ด้วยเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ

ฝุ่น PM2.5 กลายเป็นวิกฤติที่คนไทยต้องเผชิญซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยเฉพาะทุกครั้งที่ลมหนาวพัดมา ปัญหานี้ไม่ได้ส่งผลแค่ให้ฟ้าหม่นหรืออากาศขมุกขมัวเท่านั้น แต่ยังบั่นทอนสุขภาพ เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของผู้คนทั่วประเทศ ความจริงแล้วปัญหาฝุ่นละอองมีความซับซ้อนกว่าที่เห็น เกิดจากทั้งกิจกรรมของมนุษย์ ภูมิประเทศ และสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ การแก้ไขจึงไม่สามารถใช้มาตรการเดียวครอบคลุมได้ แต่ต้องอาศัยข้อมูลเชิงลึกที่แม่นยำและทันเวลา

เพื่อตอบโจทย์นี้ จึงเกิดโครงการวิจัย “การวิเคราะห์เขตประสบมลพิษทางอากาศเชิงพื้นที่และเชิงเวลาด้วยเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ” โดยทีมงานจากสทอภ. นำโดยนางสาววรนุช จันทร์สุริย์ และได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ พร้อมความร่วมมือจากหลายหน่วยงานของรัฐ งานวิจัยนี้พยายามสร้างเครื่องมือใหม่ที่จะช่วยให้การจัดการปัญหาฝุ่นละอองมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการนำเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศมาวิเคราะห์ สร้างแบบจำลอง และประเมินความเปราะบางของพื้นที่ต่าง ๆ ในประเทศไทย
สิ่งที่ได้จากงานวิจัยนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการแก้ปัญหา หนึ่งคือการพัฒนาแบบจำลอง “เขตภูมิศาสตร์อากาศ” หรือ Airshed Model ที่แบ่งประเทศไทยออกเป็น 4 ลักษณะภูมิประเทศ ได้แก่ พื้นที่ราบลุ่ม เนินเขา ราบสูง และพื้นที่สูง แต่ละแบบมีผลต่อการกระจายตัวของฝุ่นไม่เหมือนกัน พื้นที่ราบสูงและพื้นที่สูงมีแนวโน้มสะสมฝุ่นได้มาก เพราะชั้นบรรยากาศต่ำและการหมุนเวียนอากาศจำกัด ต่างจากพื้นที่ราบลุ่มและเนินเขาที่อากาศถ่ายเทได้ดีกว่า

อีกส่วนสำคัญคือการสร้าง “ดัชนีความเปราะบางต่อมลพิษทางอากาศ” ซึ่งวิเคราะห์จากสามปัจจัยหลัก ได้แก่ การเปิดรับ ความอ่อนไหว และความสามารถในการปรับตัว ผลการศึกษาพบว่าภาคเหนือคือพื้นที่ที่เปราะบางที่สุด โดยมีพื้นที่เสี่ยงสูงถึงกว่า 52% ขณะที่ภาคใต้มีความเปราะบางต่ำมากกว่า 86% ปัจจัยที่ทำให้บางพื้นที่เสี่ยงสูงมักเกี่ยวข้องกับการเผาในพื้นที่ซ้ำซาก การตั้งถิ่นฐานหนาแน่น และการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานที่จำกัด

ข้อมูลทั้งหมดนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในรายงาน แต่ถูกออกแบบให้กลายเป็นเครื่องมือสำหรับผู้กำหนดนโยบาย ไม่ว่าจะใช้ประกาศเขตมลพิษ วางแผนป้องกันและบรรเทาผลกระทบ หรือจัดสรรทรัพยากรไปยังกลุ่มเปราะบางที่ต้องการความช่วยเหลือโดยตรง ยิ่งไปกว่านั้น ยังถูกพัฒนาต่อยอดเป็นระบบติดตามคุณภาพอากาศผ่านออนไลน์และแอป “เช็คฝุ่น” ที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ทันที
แม้งานวิจัยนี้จะก้าวหน้าไปมาก แต่ก็ยังมีข้อจำกัด เช่น ความแม่นยำของข้อมูลจากดาวเทียมในบางพื้นที่ หรือการขาดข้อมูลภาคพื้นดินบางช่วงเวลา นักวิจัยจึงเสนอให้พัฒนาแบบจำลองที่ละเอียดขึ้น บูรณาการข้อมูลแบบเรียลไทม์ และขยายการประเมินให้ครอบคลุมด้านเศรษฐกิจและสังคมมากขึ้นในอนาคต
สุดท้าย หากเปรียบการจัดการปัญหาฝุ่น PM2.5 เหมือนการนำเรือฝ่าพายุ งานวิจัยนี้ก็คือการสร้างเรดาร์และแผนที่ ที่ช่วยให้ผู้ตัดสินใจมองเห็นทิศทางอย่างชัดเจน รู้ว่าพื้นที่ไหนเสี่ยงที่สุด และควรเร่งดูแลใครก่อนใครหลัง ทำให้การแก้ปัญหาฝุ่นละอองในประเทศไทยมีความหวังที่จะเป็นระบบและยั่งยืนมากขึ้น
REPORT: ตู่-ไตรรัตน์ ทรงเผ่า
