เมื่อการอนุรักษ์คือการสำรวจเส้นทางอนาคต

ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ มีเวทีหนึ่งที่ไม่เหมือนเวทีสัมมนาทั่วไป เพราะเวทีนี้เหมือนพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิดเรื่องสิ่งแวดล้อมที่รวมนักสำรวจอนาคต ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย ชุมชน ภาครัฐ ภาคธุรกิจ มานั่งร่วมกันเพื่อหาคำตอบใหม่ๆ ว่า ประเทศไทยจะก้าวข้ามวิกฤตโลกไปได้อย่างไร
เวทีนี้คือ MFLF Sustainability Forum 2025 จัดโดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ภายใต้แนวคิด “วิกฤตโลก ทางออกไทย” (Global Challenges, Local Solutions at Scale)

โลกไม่รอเรา
ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฯ เปิดภาพกว้างให้ทุกคนเห็นว่า โลกกำลังเดินเร็วและแรงกว่าที่เราคิด ความขัดแย้งทางการเมือง การค้า กฎระเบียบสากลใหม่ๆ และวิกฤตสิ่งแวดล้อมอย่างไฟป่ากว่า 42 ล้านไร่ทั่วโลก ล้วนกระทบเศรษฐกิจฐานรากไทยอย่างหนัก
แม้ป่าไม้ไทยจะยังคงอยู่มากกว่าหลายภูมิภาค แต่หากไม่ลงมือเชิงรุก เราจะ “ปรับตัวไม่ทัน” การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เขาเน้นย้ำว่า “ความร่วมมือทุกภาคส่วน” คือกุญแจหลัก และยกมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เป็นตัวอย่างของการผสานอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างสมดุล

เสียงจากผู้นำ BAU ไม่พอแล้ว
หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและ CEO มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ชี้ให้เห็นว่าการทำงานแบบ Business As Usual (BAU) ไม่เพียงพออีกต่อไป ความยั่งยืนต้องลึกกว่าเดิม ครอบคลุมถึง well-being ของผู้คน ไม่ใช่แค่มิติสิ่งแวดล้อม
เขาย้ำว่า “ป่าชุมชนคือคำตอบที่พิสูจน์แล้ว” โครงการคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชนวันนี้ให้ผลลัพธ์เกินเป้าถึง 4 เท่า เพราะทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน ชุมชนคือผู้เล่นหลักที่สามารถสร้างเศรษฐกิจใหม่จากฐานทรัพยากรธรรมชาติได้
และที่สำคัญ เขาชวนทุกคนคิดว่าเรา “พร้อมหรือยัง” ที่จะลงทุนใน nature credits หรือระบบการเงินใหม่ที่ให้คุณค่ากับธรรมชาติ เพื่อให้เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมเดินไปด้วยกันจริงๆ
การเสวนาแบ่งเป็น 3 ช่วงสำคัญ

ช่วงที่ 1 “วิกฤตโลก ทางออกไทย”
นักคิดจากทั้งBRANDi Institute of Systematic Transformation (BiOST) กสิกรไทย และผู้เชี่ยวชาญ Nature based Solutions (NBS) ของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ร่วมกันฉายภาพใหญ่ของโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน หลายคนยังมองว่าความยั่งยืนกับเศรษฐกิจเป็นคู่ตรงข้าม แต่บทสนทนานี้พิสูจน์ว่า หากเรา “รีบาลานซ์” ระหว่างกำไรและผลกระทบ ความยั่งยืนคือเส้นทางการเติบโตแบบใหม่
หัวใจคือ การลงทุนสีเขียว และ Public Private Partnership (PPP) ที่เปิดพื้นที่ให้ธุรกิจและชุมชนเดินไปด้วยกัน แทนที่จะรอแก้ปัญหา เราต้อง “คิดเชิงป้องกัน” และกระจายอำนาจสู่ชุมชน

ช่วงที่ 2 “กุญแจสู่การอยู่รอดของคนและธรรมชาติ”
บนเวทีนี้ ป่าถูกพูดถึงในฐานะ “ทุนชีวิต” มากกว่าทรัพยากรธรรมดา การบรรลุ Net Zero ของไทยจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีป่าและคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูง
ผู้แทนจาก อบก. การบินไทย UNDP BIOFIN และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ พูดตรงกันว่า การเงินคือสะพานเชื่อมคน คาร์บอน สิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็น blended finance, biodiversity credit หรือ nature credit ทั้งหมดนี้ไม่เพียงช่วยรักษาป่า แต่ยังสร้างรายได้ใหม่ให้ชุมชน ทำให้การลงทุนยั่งยืนไม่ใช่ภาระ แต่คือ “โอกาส”
“ถ้าคนไม่รอด ป่าไม่รอด ธุรกิจก็ไม่รอด” ประโยคที่ทำให้ผู้ฟังหยุดคิดไปชั่วขณะ

ช่วงที่ 3 “เสวนาพิเศษ เสียงจากป่า”
เสียงจริงจากชุมชนแม่โป่งและบ้านปี้ดังขึ้นบนเวที ชาวบ้านเล่าถึงการดูแลป่าด้วยระบบกติกาที่ทุกคนมีส่วนร่วม ตั้งแต่จัดการน้ำ ลดไฟป่า ไปจนถึงต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์จานชามจากใบไม้ น้ำผึ้ง และการท่องเที่ยวชุมชน
สิ่งเหล่านี้ทำให้ป่าไม่ใช่แค่พื้นที่สงวน แต่กลายเป็นแหล่งสร้างชีวิต สร้างกองทุนชุมชน และเป็นห้องเรียนกลางแจ้งให้รุ่นต่อๆ ไป
ด้านภาคธุรกิจอย่าง PwC Thailand มองว่าโครงการนี้ตอบโจทย์ทั้งการลงทุนและเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก จึงเข้ามา
สนับสนุนการตรวจสอบและการเงิน เพื่อทำให้คาร์บอนเครดิตจากชุมชนมีคุณภาพสูงจริง

ทางรอดคือการร่วมทาง
เวที MFLF Sustainability Forum 2025 จบลงด้วยพลังบางอย่างที่ไม่ใช่แค่คำพูด แต่คือความรู้สึกว่าทุกคนที่นี่คือ นักสำรวจเส้นทางใหม่ ให้กับประเทศเพราะการเดินทางสู่ความยั่งยืนไม่ใช่เรื่อง 10–15 ปี แต่คือเรื่องของรุ่นต่อไปที่ยังไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ

บ้านและสวน Explorers Club อยากทิ้งคำถามไว้กับคุณว่า… ถ้าป่าและธรรมชาติคือ “ทุนชีวิต” ของเราแล้ว เราพร้อมหรือยังที่จะคืนทุนก้อนนี้กลับไปสู่โลก ก่อนที่โลกจะทวงคืนจากเราเองในที่สุด
REPORT: ตู่-ไตรรัตน์ ทรงเผ่า
