ถ้าใครเคยดูช่องอมรินทร์ทีวีกันอยู่เป็นประจำ อาจจะต้องเคยได้ยินได้เห็นรายการหนึ่งที่ชอบพาไป ลงน้ำ ลุยโคลน เข้าสวนเข้านา ลุยตามหาวัตถุดิบประจำถิ่น แล้วเอามาปรุงเป็นอาหารจานเด็ดมาชิมมาโชว์กันที่หน้าจอ
เล่ากันมาขนาดนี้ แน่นอนว่าต้องไม่ใช่รายการทุบโต๊ะข่าวแน่ ๆ แต่นั่นคือรายการตามอำเภอจานรายการที่สายกินต้องดู ในนั้นเราจะเห็นพิธีกรชายอารมณ์ดี ที่ชอบคุยไปยิ้มไป แน่นอนว่ากว่าชีวิตจะเดินทางมาถึงตรงนี้เจ้าตัวเอง ก็ไม่คิดไม่ฝันเหมือนกัน นี่เป็นโอกาสดีที่จะได้สอบถามว่า เป็นไงมาไงทำอะไรมาบ้างกับ ‘พลุ เฉลิมพล ตันติ์ทวิสุทธิ์ พิธีกรอารมณ์ดีคนนี้
“ดนตรีนำทาง”
เรานัดคุยกันในช่วงเวลาบ่าย พลุเดินมาด้วยรอยยิ้มภายใต้หน้ากากอนามัย เราสังเกตุได้จากแววตาที่เป็นรูปสระอิของเขา หลังจากทักทายเราก็ได้เปิดประเด็นคำถามแบบไม่ทันให้พลุตั้งตัวทันที “เป็นไงมาไงก่อนที่จะมาทำรายการนี้” พลุเล่าให้ฟังย้อนไปเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้เป็นคนชอบเล่นดนตรี ตั้งวงประกวดกันไปเรื่อย จนเพื่อนที่เป็นโมเดลลิ่งเห็นแวว เลยลองชักชวนเข้าไปแคสติ้งภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง
พลุเล่าด้วยเสียงหัวเราะว่า ที่ได้มาเล่นหนังเรื่องนี้เป็นเพราะความกวนนี่แหละครับที่ถูกใจผู้กำกับซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับหน้าตาใด ๆ ทั้งสิ้นเลย บอกไปใคร ๆ ก็ต้องรู้จักและเชื่อว่าหลายคนต้องเคยได้ดู “Season Change เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย” และบทก็ไม่ธรรมดา ได้เป็นถึงเพื่อนพระเอกเลยทีเดียว
หลังจากเรื่องนั้นก็ดูเหมือนว่าก็ทำให้ชีวิตเบี่ยงเข็มมาเส้นทางสายดนตรีชัดเจนขึ้น จนในที่สุดวง Ladykillerz ของเขาก็เป็นหนึ่งในศิลปินที่มีเพลงบรรจุอยู่ในอัลบัม D.I.Y by Narongvit ของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ ฟังดูเท่ดี มีอัลบั้มเป็นของตัวเองแต่สุดท้าย ชีวิตก็ไม่ง่าย และสวยหรูปูพรมขนาดนั้น พลุเล่าด้วยเสียงหัวเราะ (อีกแล้ว) ให้เราฟังว่า ตอนนั้นศิลปินทุกคนของอัลบั้มนี้ได้โปรโมทกันหมด และงบโปรโมทก็มาหมดที่วงของเขาเป็นวงสุดท้ายพอดี
เพลงเขาไม่ได้ถูกเปิดในคลื่นวิทยุ เป็นเพลงที่ซ่อนอยู่ในหน้าบี มีแต่คนซื้อไปฟังเท่านั้นที่จะรู้จัก พลุบอกแบบนั้นด้วยรอยยิ้ม แน่นอนว่าไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ถ้ายังไม่มีใครเคยโปรโมท บ้านและสวน Explorers Club ขอทำหน้าที่โปรโมทศิลปินกลุ่มนี้เป็นที่แรกของโลกเอง
แนะนำว่าให้คุณเข้าไปใน Youtube แล้วพิมพ์ชื่อเพลงว่า “ไม่มีคำแก้ตัวทั้งนั้น” คุณก็จะเจอเพลงของ พลุ และวง Ladykillerz ถึงแม้คุณจะไม่เจอ MV แต่คุณก็จะได้ฟังเสียงเพราะ ๆ ของเขาแน่ ๆ ลองฟังดูเนื้อหาดีเมโลดี้เพราะทีเดียว
“ลอง เรียน รู้”
หลังจากนั้นก็เป็นนักแต่งเพลงสักพักจนเริ่มรู้สึกว่า อยากหางานที่มั่นคงขึ้น เลยได้มีโอกาสทำรายการท่องเที่ยว โดยเป็นเบื้องหลัง ได้เรียนรู้ ได้ใช้วิชานิเทศน์ที่เรียนมาอย่างเต็มที่ แต่ด้วยประสบการณ์ในช่วงนั้น พลุบอกกับเราว่ายังไม่เข้าใจเรื่องของกระบวนการของรายการ ที่ต้องมีผู้สนับสนุนมาเกี่ยวข้อง
ตอนนั้นรู้สึกเหมือนถูกตีกรอบและสูญเสียความเป็นตัวเอง เลยตัดสินใจลาออกไปเรียนปริญญาโทต่อในสาขาบริหารธุรกิจ คราวนี้แหละเหมือนได้เปิดหูเปิดตา ทีนี้แหละถึงเข้าใจระบบของธุรกิจเสียที พลุบอกแบบนั้น (พร้อมเสียหัวเราะอีกแล้ว) และสุดท้ายก็กลับไปทำรายการทีวีอีกครั้ง
รายการกบนอกกะลาคือสนามความรู้ของพลุที่ทำให้เขาเองได้ประสบการณ์การทำงาน ได้ทดลองการทำงานใหม่ ๆ ใส่ความแปลกเข้าไปถึงแม้สิ่งที่ทำจะไม่ได้ออกอากาศ แต่มันก็ได้กลายเป็นประสบการณ์และมาตรฐานใหม่ให้กับสังคมการทำงานที่นั่น และทำให้เขาได้มาพบกับหญิงสาวสายลุยคนหนึ่งที่ชื่อว่า “อโนชา” หรือ พี่โน ที่ชักชวนมาให้เขาได้เริ่มต้นงานเป็นพิธีกรครั้งแรก และถือเป็นจุดเปลี่ยนของเส้นทางชีวิตอีกครั้ง
“เลี้ยงชีวิต หรือเลี้ยงหัวใจ เอายังไงดี”
หนึ่งปีผ่านไป พลุ กลับมาใช้เวลาทบทวนตัวเองถึงสิ่งที่กำลังทำอยู่อย่างมีความสุขดีและความฝันของเขา สุดท้ายก็ต้องเลือกแต่ดูเหมือนเสียงของหัวใจมันดันเต้นเป็นจังหวะของดนตรี เลยทำให้เขาหันหลังให้กับเส้นทางสายทีวี ออกมาใช้ชีวิตเป็นนักแต่งเพลงตามความฝัน ขอลองดูสักตั้งกับสิ่งนี้คิดว่าอายุยังพอได้และยังพอมีเวลาที่จะให้ทดลอง วันหนึ่งหันหลังกลับมาจะได้ไม่ต้องมาเสียใจเพราะเสียดายที่ไม่ได้ทำ ช่วงเวลานั้นพลุบอกว่า เงินไม่เยอะแต่ที่เยอะคือความสุข ความสุขมันมีมากพอที่ทำให้เขาใช้ชีวิตได้หลายปี ตอนนั้นทำให้รู้สึกได้ถึงความเรียบง่ายของชีวิต
4 ปีเต็มที่พลุได้หล่อเลี้ยงหัวใจอย่างเต็มที่ เขาโตและนิ่งขึ้น พอที่จะกลับมาทบทวนตัวเองอีกครั้งถึงอนาคต และความมั่นคงของชีวิต การได้ทำสิ่งที่รักเป็นเรื่องดี แต่ตอนนี้ชีวิตต้องก้าวยาว ๆ เพื่อไปต่อและมุ่งหน้าสู้ความมั่นคงมากขึ้น ถ้าชีวิตมันเป็นเหมือนดนตรี ชีวิตของพลุก็ถือว่าเป็นดนตรีที่จังหวะดีมาก จังหวะดี ที่ “พี่โน” ชวนไปทำงานด้วยกันอีก และนี่ก็คือจุดเปลี่ยนของเส้นทางชีวิตอีกครั้ง จากนักแต่งเพลงมาเป็นนักกิน กินแบบลุยถึงถิ่น และแหล่งที่มาของวัตถุดิบกันเลยที่เดียว
“ตามอำเภอจาน เมนูของชีวิตจานใหม่”
การที่ได้กลับมาทำงานทีวีอีกครั้ง พลุ บอกกับเราว่าต้องอาศัยการปรับตัวกันอยู่พักหนึ่ง ด้วยความที่ชีวิต มันทำให้เราเป็นคนนิ่ง ๆ มานาน แต่รายการมันสนุกก็เลยยังไม่สุดสักเท่าไหร่ในช่วงแรก ต้องอาศัยเวลา สุดท้ายก็เข้าที่เข้าทางดี ดูเหมือนตอนนี้จะเป็นช่วงเวลาที่ได้เจออะไรใหม่ ๆ อีกแล้ว เขามีความสุขกับการที่ได้เจอ และสนทนากับชาวบ้าน ได้ทำหน้าที่เป็นทั้งครีเอทีฟ และพิธีกร
เราได้ถามว่า สิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้มันมีอะไรที่เหมือนการแต่เพลงบ้างรึเปล่า พลุบอกว่ามี การที่ได้ทำให้ผู้คนที่เราได้พบเจอดูเป็นธรรมชาติที่สุด และดูเป็นตัวของตัวเองที่สุดเมื่ออยู่หน้าจอ คือสิ่งที่เขาบอกว่านี่แหละที่เหมือนกันกับการแต่งเพลงให้ออกมาเป็นตัวศิลปินมากที่สุดนั่นแหละ
“ไม่มีอาหารจานไหนที่ไม่อร่อย มันมีแต่อาหารที่ไม่ถูกปากเรามากกว่า ถ้าไม่อร่อยเขาก็คงไม่กินกัน” ประโยคนี้ทำให้เรารู้สึกได้ว่า เราควรใจกว้างและไม่เอาความชอบของเราไปตัดสินคนอื่น นี่คือบทเรียนจากอาหารที่เขาได้รับ
พลุเล่าต่อถึงสิ่งที่เขาได้รับหลังจากที่ได้ไปสัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวบ้านมาหลายครั้ง ครอบครัวดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่แท้จริงและสำคัญที่สุด และเป็นสิ่งที่เราไม่ควรมองข้ามมันเลย แต่ด้วยวิถีชีวิตของคนกรุง มันอาจทำให้เราหลงลืมไปบ้าง สิ่งนี้มันทำให้พลุเองหันกลับมามองคนที่อยู่รอบข้างและครอบครัวมากขึ้น ตอนนี้เขาเองเหมือนได้เจอทำนองใหม่ของชีวิตและกำลังสนุกกับมันอย่างเต็มที่ซะแล้ว…..
“บทสรุป”
การที่เราได้พูดคุยกับผู้ชายคนนี้ มีสิ่งหนึ่งที่เราคิดว่าน่าสนใจ “การทบทวนตัวเองบ่อย ๆ” มันอาจจะเป็นตัวช่วยให้ชีวิตได้ไปต่อเมื่อต้องเดินทางมาถึงทางแยกหรือจะต้องเลือกอะไรสักอย่าง ความเป็นตัวตนและความชอบจะเป็นสิ่งนำทาง แต่ในขณะเดียวกันก็อย่างละทิ้งความฝันและโอกาส
ชีวิตคงเหมือนเพลงบางเพลงที่บางคนอาจจะชอบมันหรือไม่ก็ได้ ก็คงจะเหมือนเรื่องความอร่อยของอาหารที่ไม่ถูกปาก อย่างที่พลุเขาว่า แต่ถ้าเราทำใจกว้าง ๆ ฟังมัน บางที เราอาจจะได้ยินจังหวะของชีวิตใหม่ และก็ชอบมันแบบไม่รู้ตัวก็ได้…
[EXPLORER]
พลุ – เฉลิมพล ตันติ์ทวิสุทธิ์
ชวนคุย : บาส