ลองขับรถคันน้อย ๆ ไปปลูกป่าที่ ราชบุรี ช่วยกันคนละไม้ คนละมือ ปลูกต้นไม้เพิ่มความเขียว แล้วมาเฝ้าดูการเจริญเติบโตจากวันนี้ไป
ตั้งแต่ช่วงโควิดมาแรก ๆ ผมเริ่มรู้ตัวว่าต่อไปนี้จะไปเที่ยวไหนไกล ๆ กันไม่ค่อยได้แน่ ๆ ทั้ง ๆ ที่คิดว่าการท่องเที่ยวแบบธรรมชาติไม่ค่อยอันตรายเท่าไร ถ้ารักษาระยะห่างดี ๆ เลยมาคิดกับเพื่อน ๆ ว่า ถ้าจะไปไหนกันไม่ได้ ช่วงนี้เรามาหาที่ดินปลูกป่ากันดีกว่า จากนั้นก็พากันไปหาซื้อที่ราคาไม่แพง อยากได้ที่เคยเป็นป่าในอดีต แต่ถูกใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรมเชิงเดี่ยวมานาน อย่างไร่อ้อย ไร่ข้าวโพด เป็นต้น แล้วพวกเราจะใช้เวลา 10 ปี ทำให้มันเขียวชอุ่มชุ่มชื้นเหมือนเดิม
ผ่านมาปีกว่า ๆ ตอนนี้ดูเหมือนเราเริ่มจะหาทางอยู่ร่วมกับโควิดกันได้บ้างแล้ว หลังจากไม่ได้ออกทริปต่างจังหวัดกับทีมมานาน วันนี้เราได้รถ New Nissan Terra 2.3 VL 4X4 ตัวท็อปรุ่นใหม่ล่าสุดมาทดลองใช้ ผมเลยคิดว่าทริปที่ดีที่สุด คือพาน้อง ๆ ในทีม Explorers Club ของเรามาที่ไร่อ้อยเก่าแถวๆ “ป่าชุมชนเขาปากกว้าง” ในอำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ที่ผมและเพื่อน ๆ ได้ใช้เวลาเกือบปีในการปรับปรุงดินสีแดงแข็ง ๆ ให้กลับมาร่วนและสีดำ และได้เริ่มปลูกต้นกล้าไม้ยืนต้นชนิดต่าง ๆ ไปบ้างแล้ว
เดินทางออกจากออฟฟิศอมรินทร์ฯของพวกเราแต่เช้า พวกเราห้าคนนั่งกันแบบสบาย ๆ เบาะนุ่มแน่น แอร์เย็นสบายถึงด้านหลัง ทัศนวิสัยรอบคันดี แถมที่เก็บของพื้นเรียบเมื่อพับเบาะแถวสามลง ขนของได้สะใจมาก
เป้าหมายแรกคือไปหาเพื่อนตั้ม ดร.ศุภพงศ์ สอนสังข์ นักออกแบบเฟอร์นิเจอร์ระดับ Designer of The Year เจ้าของแบรนด์ Jird Design Gallery ที่หนองโพ ต้องไปหาเพราะเขาคือคนแรกที่ป้ายยาเพื่อน ๆ หลายคนให้มาหาซื้อที่ปลูกต้นไม้ที่ราชบุรี
ทีมงานได้ไปดูสวนไม้ป่าที่ตั้มปลูกไว้รอบ ๆ โรงผลิตเฟอร์นิเจอร์เล็ก ๆ แต่น่าอยู่น่าทำงานมาก ๆ ไปดูไม้ในสต็อกที่ตั้มเก็บสะสมไว้ทำเฟอร์นิเจอร์ขาย ส่วนมากเป็นไม้เก่าที่เคยเป็นบ้านคนมาก่อน ผสมกับไม้ป่าปลูกจากต่างประเทศ แต่ที่น่าสนใจที่สุดคือมีไม้ที่ตั้มปลูกเองเมื่อ 7-10 ปีก่อนด้วย เรียกว่า ปลูกเอง แปรรูปเอง ออกแบบและผลิตเอง แถมยังไปออกบู๊ธขายเองที่งานบ้านและสวนแฟร์ด้วย (ดูคลิป Baanlaesuan Classroom ที่ผมมาสัมภาษณ์ตั้มได้ที่นี่ https://bit.ly/2XPoTq4)
ก่อนจะกลับตั้มมอบต้นกล้า มะค่าโมง ให้ทีมงานของผมคนละต้นเพื่อเอาไปปลูกที่ไร่ของผม จากนั้นเราก็รีบออกมาเติมพลังด้วยการแวะร้านกาแฟสวย ๆ กินข้าวอร่อย ๆ จนเต็มอิ่ม (โพธาราม มีร้านอาหารร้านกาแฟสวย ๆ เยอะมาก) แล้วเราก็มุ่งหน้าไปที่เขาปากกว้าง แต่ก่อนจะถึงผมขอแวะซื้อดินผสมมูลค้างคาว (แถวนี้ราคาถูกมาก) และซื้อต้นกล้าเพิ่มจากร้านระหว่างทาง ไม่น่าเชื่อว่ายังยัดเข้าไปในรถกันได้อีกอย่างสบาย ๆ
ก่อนที่จะเข้าเรื่องการปลูกต้นไม้ ขอรีวิวรถคันนี้สักหน่อย ก่อนอื่นต้องชมเครื่องยนต์และอัตราทดเกียร์ที่แรงทันใจ เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 2.3 ลิตร เทอร์โบคู่ ให้พลัง 190 แรงม้า ตัวเลขไม่ได้สูงมาก แต่เมื่อจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะแล้วแรงสูงเกินพอในเวลาที่ทันใจมาก ผมจะไม่รีวิวแบบนิตยสารรถเรื่องแรงบิดว่ามันแรงดีและมาเร็วให้ซับซ้อนอะไร เอาเป็นว่าแม้ว่าเราจะวิ่งขึ้นเนิน มีคนเต็มรถและของหนักเต็มคัน รู้สึกปลอดภัยและมั่นใจมากเวลาเร่งแซง มีระบบเซนเซอร์เตือนเวลารถวิ่งออกนอกเลน (ซึ่งผมหาวิธีปิดไม่เจอ แต่ไม่เป็นไร)
มองที่ล้อทุกล้อสิ่งที่เตะตาคือดิสก์เบรกจานโต หยุดรถได้มั่นใจดีมาก ล้อแม็กซ์ลายสวยพองาม ขนาด 18 นิ้ว ไม่ดูหวือหวาเหมือนรถใน MV เพลงแร็ป ซุ้มล้อขนาดใหญ่พอให้คุณอัปเกรดเป็นล้อที่ใหญ่ขึ้นได้อีกสบาย ๆ ถ้าคุณจะใช้รถคันนี้ลุยจริงจัง แร็คบนหลังคาก็ทำมาได้สวยรับกับเส้นหลังคา ไม่กวนสายตาเลย แม้รถจะมีมิติที่ค่อนข้างใหญ่และเหลี่ยม แต่กล้องและเซนเซอร์รอบคันทำให้การถอยเข้าออกที่จอดทำได้ไม่ยากเลย ระบบความปลอดภัยถือว่าเหมาะสำหรับเป็นรถลุยก็ได้ ขับแบบ 2 ล้อ หรือ 4 ล้อ ก็เลือกได้ตามสถานการณ์ จะใช้เป็นรถครอบครัวก็ดี โดยเฉพาะเวลาเดินทางไกล เหมาะสำหรับพ่อบ้านขาลุยที่ยังทำใจนั่งยิ้มตัวตรงขับรถตู้ MPV ไม่ได้
สิ่งที่ผู้โดยสารในรถชอบมากคือ จอ LED ที่เพดาน ดูหนังระหว่างเดินทางแบบไม่มากวนสายตาคนขับ มีจุดเสียบชาร์จ USB รอบคันแบบเพียงพอไม่ต้องแย่งกัน แล้วก็มีช่องแอร์สำหรับเก้าอี้ทั้งสามแถว ส่วนผมที่รับหน้าที่คนขับวันนี้ ชอบพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันทรงสวย จับถนัดมือ และเบาะคนขับปรับไฟฟ้าที่นั่งสบาย มีตำแหน่งการขับที่ดีมาก แล้วก็ชอบกระจกมองหลังที่ปรับเป็นจอแสดงภาพจากกล้องด้านหลังรถได้ ในกรณีที่มีคนนั่งแถวสองตรงกลาง หรือเวลาใช้จอ LED ดูหนังกัน ซึ่งจะบังกระจกมองหลังมิดเลย เรียกว่าทัศนวิสัยทั้งจากการมองเห็นด้วยตาและผ่านกล้องรอบคันทำได้ดีมาก
การพับเบาะเพื่อขนของก็ถือว่าทำได้ดี เก้าอี้แถวสองพับได้เอง แบบกดปุ่มเดียวจากเบาะหน้า แถวสามดึงเชือกจากท้ายรถทีเดียวก็พับลงมา ได้เป็นพื้นเก็บของที่ราบเรียบ แต่อาจจะสูงไปหน่อยสำหรับคนตัวเล็ก ส่วนประตูท้ายก็เป็นแบบไฟฟ้า กดเปิดปิดได้ เตะใต้กันชนเปิดได้ ตามมาตรฐานความสะดวกของรถสมัยใหม่
กลับมาที่เรื่องต้นไม้ของพวกเรา ขั้นตอนสำหรับมือใหม่หัดปลูกในวันนี้ก็มีง่าย ๆ คือ ขุดหลุมลึก 30 ซม. ขอกว้าง ๆ หน่อย จากนั้นก็รองก้นหลุมด้วยดินปุ๋ยมูลค้างคาว (บางครั้งก็ผสมปุ๋ยคอกนิดหน่อย) เอาต้นกล้าลงแล้วก็กลบดินให้แน่นพอประมาณ ทำให้เป็นหลุมต่ำกว่าดินรอบ ๆ เล็กน้อยให้น้ำขังได้บ้าง เพราะแถวนี้เวลาฝนทิ้งช่วงจะแห้งและร้อนใช้ได้เลย ดินที่เหลือก็เอามาพอกเป็นคันดินดักน้ำไว้ด้านหนึ่ง เพราะตรงนี้เป็นที่ลาดเชิงเขา จะได้ช่วยดักน้ำหลากบนผิวดินเวลาฝนตกให้มาขังที่หลุม (อันนี้เป็นเทคนิคเฉพาะพื้นที่นะครับ ถ้าปลูกในพื้นที่ชื้น น้ำเยอะ ก็จะทำกลับกันเลย คือทำเป็นเนินดินที่โคนต้นไม่ให้น้ำขัง)
จากนั้นก็ปักไม้หลักช่วยประคองให้ต้นตรงและไม้ล้มเวลาลมพัดแรง ๆ ถ้าเป็นช่วงหน้าแล้งผมจะเอาฟางมากลบดินรอบ ๆ โคนต้นเพื่อช่วยลดการระเหยของน้ำในดิน รดน้ำหน่อยก็เป็นอันว่าเสร็จ ช่วงหน้าฝนก็ทิ้งไว้ให้ฟ้าดินดูแล เข้ามาตัดหญ้าและรดน้ำบ้าง สัปดาห์ละหนสองหน…
หลังจากปลูกกันไปคนละต้นสองต้นพอหอมปากหอมคอ ผมก็พาไปดูแปลงที่ผมปลูกกระถินณรงค์ไปเมื่อ 5-6 เดือนก่อน และให้ทีมงานช่วยตัดกิ่งเล็ก ๆ ออก เพื่อให้ได้ลำต้นตรงสวยไม่เป็นพุ่ม ยื่นกรรไกรตัดกิ่งให้คนละอัน ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์ขับรถพามาดู
จากนั้นก็ถึงเวลาเอาใจลูกน้องนิดหน่อย ด้วยการย่างเนื้อเสียบไม้ให้กิน ด้วยเตาบาร์บีคิวอย่างง่าย ๆ ที่เพิ่งทำไว้ไม่นานก่อนหน้านี้ กำลังจัดเตรียมเก้าอี้ไว้นั่งพักผ่อนอย่างดี ปรากฏว่าเมฆฝนก้อนโตก็เคลื่อนตัวเข้ามาหาพวกเรา แต่นั่นไม่ทำให้เรายกเลิกแผนการกินแต่อย่างใด เราก็สวมเสื้อกันฝน ย่างเนื้อกินกันท่ามกลายสายฝนปรอย ๆ ชมวิวภูเขา ชื่นชมต้นไม้ต้นน้อย ๆ ที่เราเพิ่งปลูกกันไป ทำกันอยู่ได้สักพักแหละ เราก็ไม่ได้บ๊องกันขนาดนั้น จากนั้นเก็บของ รีบกลับไปนั่งหลบฝนในศาลากันดีกว่า
ผมบอกน้อง ๆ ว่าจะจำไว้ ว่าใครเป็นคนปลูกต้นไหน อีก 5 ปีจะพามาดูการเจริญเติบโต หรือใครรอไม่ไหวจะแวะมาช่วยดูแลก็เข้ามาได้เลย
จริง ๆ วันนี้ผมไม่จะขอใช้แรงงานของน้อง ๆ หรอก มันเป็นการหว่านเมล็ดความรักต้นไม้มากกว่า อยากจะสะกิดความรักป่าและธรรมชาติในใจพวกเขา จะเรียกว่า “ป้ายยา” ต่อ ๆ ไปก็ไม่ผิด ถ้าจะมีน้องคนไหนกลับบ้านไปแล้วอยากหาที่ปลูกต้นไม้สักแห่ง ไม่ต้องเป็นป่าหรือพื้นที่เกษตรกรรมก็ได้ จะกลับไปปลูกต้นไม้ที่บ้านสักต้นสองต้นผมก็ดีใจแล้ว
พวกเราชอบท่องเที่ยวธรรมชาติ ชอบเดินป่าขึ้นเขา ไปเกาะไปทะเล แต่นอกจากการเที่ยว เราก็สามารถใกล้ชิดธรรมชาติด้วยการปลูกต้นไม้ ชวนกันมาเพิ่มพื้นที่ป่าและดูแลสุขภาพของโลกได้ด้วยการช่วยกันปลูกต้นไม้คนละต้นสองต้น
ในอนาคตเวลามีคนถามว่า คุณทำอะไรช่วงโควิดระบาดหนัก ๆ พวกผมจะบอกว่าปลูกป่าครับ ครบรอบสิบปีโควิดเมื่อไร พื้นที่ตรงนี้ก็จะเป็นป่าน้อย ๆ พอดี อย่าไปคิดว่านานนะ ปีนี้ก็ครบรอบสิบปีน้ำท่วมใหญ่แล้ว ยังรู้สึกเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน อยากทำอะไรทำเลยครับ ไม่ต้องรอ
[ EXPLORERS ]
เจ, มิ้ล, จูน, เฟี้ยต, แพรว
เรื่อง: เจ / ภาพ: จูน