




หน้าที่การขอดเกล็ดและแล่ปลาฉันยกให้อังเคิลทำเพราะรายนั้นชำนาญมาก ระหว่างที่อังเคิลจัดการกับปลาที่เราได้มา ฉันก็ช่วยป้าทำไข่เจียวหอยนางรม (พกซ้อสศรีราชาไปเพื่อสิ่งนี้แหล่ะ) สลัดกุ้ง (ที่อังเคิลกับป้าไปตกตั้งแต่ต้นฤดูร้อนก่อนฉันจะไปหา) และหอยตลับ Manila clams ต้ม จิ้มกับ lemon butter ป้าดีใจได้หัวแซลมอนมาต้มซีอิ้วแบบญี่ปุ่น
ส่วนเนื้อปลาที่แล่แล้วก็เอาเตาอบ โรยเกลือ พริกไทย บีบมะนาวเพื่อปรุงรสนิดหน่อยเป็นอันจบ เพราะปลาธรรมชาติ texture แน่นๆ และรสชาติเข้มอยู่แล้ว ไม่ต้องไปปรุงแต่งอะไรมากมาย เป็นอาหารมื้อที่เรียบง่าย ไม่หรูหรา แต่ทุกอย่างสดที่สุด และเป็นความภูมิใจที่เราหามาได้เอง เงินทองก็ไม่ต้องเสีย นอกจากค่าใบอนุญาต (ประมาณ 20 ดอลล่าร์ต่อวัน) ซึ่งถือว่าคุ้มมากๆ แล้ว
ในยุคที่โลกเปลี่ยนไปเพราะสภาพภูมิอากาศแปรปรวน ฝนไม่ตกตามฤดูกาล อากาศแล้ง ย่อมกระทบต่อวิถีชีวิตของท้องถิ่นที่ยังต้องพึ่งพิงความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ แถบ Pacific Northwest นี้ โดยเฉพาะ Olympic Peninsula ยังถือว่าธรรมชาติบริสุทธิ์อยู่มาก การรักษาแหล่งน้ำให้สะอาดและมีระบบนิเวศน์ที่ดี เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้แซลมอนยังกลับมาขยายพันธุ์ที่นี่อย่างต่อเนื่อง
จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่มีการเห็นวาฬเพชฌฆาตกันบ่อยครั้ง เพราะในมหาสมุทรแปซิฟิก แซลมอนเป็นอาหารโปรดของพวกมัน กลายเป็นสร้างงานสร้างรายได้จากการพาชมวาฬอีก
หากทุกคนทำตามกฎการตกปลาและจับสัตว์น้ำอย่างเคร่งครัด ก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ sustainable fishing เป็นจริงได้ ฉันไม่รู้ว่า ปีหน้าอังเคิลยังจะไปตกปลาไหวไหม แต่ก็อยากให้ Hood Canal ไม่ต้องเจริญมากไปกว่านี้ การประมงชายฝั่งอยู่ได้ การท่องเที่ยวอยู่รอด แบบมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด
EXPLORERS: สวม, กิฟท์
AUTHOR: สวม-สุวิมล สงวนสัตย์

