การชงกาแฟดี ๆ สักแก้วอาจจะไม่ใช่เรื่องยากนัก หากได้รู้และเข้าใจพื้นฐานกันก่อน ครั้งนี้พวกเราชาวบ้านและสวน Explorers Club ได้มีโอกาสพูดคุยพบปะกับ 5 บุคคล ที่การันตีเลยว่าชงกาแฟได้อร่อยระดับประเทศ เพราะทุกคนคือแชมป์ประเทศไทยที่เคยผ่านเวทีแข่งขันการชงกาแฟ AeroPress มาแล้ว
แน่นอนว่าแต่ละคนคงต้องมีวิธีการที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นเราก็ไม่พลาดที่จะเอาเคล็ดลับแบบเฉพาะตัวมาฝากกัน จากการที่ได้พูดคุยกับแชมป์ทั้ง 5 ท่าน เราก็เลยได้ข้อสรุปถึงการชงกาแฟดริป และชงด้วย AeroPress แบบเข้าใจง่าย ๆ ไว้แล้ว ลองไล่อ่านเคล็ดลับของแชมป์แต่ละท่านที่ภาพได้เลย แต่เบื้องต้นคุณก็ต้องมาทำความเข้าใจถึงพื้นฐานของมันก่อน
เมล็ดกาแฟและอุณหภูมิของน้ำ
เบื้องต้นคุณต้องรู้จักเมล็ดกาแฟของคุณก่อนสักนิดว่า เมล็ดกาแฟที่คุณมีมันคือคั่วอ่อน คั่วกลาง หรือว่าคั่วเข้ม โดยเฉลี่ยแล้วเราจะใช้น้ำต้มชงกาแฟกันที่อุณหภูมิตั้งแต่ 85 – 94 องศา(เซลเซียส) หากเป็น ‘คั่วอ่อน’ เพื่อการสกัดให้ได้รสชาติของกาแฟ อาจจะต้องใช้อุณหภูมิที่สูงขึ้นสักหน่อยโดยเฉลี่ยประมาณ 90 – 94 องศาเลยก็มี แต่หากเป็น ‘กาแฟคั่วกลางไปจนถึงเข้ม’ ก็ใช้น้ำต้มที่อุณหภูมิประมาณ 85 – 92 องศา โดยประมาณ ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับชนิดของกาแฟที่เรามีอีก ซึ่งหมายความว่าคุณอาจจะต้องทดลองชงไปเรื่อย ๆ แล้วจะค้นพบความเหมาะสมเอง อันนี้แชมป์ทุกคนฝากบอกมา
สัดส่วน
เรื่องของสัดส่วนต้องบอกเลยว่าก็แล้วแต่คนอีก โดยหลักก็คือหากอยากได้รถชาติกาแฟเข้ม ๆ หน่อย ก็ให้ใช้กาแฟเยอะ น้ำน้อย ๆ หากอยากได้รสชาติบาง ๆ คลีน ๆ ก็เพิ่มอัตราส่วนของน้ำเข้าไป ส่วนใหญ่ก็อัตราส่วนจะอยู่ที่ประมาณ 1:13 – 1:15 (กาแฟหนึ่งส่วนต่อน้ำสิบสามถึงสิบห้าส่วน) โดยส่วนใหญ่เราจะใช้กาแฟต่อหนึ่งเสิร์ฟโดยเฉลี่ยประมาณ 17 – 20 กรัม เช่น หากเราใช้กาแฟ 18 กรัม เราจะใช้น้ำอยู่ที่ประมาณ 270 กรัม แต่ทุกอย่างอาจจะปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมอื่น ๆ อีกเช่นกัน
สายดริป
ส่วนวิธีการชงหากคุณเป็นสายกาแฟดริปก็ให้แบ่งน้ำออกเป็น 3 – 4 รอบก็ได้ ส่วนใหญ่จะรินน้ำในรอบแรกลงลงไป 30 – 50 กรัม ส่วนรอบที่เหลือก็ตามความเหมาะสมโดยอยู่ระหว่าง 60 – 150 กรัม ซึ่งเรื่องนี้คุณอาจจะต้องอาศัยการศึกษาและทดลองด้วยตัวเองในการหารสชาติที่เหมาะสม ตั้งแต่เริ่มจนเสร็จสิ้นกระบวนการใช้เวลาประมาณ 2 นาทีกว่า ๆ เป็นใช้ได้
เพื่อความเข้าใจเราเลยขอยกตัวอย่างง่าย ๆ แบบนี้ เช่น ถ้าคุณใช้อัตราส่วนที่ 1:15 ด้วยกาแฟ 18 กรัม คุณจะต้องใช้น้ำที่ 270 กรัม และต้องการแบ่งการเทน้ำออกเป็น 4 รอบ รอบแรกให้คุณรินน้ำลงไป 50 กรัม รอบที่สอง ให้คุณรินน้ำลงไปอีก 60 กรัม ส่วนรอบที่สาม และสี่ ให้คุณรินน้ำลงไปรอบละ 80 กรัม ควรใช้เวลาประมาณ 30 วินาทีในการินน้ำลงไปในแต่ละรอบ เสร็จสิ้นกระบวนการทั้งหมดใช้เวลาโดยประมาณราว 2 นาทีเศษ หรือเต็มที่ก็อย่าให้เลย 3 นาที
นี่คือการยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพขั้นตอนได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วคุณสามารถเพิ่มเติมหรือลดทอนอัตราส่วนต่าง ๆ ตามความเหมาะสมและความชอบของคุณเองได้ “กาแฟไม่มีอะไรตายตัว”
สายกด AeroPress
มาถึงวิธีการชงกาแฟอีกวิธีที่เราอยากให้คุณได้มาลองสัมผัส การชงด้วย AeroPress นี้ก็เป็นการชงกาแฟด้วยวิธีการที่เรียบง่ายใช้อุปกรณ์น้อย การชงด้วยวิธีนี้คือการใช้แรงดันด้วยแรงกดของเราเองคล้าย ๆ กับกระบอกเข็มฉีดยา ซึ่งแชมป์ทุกท่านบอกว่าวิธีการนี้้เราสามารถทำกาแฟได้หลายหลายรูปแบบกว่ากาแฟดริป จะเข้ม จะไลท์ สั่งได้ตามใจปรารถนา เพียงแค่มีกระบอก AeroPress และเติมน้ำร้อนเข้าไปเท่านี้เอง ด้วยความเบาและทนทานของวัสดุคุณภาพดี ถือเป็นอุปกรณ์อีกรูปแบบหนึ่งที่เหมาะสำหรับคนสายแคมป์ ผู้ชื่นชอบการดื่มกาแฟที่ต้องการพกพาอุปกรณ์ชงไปไหนต่อไหนด้วย
ส่วนขั้นตอนนั้นถือว่าเรียบง่ายไม่ซับซ้อนอะไรมาก และอัตราส่วนนั้นมีความใกล้เคียงกับกาแฟดริป คือตั้งแต่ 1:15 ขึ้นไปจน 1:25 หรือเลยไปถึง 1:30 ก็ทำได้ ส่วนวิธีการสกัดนั้น ให้คุณเติมน้ำในรอบแรกแล้วแช่กาแฟทิ้งไว้สัก 30 วินาที หลังจากนั้นคุณเติมน้ำรอบสองลงไปแล้วก็กดได้เลย เท่านี้เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการ….มันทั้งง่าย เร็ว และกาแฟที่ได้ก็มีรสชาติที่ดี
ทั้งหมดที่เราบอกมาเป็นเพียงแค่พื้นฐานของการชงกาแฟเท่านั้น ในความเป็นจริงคุณจะได้ค้นพบอะไรใหม่ ๆ เกี่ยวกับมันอย่างแน่นอน ยังมีตัวแปรและปัจจัยอีกหลายอย่างที่คุณจะต้องปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสมเพื่อให้กาแฟแต่ละแก้วเป็นรสชาติที่คุณชอบที่สุด
ในความซับซ้อนของรสชาติ สุดท้ายมันคือความเรียบง่าย บางครั้งก็อย่าไปซีเรียสเลยถ้ากาแฟแก้วนี้ของคุณจะเข้มขม หรือบางจืดเกินไป บางทีกาแฟจากถุงเดียวกันแท้ ๆ ชงแต่ละทีรสชาติอาจไม่เหมือนเดิม คงคล้ายกับชีวิตที่พบเจออะไรไม่เหมือนเดิมสักวัน แต่ถ้าวันไหนคุณรู้สึกถึงความสุข ก็อาจจะเหมือนกับคุณที่ได้ดื่มกาแฟอร่อยถูกใจสักแก้วก็ได้…
สงกรานต์ โพธิปัญญา จาก The Shelter Coffee Phuket
“อาจจะเริ่มต้นฝึกจากกาแฟคั่วกลางที่ราคาไม่สูงมากก่อน พอชำนาญขึ้นค่อยขยับเป็นกาแฟที่มีราคาและรสชาติที่ซับซ้อนมากขึ้น จะได้ไม่รู้สึกเฟลไปเสียก่อน ผมให้ความสำคัญกับเครื่องบดเป็นอย่างแรก เพราะมันคือการเริ่มต้นที่ดีของการชงกาแฟที่ดี เครื่องบดที่ได้มาตรฐานมันจะทำให้ผงกาแฟนั้นมีความละเอียดสม่ำเสมอกันซึ่งส่งผลต่อรสชาติ เราจะต้องบดกาแฟใหม่ทุกครั้งเพื่อความสดใหม่ กาแฟที่ถูกบดแล้วมาโดนอากาศก็จะเริ่มเก่าไม่สดใหม่แล้ว”
“กาแฟที่คั่วกลางจนถึงคั่วเข้มเราจะใช้อุณภูมิที่ไม่สูงประมาณ 88 – 90 องศา เพราะว่ากาแฟที่คั่วมาเยอะแล้ว จะมีการแอคทีฟกับอุณภูมิของน้ำร้อนที่เร็วอยู่แล้ว ถ้าใช้กาแฟที่คั่วอ่อนเราก็เพิ่มอุณหภูมิที่สูงขึ้น”
“กาแฟจะมีความหวานอยู่แล้วเหมือนผลไม้สุก และความหวานของกาแฟอาจจะมาพร้อมรสขมก็ได้ คือกาแฟที่คั่วกลางถึงคั่วเข้มในระดับที่เป็นน้ำตาลคาราเมลแล้วก็จะให้ความหวานแบบน้ำตาลคาราเมล แต่ถ้าหวานแบบผลไม้จะอยู่ในกาแฟที่คั่วอ่อนลงมา ชุ่มฉ่ำ ละมุน ๆ ก็เลือกดูว่าอยากได้ความหวานแบบไหน อยากให้ลองเริ่มสัมผัสกับรสชาติของกาแฟแบบ Dry Process และ Wash Process ก่อนซึ่งเป็นวิธี Process แบบดั้งเดิม หลังจากที่คุณเริ่มคุ้นเคยกับมันแล้วค่อยไปหาความตื่นเต้นจาก Process อื่น ๆ ดู”
“น้ำก็สามารถใช้นำกรองทั่วไปได้ แต่ถ้าสามารถเลือกได้ให้ลองใช้น้ำ RO ที่มีค่าเป็นกลาง แต่ไม่แนะนำให้ใช้นำที่มีแคลเซียมเยอะ ๆ เช่นพวกน้ำแร่ ถ้าคุณเป็นคนชอบความหลากหลายจะชงอ่อน ชงเข้มได้หมด สะดวก และต้องการค้นหากาแฟเดียวแบบหลาย ๆ รสชาติ และเหมาะมากถ้าคุณเป็นคนชอบเดินทาง”
เทจิต สินธวิชัย จาก NiPCoffee
“เวลาที่ชงด้วย AeroPress มันจะแช่ได้นานมากกว่าการดริปและมีแรงดันจากการกด ตอนแข่งขันผมหาวิธีชงในแบบที่ผมชอบที่สุด เคล็ดลับคือทำตามสัญชาติญาณตัวเองว่าชอบแบบไหน ณ ตอนนั้น แต่ก็พยายามคุมตัวแปรที่มันทำให้ได้รสชาติในแบบที่เราชอบที่สุด และด้วยเมล็ดที่ชอบ ณ เวลานั้นที่ผมรู้สึกว่าเหมาะสม แล้วก็ซ้อมตามสูตรที่ผมคิดมา”
.
“แก้วที่ผมชง ณ ตอนนั้นอาจจะแตกต่างจากคนอื่น ผมไม่ชอบกาแฟที่เข้ม ผมชอบความฟรุ้ตตี้ จึงไม่ใช้กาแฟเยอะ ไม่สกัดกาแฟที่มันเยอะ สุดท้ายพอมาทำความเข้าใจมันจริง ๆ มันมีเรื่องจังหวะ เวลา และโชคมาพร้อม ๆ กันด้วย”
.
“หลังจากเป็นแชมป์ มันเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีสปอร์ตไลต์ส่องมา หรือมีคนอยากลองกินสูตรแชมป์ ณ ตอนนั้นผมก็ทำตามสูตรที่แข่งนั่นแหละ ผมพยายามหาคำตอบและแกะสูตรที่ผมคิดเพื่อหาแต่ละตัวแปร แต่ละแฟ็กเตอร์ที่ได้ แล้วเก็บเป็นข้อมูลไว้ใช้ สุดท้ายแล้วมันก็ต้องปรับให้เข้ากับเมล็ดแต่ละตัว มันจึงไม่ได้มีสูตรที่มัน Fit กับทุกกาแฟหรือทุกแก้วที่ชง”
.
“หลังจากที่ผมมีประสบการณ์มากขึ้น ผมชงเยอะขึ้น ซ้อมเยอะ ๆ เพราะต้องหาตัวแปรใด ๆ หลังจากแข่งผมพยายามทำวิธีชงให้เข้ากับทุกคน ซึ่งพอมีไอเดียแบบนี้ผมจึง Fixed วิธีชงไม่ได้ แต่ผมสามารถทำให้ทุกคนเข้าใกล้สิ่งที่เขาชอบได้”
.
“คีย์หลักคือความเข้าใจในการสกัดกาแฟ เวลาชงด้วย AeroPress หรือ Drip ก็ใช้ความเข้าใจต่างกัน หลัง ๆ ชงด้วยเครื่อง Espresso ก็ต้องเข้าใจแบบนั้น สำคัญที่สุด ในฐานะคนชงผมจะคุยก่อนว่าเขาอยากได้รสชาติแบบไหน เราก็ต้องเข้าใจว่าเขาอยากได้แบบไหน หน้าที่ผมคือผมต้องชงกาแฟให้คนกินอร่อยในแบบที่เขาชอบ”
.
“ในพาร์ทของคนเสิร์ฟกาแฟ ผมเคารพตัวเองก่อนเสมอว่าผมทำหรือเชื่อแบบไหน และผมก็เคารพลูกค้าว่าเขาควรจะได้แบบไหน มันเหมือนการกินอาหารตามสั่ง มันไม่มีอะไรพิเศษกว่ากัน แต่ลูกค้าจ่ายตังค์ เขาก็ควรจะได้สิ่งที่เขาอยากได้ กาเฟอีนมีรสขม กาแฟเป็นผลไม้ มันมีโอกาสจะเปรี้ยวได้อยู่แล้ว แต่วิธีชงมันสามารถปรับให้เข้ากับแต่ละคนได้ นี่คือสิ่งสำคัญ การที่ผมเอ็นจอยกับสิ่งที่ผมทำ เพราะผมรู้สึกสนุกกับการทำตามที่ชอบ”
ธนพัฒน์ อ่ำบำรุง จาก Kurasu Bangkok
“AeroPress มันทำกาแฟได้หลายหลายมาก มันสามารถแช่กาแฟไว้ได้ในระยะเวลาที่ต้องการ ยิ่งแข่นาน ยิ่งสกัดมากขึ้น แต่ก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมทั้งเรื่องของเมล็ดกาแฟ การบด และอุณหภูมิ ถ้าวันไหนเราอยากได้กาแฟที่รสชาติเข้มข้นขึ้นเราก็แช่ไว้นานหน่อยประมาณ 2- 3 นาที หรือถ้าวันไหนเราอยากดื่มกาแฟเบา ๆ ก็ให้เราคว่ำมันไว้ให้ค่อย ๆ หยดเหมือนกาแฟดริป ซึ่งยังมีความเข้มข้นของกาแฟ และความสว่างของรสชาติอยู่ แต่ไม่แน่นเกินไป”
“การบาลานซ์ของรสชาติ กาแฟในหนึ่งแก้วมันจะมีทั้งขม เปรี้ยว หวานอยู่ในแก้วเดียวกัน แต่ถ้ามันมีรสชาติใดรสชาติหนึ่งมากเกินไป มันอาจจะทำให้เราไม่รู้สึกเอ็นจอยกับกาแฟแก้วนั้นเท่าไหร่ ถ้าเราบาลานซ์รสชาติได้ไม่มีรสชาติใดโดดจนเกินไปก็อาจจะแก้วที่สมบูรณ์แบบ และอาจจะเป็นแก้วที่เราดื่มได้ทุกวัน”
“ความหวานของกาแฟอาจจะจับได้ยากกว่ารสชม หรือรสเปรี้ยว แต่ก็มีเทคนิคง่ายที่จะทำให้รู้ว่ากาแฟแก้วไหนหวานหรือไม่หวาน ให้ลองดื่มน้ำตามหลังจากดื่มกาแฟเสร็จ ถ้ามีความรู้สึกเหมือนมีอะไรมาเคลือบลิ้นและชุ่มคอ นั่นแหละคือความหวานแบบธรรมชาติของกาแฟ ถ้าเราหาตรงนี้เจอแปลว่าการสกัดของเรามันเข้าเป้าแล้ว และรสชาติอื่น ๆ มันจะตามมาเอง”
“ถ้าเป็น AeroPress สำหรับผมแนะนำอุณภูมิไม่เกิน 90 องศากับกาแฟคั่วอ่อนถึงกลาง เพราะมันการแช่เข้ามาเกี่ยวข้องถ้าเราใช้น้ำในอุณภูมิที่สูง อาจจะทำให้กาแฟเราขมได้ง่าย พอมันติดขมแล้วจะปรับรสชาติให้กลับมาหวาน หรือมีความสว่างได้ยากแล้ว”
“อัตตราส่วนของกาแฟ และน้ำอยู่ที่ประมาณ 1:8 หรือ 1:10 และควรใช้กาแฟอย่างน้อย 12 – 15 กรัมขึ้นไป และเทคนิคของผมอีกอย่างคือการวอร์มอุปกรณ์ทุกชิ้นให้อุ่นเพื่อรักษาอุณภูมิของน้ำ”
“สำหรับกาแฟดริปผมอุณหภูมิของน้ำขึ้นอยู่กับกาแฟที่ใช้ ถ้ากาแฟอ่อนผมใช้ที่ไม่เกิน 93 องศา อัตตราส่วน 1:15 ปัจจัยที่ผมจะใช้ทำกาแฟผมจะดูว่ากาแฟตัวนี้คืออะไร ถ้าเป็นกาแฟที่คั่วอ่อนมาเราก็จะสกัดมากหน่อย ถ้าคั่วกลางมาก็จะไม่สกัดมากเท่าไหร่เพราะมันมีโอกาสที่จะ OVER EXTRACTION ได้ แบ่งการเทน้ำเป็นสามครั้ง ครั้งแรกใช้น้ำ 30 กรัม ครั้งที่สอง 100 กรัม และครั้งที่สาม 150 กรัม จบประมาณ 12 นาทีนิด ๆ”
.
“กาแฟมันไม่มีสูตรตายตัวสุดท้ายเราก็ต้องปรับหรือเพิ่มเติมอะไรลงไปในแก้วนั้น”
เบญจ เขมาชีวะ จาก Brew Lab
“กาแฟเป็นความชอบส่วนบุคคล เวลาแข่งขันความชอบนั้นอาจจะถูกกำหนดด้วยกรรมการ แต่การทำเพื่อเสิร์ฟตัวเองหรือเสิร์ฟเพื่อนมันอาจเปลี่ยนไป เพราะความอร่อยในแต่ละจุดประสงค์มันไม่เหมือนกัน การทำกาแฟหนึ่งแก้วให้อร่อยมันขึ้นอยู่กับบรรยากาศและบริบทด้วย การเลือกวัตถุดิบที่ดีย่อมให้ผลลัพธ์ที่ดี แต่สุดท้ายเราควรเลือกสิ่งที่เราชอบ ถ้าชอบฟรุ้ตตี้ก็เลือกคั่วอ่อน ถ้าไม่ชอบฟรุ้ตตี้ก็แนะนำคั่วกลางขึ้นไป อุณหภูมิที่พอเหมาะอยู่ที่ 85-92 องศาเซลเซียส ถ้ากาแฟคั่วอ่อนก็ 84-85 แต่ถ้ากาแฟคั่วเข้มก็ประมาณ 90 ได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับกาแฟด้วย เพราะแต่ละที่ความอ่อนและความเข้มมันก็ไม่เท่ากัน”
“ส่วนตัวผมชอบกาแฟกลม ๆ ไลท์ ๆ มีบอดี้ มีความหวาน ผมว่า Aeropress ตอบโจทย์ตรงนี้ได้ดี เพราะมันมีเรื่องแรงดันที่ทำให้กาแฟมีความหวาน การบดกาแฟก็มีส่วน เพราะที่บดที่ดีย่อมให้ผลลัพธ์ที่ดีเช่นกัน ผมว่าการรู้จักและเข้าใจอุปกรณ์จะช่วยทำให้เราทำงานได้ง่าย”
“ข้อดีของ Aeropress สำหรับสายแคมป์ คุณพกพามันไปไหนมาไหนได้ง่าย แค่มีแก้วที่ปากใหญ่กว่ากระบอกแค่นั้นเอง ที่เหลือแค่เอากาแฟใส่กระบอก ใส่น้ำ เอาไม้ที่เขาให้มาคน ๆ ปิดฝา จะแช่นานขนาดไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าอยากให้กาแฟเข้มขนาดไหน ยิ่งกาแฟอยู่กับน้ำนานก็จะสกัดกาแฟเพิ่มขึ้น ปกติผมจะแช่เอาไว้ไม่เกิน 2 นาที โดยเฉลี่ย แต่ทุกอย่างมันก็ขึ้นอยู่กับกาแฟและวิธีการชงด้วยว่าซับซ้อนมากน้อยขนาดไหน เช่น อาจจะมีการคน เขย่าบ้าง ดันอากาศออกบ้าง ตรงนี้มันคือเสน่ห์ของ Aeropress คือสามารถชงให้ง่ายก็ได้ ชงให้ยากก็ได้ แต่ก็ยังได้กาแฟที่อร่อยเหมือนกัน กาแฟไม่มีตายตัว ความอร่อยแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน การทำกาแฟสำหรับผมจึงยืดหยุ่นมาก”
อนุวัต ธนสิทธิพันธ์ จาก Stack Coffee
“AeroPress น่าสนใจในแง่การใช้มือกด มันมีแรงดันประมาณหนึ่ง และมันก็ให้รสชาติที่แตกต่างออกไป”
“สำหรับการแข่ง ส่วนสำคัญที่ทำให้เราต้องเตรียมตัวให้พร้อม ก็คือรู้ว่ารูปแบบการแข่งขันเป็นแบบไหน ต่อมาก็การชง คงคล้ายกับหลาย ๆ คนที่เริ่มชงจาก Recipe ที่กลาง ๆ ก่อน ตอนนั้นได้ดูข้อมูลและวีดีโอคลิปของ Tim Wendelboe กับ James Hoffmann และ Recipe ของคนที่ไปแข่ง Word Championship ในปีที่ผ่าน ๆ มา เราก็เอามาทดลองชงด้วยตัวเอง สิ่งสำคัญอีกอย่างก็คือตอนซ้อม เราต้องชมเพื่อแยกแยะสิ่งที่ชงออกมาได้ เพราะถ้าเราเปลี่ยนตัวแปร ปัจจัยนี้จะส่งผลอย่างไรต่อรสชาติ พยายามดูว่าเมื่อเราปรับเบอร์บด อุณหภูมิของน้ำ วิธีการกด หรือเวลาที่น้ำสัมผัสกับกาแฟ มันจะได้รสชาติออกมาแบบใด”
การแข่งขัน Thailand AeroPress 2022 ผู้แข่งขันใช้เมล็ดกาแฟ Thailand AeroPress 2022 Competition Blends (50% Thai Le Tor Gold, Tak *Natural Process by Chang Pao และ 50% Ethiopia Bule Adado G1 *Natural Process) จาก Paga Microroastery เหมือนกันทั้งหมด ข้อบังคับคือห้ามใช้กาแฟเกิน 18 กรัม
“เราเทเมล็ดกาแฟเกิน 18 กรัมมาเล็กน้อย และค่อย ๆ คัดเมล็ดที่ไม่สมบูรณ์ออกจนได้น้ำหนักที่พอดี จากนั้น ใช้เครื่องบดกาแฟมือหมุนของ Comandante โดยใช้เบอร์บดประมาณ 28-30 คลิ๊ก เลือก ใส่ฟิลเตอร์ 2 ชั้น และ ใช้น้ำร้อนในอุณหภูมิ 85 องศา ในปริมาณ 160 กรัม ระหว่างเทผงกาแฟและน้ำร้อนลงไปในเครื่อง ก็ใช้วิธีการคนประมาณ 5-6 ครั้ง โดยคนไปถึงก้น และคนจากข้างหน้าไปข้างหลัง เพื่อไล่อากาศออกจากปากกระบอก และกดให้เบาที่สุด โดยกดไปครึ่งหนึ่งก่อน แล้วเคาะเพื่อเกลี่ยผงกาแฟให้เสมอกัน จากนั้นกดอีกครึ่งที่เหลือจนได้ยินเสียงอากาศ ยกออกและเติมน้ำจากกาเดิมลงไปราว 20 กรัม เป็นอันเสร็จ”
THAILAND AEROPRESS CHAMPIONSHIP 2023 BY THE COFFEE CALLING
เตรียมพบกับการแข่งขันรายการ Thailand AeroPress Championship 2023 by The Coffee Calling ซึ่งปีนี้พิเศษและแตกต่างออกไปจากปีก่อน โดยเริ่มต้นจากการแข่งขันรอบภูมิภาค (Regional) ทั้ง 6 ภาค เพื่อเฟ้นหาตัวแทนภาคละ 6 คน รวมเป็น 36 คน จากทั้งหมด ผ่านเข้ารอบมาแข่งขันในระดับประเทศ (National) ที่กรุงเทพฯ
The Coffee Calling เขาฝากบอกมาว่า อย่ายืนเชียร์ข้างสนามเพลิน เวลาผ่านไปเร็วมาก โอกาสก็เช่นกัน คนที่ 6 ในปี 2023 นี้อาจเป็นคุณ สำหรับใครที่อยากเข้าร่วมแข่งขันในปีนี้ ผู้สมัครมีค่าสิทธิ์ในการเข้าแข่งขัน 2,800 บาท / คน / ภาค สามารถเลือกสมัครแข่งขันในภาคใดก็ได้ ลงสมัครกี่ภาคก็ได้ แต่หากชนะหรือได้เป็น 1 ใน 6 ตัวแทนภาคใด ๆ แล้ว จะไม่สามารถลงแข่งขันในภาคอื่น ๆ ได้อีก โดยผู้ชนะเลิศอันดับ 1 ของแต่ละภาคจะได้เข้ารอบ semi-final ในการแข่งขันระดับประเทศ แบบอัตโนมัติ โดยตัวแทนแต่ละภาคทั้ง 36 ท่าน จะไม่ต้องเสียค่าสมัครแข่งเพิ่มเติมในระดับ National และ World อีกด้วย
ท้ายที่สุดผู้ชนะหนึ่งเดียวในรอบ National จะได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันรายการ World AeroPress Championship 2023 ร่วมกับแชมป์จากประเทศอื่น ๆ อีกกว่า 60 ประเทศ ทั่วโลก และนี่คือไลน์อัพของผู้จัดร่วมในแต่ละภาค
อีสาน iTAC2023 x Anna Coffee Roaster
จัดร่วมกับงาน Brew Barn Fest 2023
ที่ Anna Coffee Roaster (หัวเรือ), อุบลราชธานี
วันที่ 11-12 มีนาคม 2566
ตะวันตก wTAC2023 x WESTKOFF
จัดร่วมกับงาน WESTKOFF 2023 ที่ 155 Camp, ราชบุรี
วันที่ 25-26 มีนาคม 2566
ใต้ sTAC2023 x Wha Pai Coffee Show
จัดร่วมกับงาน Wha Pai Coffee Show 2023
ที่ The Union ชั้น 3, นครศรีธรรมราช
วันที่ 8-9 เมษายน 2566
เหนือ nTAC2023 x Doi Tung Coffee
จัดร่วมในงาน (TBA)ที่ ไร่แม่ฟ้าหลวง, เชียงราย
วันที่ 13-14 พฤษภาคม 2566
กลาง cTAC2023 x The Summer Coffee Company
จัดร่วมในงาน (TBA) ที่ Summer Coffee Roasters, อยุธยา
วันที่ 20-21 พฤษภาคม 2566
ตะวันออก eTAC2023 x To Die For Coffee จัดร่วมในงาน (TBA)
ที่ Wheeler Bed & Bike Hotel, บางแสน (ชลบุรี)
วันที่ 3-4 มิถุนายน 2566
นอกจากคนชนะ จะได้มีสิทธิ์ในการเข้าร่วมการแข่งขันใน World AeroPress Championship 2023 พร้อมค่าเดินทาง และค่าที่พักแล้ว ยังมีรางวัลสำหรับผู้ชนะเลิศทั้ง 3 อันดับดังนี้รางวัลชนะเลิศ จะได้รับ Mahlkonig EK43s (มูลค่า 119,500 บาท)รองวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้รับ Mahlkonig X54 (มูลค่า 23,000 บาท) รองวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้รับ Varia VS3 (มูลค่า 13,900 บาท) อีกทั้งผู้ชนะเลิศในระดับ Regional ทั้ง 6 ภาคยังจะได้รับ เครื่องชั่ง ACAIA Pearl (2021) มูลค่า 5,900 บาท คนละ 1 เครื่อง อีกด้วย ของรางวัลทั้งหมดสนับสนุนโดย บริษัท พีเบอร์รี่ ไทย จำกัด ผู้สนับสนุน The Coffee Calling ในการแข่งขัน Thailand AeroPress Championship 2023 อย่างเป็นทางการ
งานระดับภูมิภาคงานแรกของ Thailand AeroPress Championship 2023 by The Coffee Calling จะเริ่มต้นที่ภาคอีสาน โดย iTAC2023 จัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 11 ถึงอาทิตย์ที่ 12 มีนาคมนี้ ที่ ANNA COFFEE ROASTERS (AT HUA RUEA) ณ โรงคั่วบ้านหัวเรือ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.อุบลราชธานี
ภายในงานนี้นอกจากจะมีการแข่งขัน ยังมีการออกร้านจำหน่ายกาแฟ อุปกรณ์กาแฟ กิจกรรม demon และ workshops เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กลุ่มคนกาแฟในระดับภูมิภาค ทำให้วงการกาแฟโดยรวมได้พัฒนายิ่งขึ้น ส่งต่อไปถึงกลุ่มคนรักกาแฟในวงกว้างอีกด้วย งานนี้ผู้จัด The Coffee Calling ยังแอบกระซิบว่ามีกิจกรรม Bar Takeover จากแชมป์เก่าก่อนหน้างานแข่ง 1-2 วัน ที่ร้านกาแฟชื่อดัง 3-4 ร้านในจังหวัดอุบลราชธานี ติดตามรายละเอียดได้ในเพจ The Coffee Calling นะ
EXPLORERS: โก้, แมน, เบน, เน่, มิก
AUTHOR: บดินทร์ บำบัดนรภัย, นวภัทร ดัสดุลย์
PHOTOGRAPHER: นวภัทร ดัสดุลย์, ศุภกร ศรีสกุล