คุยกับ ‘อีฟ – อติชา ยิ่งศิริอำนวย’ ผู้ก่อตั้ง Campa แพลตฟอร์มจองพื้นที่กางเต็นท์รายแรกในไทย ที่วางเป้าหมายสร้างวัฒนธรรมแคมปิ้งอย่างยั่งยืน ผ่านการยื่นมือเข้ามาช่วยแก้ปัญหาให้ทั้งคนที่ไปแคมป์สามารถจองพื้นที่ที่ชอบได้ก่อนโดยไม่ต้องรีบแล้วไปลุ้นหน้างาน และช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถบริหารทรัพยากรคนและพื้นที่ของตัวเองอย่างเป็นระบบ
จุดเริ่มของ Campa
“ต้นไอเดียจะเป็นอีฟที่เริ่มก่อน เราเป็นคนท่องเที่ยวทั่วไป ชอบไปเดินป่า ไปแคมปิ้ง ก็พอทราบว่าวัฒนธรรมแบบนี้เป็นประมาณไหนในประเทศไทย จนมันเริ่มมีแคมป์เอกชนเกิดขึ้นช่วง 5-6 ปีก่อน มันอาจจะไม่ได้เยอะมาก เราก็พอทราบว่าการหาแคมป์เอกชนจะยากสักนิด การจองก็ยาก จนกระทั่งเราไปเรียนต่อที่อเมริกาในปี 2018 อเมริกาเป็นประเทศที่การแคมปิ้งค่อนข้างแข็งแรง การไปแคมปิ้งเป็นเรื่องปกติธรรมดา ที่นั่นเขาจะมีแพลตฟอร์มคอยอำนวยความสะดวกเวลา ไปท่องเที่ยว คนสามารถหาข้อมูลกันได้ง่าย ๆ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่ชอบทริปเอ๊าท์ดอร์ก็ใช้งานได้สะดวก เราก็มองว่ามันเจ๋งดีที่มีอะไรมาตอบโจทย์คนที่ชื่นชอบไลฟ์สไตล์แบบนี้”
“พอเรียนจบช่วงปลายปี 2020 เป็นช่วงโควิดพอดี เราก็จองแคมป์ไปเที่ยวกันกับเพื่อนแล้วมาคิดขำ ๆ ว่าทำไมประเทศไทยไม่มีแพลตฟอร์มแบบนี้บ้าง เพราะคนแคมปิ้งก็เยอะ ปีสองปีที่ผ่านมามันบูมมาก แต่เราไม่แน่ใจว่ากระแสมันมาจากไหน เพราะไม่ได้อยู่ประเทศไทย พอเรียนจบก็ชวนเพื่อนสนิทมาทำแพลตฟอร์ม เพราะถ้าเราไม่ทำ สักวันมันก็ต้องมีคนทำ เพราะการแคมปิ้งมันพัฒนาไปไกลแล้ว”
“การไปแคมป์มีได้หลายรูปแบบ แต่พื้นที่สำหรับการแคมป์มันยังไม่ได้พัฒนาเท่าที่ควร การจองยังมีความ Manual อยู่ ต้องไปติดต่อทางเพจบ้าง โทรศัพท์ไปบ้าง ประมาณสองเดือนก่อนกลับไทยจึงชวนทีมมาทำสตาร์ทอัพแบบจริงจัง สมาชิกในทีมก็เป็นเพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่รู้จักกันอยู่แล้ว เราก็ชวนคนที่มีศักยภาพ เป็นคนที่มีอินไซด์ในเรื่องของการแคมปิ้งด้วย และเป็นคนที่เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโปรแกรมมาร่วมด้วย”
“เราจดทะเบียนบริษัทและกำลังจะครบรอบ 1 ปีในวันที่ 30 มีนาคมนี้ แต่เริ่มไอเดียประมาณปี 2020 แล้วก็พัฒนากันขำ ๆ กับเพื่อนที่อยู่อเมริกา เริ่มจากไปซื้อไวท์บอร์ดแล้วมานั่งเขียนโมเดลธุรกิจ ศึกษา รีเสิร์ชกันช่วงนั้น แล้วมาจัดตั้งบริษัทในเดือนมีนาคมปีที่แล้ว”
ลานกางเต็นท์ใน Campa
“การไปแคมปิ้งในประเทศไทย กับการไปแคมปิ้งในประเทศอื่นมันอาจจะไม่ได้เหมือนกันร้อยเปอร์เซ็นต์ ในประเทศไทยประมาณ 80-90% ยังเป็นระบบการจ่ายแบบรายหัวอยู่ ใครเข้ามาก็จองได้ก่อน อาจจะไม่ได้ที่ที่เราอยากได้จริง ๆ เราต้องรีบไป อยากได้ติดริมน้ำก็ต้องไปแต่เช้า และไม่ได้แปลว่าเราจะได้ที่ตรงนั้นด้วย”
“เราเห็นโมเดลของต่างประเทศ ไม่ใช่แค่อเมริกาที่เดียว แต่เรารีเสิร์ชของประเทศอื่นด้วย ระบบการเก็บเงินรายหัวแทบไม่เห็นเลย มันเป็นการจัดสรรพื้นแบบเป็นล็อค ซึ่งมันเป็นข้อดีกับคนที่ไปแคมป์และผู้ประกอบการด้วย คนที่ไปก็จะได้ที่ตรงนั้นแน่นอน แต่ละล็อกก็มีบอกไว้แล้วว่าจำกัดคนกี่คน สิ่งอำนวยความสะดวกก็บอกหมดทุกอย่าง ผู้ประกอบการก็ไม่ต้องมาคอยตอบคำถามอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเราก็อยากเอาโมเดลนี้มาพัฒนาให้วงการการแคมปิ้งในประเทศไทยมันเป็นไปในรูปแบบนี้”
“กับลานกางเต็นท์ใน Campa เราก็ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นลานที่มีวิวสวยงามมาก เพราะคนที่ไปแคมปิ้งก็ไม่ได้ไปเสพวิวอย่างเดียว บางทีแค่อยากใช้เวลาอยู่กับเพื่อน อยากเอาสุนัขไปวิ่งเล่น เรามองว่ามันเป็นไปได้หมด และลานกางเต็นท์ที่เราอยากให้เข้ามาร่วมทุกที่มันมีจุดเด่นที่ไม่เหมือนกัน บางทีอาจไม่ได้มีวิวสวยมากแต่มีกิมมิคบางอย่าง เช่น ให้คนเข้าไปเก็บผลไม้ฟรี เอาไปประกอบอาหารได้ บางที่เป็นหุบเขา บรรยากาศตอนกลางคืนดีมาก ก็เป็นจุดขายได้ ส่วนใหญ่เราก็ไม่ได้คัดแบบเข้มงวดมาก แต่อย่างน้อยจะต้องมีจุดซักล้าง มีที่ล้างจาน มีห้องน้ำ มีคนดูแล”
การทำงานร่วมกับเจ้าของลานกางเต็นท์
“การทำงานมันจะมีความหลากหลาย อย่างตอนที่เริ่มเปิดเว็บไซต์ในเดือนตุลาคม ก็เริ่มไปหาลานกางเต็นท์ที่เป็นลานกางเต็นท์อยู่แล้ว เช่น ปางหวัน เป็นลานกางเต็นท์ที่คนรู้จักกันอยู่แล้ว แต่พื้นที่ของเขาไม่ได้จัดสรรเป็นล็อคตั้งแต่แรก ยังเป็นระบบรายหัว เพราะฉะนั้นเราต้องเข้าไปทำงานกับเจ้าของพื้นที่ เข้าไปช่วยแนะนำ เรามีสถาปนิกในทีมไปช่วยจัดสรรพื้นที่ให้เหมาะสมกับจำนวนคน หรือลานไหนที่มีการแบ่งล็อคประมาณหนึ่งอยู่แล้วแต่ยังเก็บเงินเป็นรายหัวอยู่ เราก็มาวิเคราะห์ว่าล็อคที่เขาทำมันอยู่มันสามารถจำกัดคนได้เท่าใด ช่วงหลัง ๆ จะมีลานกางเต็นท์เปิดใหม่เข้ามาเยอะ หรือแม้กระทั่งพื้นที่ที่ไม่มีอะไรเลยก็เข้ามาปรึกษากับเรา”
Campa กับอุปสรรคของการเปลี่ยนพฤติกรรม (แทบจะสิ้นเชิง) ของคนไปแคมป์
“อุปสรรคที่ชัดที่สุดคือ ธุรกิจนี้มันดูเหมือนจะตอบโจทย์อะไรหลาย ๆ อย่าง แต่ในขณะเดียวกันมันเป็นการเปลี่ยนพฤติกรรมของคนที่ไปแคมปิ้งในประเทศไทยด้วย เมื่อเรารีเสิร์ชการไปแคมป์ของต่างประเทศ แล้วมาลงลึกกับการทำงานจริง ๆ มันไม่ได้เหมือนกับวัฒนธรรมการแคมปิ้งของคนไทยมากขนาดนั้น คนไทยยังติดภาพการจ่ายเงินแบบรายหัว ไปเที่ยวอุทยานจ่ายค่าเข้า 30 บาท ลานเอกชน 200-300 บาทก็ว่าไป ซึ่งมันเป็นการเปลี่ยนความคิดของทั้งผู้ประกอบการและคนที่ไปแคมปิ้งด้วย มันก็เป็นความท้าทายประมาณหนึ่ง แต่เราก็คอยบอกคนที่ไปแคมป์ปิ้งว่าจริง ๆ แล้วการกางเต็นท์แบบกั้นเป็นพื้นที่ ราคาที่จ่ายไปมันอาจจะไม่ได้สูงกว่า แต่สิ่งที่ได้มาคือพื้นที่ที่คุณจะได้แบบแน่นอน ปลอดภัย ไม่ต้องรีบ ภาพตรงปก สามารถจองล่วงหน้าได้เลย เราก็พยายามให้คนรู้ว่ามันมีการท่องเที่ยวสไตล์นี้อยู่”
“มันไม่ใช่แค่ฝั่งของคนที่ไปแคมป์อย่างเดียว ลานกางเต็นท์ก็ต้องเปลี่ยน Mindset อะไรบางอย่าง เราต้องทำให้เขารู้ว่าถ้าเขามาร่วมกับเราเขาจะไม่ต้องเสียเวลามานั่งตอบแชท รับโทรศัพท์ทุกสายเพื่อตอบคำถามลูกค้า หรือเก็บเงินเอง เราก็อยากจะช่วยบริหารทรัพยากรตรงนั้น แต่มันก็ยังเป็นเรื่องท้าทายที่จะรวมรวมลานกางเต็นท์เข้ามาเยอะ ๆ”
ในอนาคต Campa ไม่เพียงตั้งใจสร้างแพลตฟอร์มจองแค่ลานกางเต็นท์ แต่ยังคงรวบรวมกิจกรรมเอ๊าต์ดอร์ อีเวนต์ หรือการทำเวิร์คช็อปให้กับกลุ่มคนที่ชื่นชอบสไตล์นี้มากขึ้น อีฟบอกกับเราว่า “เราไม่อยากให้คนนึกถึง Campa เป็นแค่การจองเต็นท์อย่างเดียว แต่อยากให้นึกถึงการท่องเที่ยวเอ๊าต์ดอร์ในรูปแบบอื่นด้วย พวกการเช่าอุปกรณ์ก็มีคิดไว้บ้าง แต่เบื้องต้นก็ไปเป็นพาร์ทเนอร์กับแบรนด์ Outdoor Rentral ที่เขาให้เช่าอุปกรณ์ เพราะสำหรับลูกค้าบางคนที่ไม่มีอุปกรณ์ก็สามารถมาเช่าได้ แต่ในอนาคตอาจจะไปเป็นพาร์ทเนอร์กับดีลเลอร์ที่นำเมล็ดกาแฟ มีเวิร์คช็อปทำกาแฟ สร้างกิจกรรมให้คนเข้ามาจอยกับการท่องเที่ยวแบบนี้มากขึ้น”
ในงานบ้านและสวนแฟร์ Select 2022 ครั้งนี้พวกเราได้จัดสรรพื้นที่ Explorers Zone ให้กลายเป็นมุมพบปะของคนรักกิจกรรมกลางแจ้ง ที่รวบรวมสินค้าเอ๊าต์ดอร์ไลฟ์สไตล์หลากหลายแบรนด์มาให้จับจ่ายแบบจุใจ เราจึงถือโอกาสนี้ชวนอีฟ และทีม CAMPA มาร่วมเสวนากันบนเวทีถึงประเด็นการสร้างธุรกิจสตาร์ทอัพนี้ขึ้นมา เพื่อสร้างวัฒนธรรมการแคมปิ้งที่ได้รับความนิยมอย่างมากในตอนนี้ไม่ให้เป็นเพียงแค่กระแสแล้วหายไป พร้อมให้ผู้ฟังได้ร่วมสนุกลุ้นรางวัลสุดพิเศษ ในวันเสาร์ที่ 26 มีนาคม 2565 เวลา 13.00 น. สำรองที่นั่งล่วงหน้าได้ที่เพจบ้านและสวน ExplorersClub
