“สุดท้ายการเดินทางไกล เราอาจมองเห็นหัวใจมากกว่าวิว” คำนี้มันช่างดูโอเวอร์ แต่สำหรับผมมันคือเรื่องจริงที่เจอมากับตัว ด้วยการแบกเป้เดินเท้าพิชิตเส้นทางระยะไกล 110 กิโลเมตร กับเส้นทางที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินป่าที่สวยที่สุดในโลก FJÄLLRÄVEN CLASSIC SWEDEN จาก NIKKALUOKTA ถึง ABISKO เทศกาลแห่งการเดินทาง กับประสบการณ์ที่ลืมไม่ลง
ในช่วงสิงหาคมของทุกปี ที่นี่กำลังเข้าสู่ฤดูร้อน อากาศเริ่มอุ่นขึ้น หิมะละลายกลายเป็นลำธาร ถึงอากาศยังคงแปรปรวน มีฝน ลม และมีความหนาวอยู่บ้าง แต่มันถือได้ว่าคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเส้นทางนี้ มันคือช่วงเวลาที่นักเดินทางจากทุกมุมโลกมารวมตัวกัน เพื่อมาหาประสบการณ์ชีวิตด้วยการแบกเป้ และเดินเท้าในเส้นทางภูเขาโล่งสุดลูกตา สำหรับบางคนเส้นทางนี้มันเหมือนกับการเดินเล่นในสนามหลังบ้าน ในขณะเดียวกันมันคือเส้นทางในฝันของนักเดินทางอีกหลายคน ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตหากมีโอกาสต้องไม่พลาดที่จะมา
ด้วยการสนับสนุนจาก Thailand Outdoor ทำให้พวกเรา Explorers Club ได้มีโอกาสร่วมเดินทางในครั้งนี้ ในฐานะหนึ่งในตัวแทนสื่อของประเทศไทย ร่วมกับเพื่อน ๆ สื่อไทยอีก 4 คน และสื่อต่างชาติของเอเชียอีก 7 ประเทศ รวม ๆ แล้ว 29 ชีวิตโดยประมาณ
ความสนุกของการเดินทางครั้งนี้มันเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อคุณมาถึงสตอกโฮล์ม แล้วคุณต้องต่อรถไฟไปอีกหนึ่งคืนเพื่อไปที่เมือง Kiruna หลังจากลงรถไฟคุณก็ต้องต่อรถบัส แล้วนอนที่โรงแรมอีกหนึ่งคืน พอวันรุ่งขึ้นก็นั่งรถบัสต่อไปที่ Nikkakuokta อีกที เมื่อลงจากรถแล้วนั่นแหละคุณถึงจะเริ่มเดินเท้าเข้าป่า หลังจากนั้นคุณจะหายไปเกือบหนึ่งสัปดาห์ กว่าจะออกมาเจอความศิวิไลซ์อีกครั้ง
รถไฟ
ถ้าคุณมากันเป็นกลุ่มเพื่อนจะสนุกมากกับการใช้ชีวิตเกือบ 20 ชั่วโมงบนรถไฟ เพราะคุณต้องนั่ง และนอนรวมอัดอยู่ในห้องเดียวกันแทบจะตลอดการเดินทาง การออกแบบพื้นที่ใช้สอยบนรถไฟของเขาถือว่าทำได้ดีทีเดียว เตียงพับมันนุ่ม และนอนสบายมาก ผมใช้เวลาเดินไปเดินมาระหว่างตู้นอน กับตู้เสบียงอยู่หลายรอบเพราะมันมีเครื่องดื่ม และอาหารไว้บริการตลอดเวลา คุณสามารถใช้มันเป็นพื้นที่นั่งสนทนากับเพื่อนได้อย่างสบาย ๆ บรรยากาศและผู้คนบนรถไฟค่อนข้างคึกคัก ต่อให้ทุกห้องจะเต็มหมดไม่มีว่าง แต่ห้องอาบน้ำมันมักจะว่างเสมอ ดูจากความแห้งสนิทของพื้นห้องน้ำ และผ้าเช็ดตัวใหม่ที่ยังไม่ได้ใช้เรียงอยู่เกือบเต็มชั้น มันสามารถเดาได้ว่า ผมน่าจะเป็นมนุษย์เพียงไม่กี่คนที่ดันทุรังอาบน้ำบนรถไฟขบวนนี้ ผมสามารถใช้เวลาในห้องน้ำได้ระยะหนึ่งโดยไม่กดดันเพราะไม่มีคนต่อคิวเลย ก็คนไทยนี่เนอะ อากาศจะหนาวแค่ไหนก็ต้องขออาบน้ำไว้ก่อนด้วยความเคยชิน
ระหว่างการใช้ชีวิตบนรถไฟ หากคุณสามารถชาร์จแบตอุปกรณ์อะไรได้ก็ให้จัดการเสียให้เรียบร้อย ปลั๊กไฟของที่นี่ไม่เหมือนบ้านเรา ผมเองไม่พลาดที่จะเตรียมตัวสำหรับเรื่องนี้มาเป็นอย่างดี หัวแปลงเต้าเสียบถูกงัดออกมาใช้งาน ผมจัดการเสียบปลั๊กพ่วง และชาร์จอุปกรณ์สารพัดทิ้งเอาไว้ก่อนนอน
และในเช้าวันใหม่ก็ทำให้ผมพบความจริงข้อหนึ่ง…ต่อให้คุณเตรียมตัวมาอย่างดีแค่ไหนมันจะไร้ค่าทันทีเมื่อหัวแปลงของคุณกระจอก และราคาถูกเกินไป หัวแปลงเต้าเสียบของผมมันหลวมและมันคงหลุดไปในจังหวะที่รถไฟโยกระหว่างผมหลับ ใช่ครับอุปกรณ์ทุกชิ้นของผมไม่ถูกชาร์จเลยสักนิด…เพื่อนร่วมห้องชาวไต้หวันของผมหันมายิ้มให้หนึ่งที พร้อมกับยื่นหัวแปลงวัสดุดูดีมีคุณภาพ ขาเสียบแน่น ๆ ให้ผมยืม แต่ไม่เป็นไรครับผมยังมีโอกาสอีกหนึ่งคืนที่โรงแรม และคราวนี้ผมคงต้องใช้เทปกาวที่เตรียมมาไว้สำหรับซ่อมรองเท้าช่วยซะแล้ว…
ความลิมิเต็ดมันช่างน่ากลัว
เมื่อคุณมาถึง Kiruna ตรงนี้จะเป็นจุดให้คุณลงทะเบียนกันก่อน เขาจะมีแก๊สกระป๋องแบบซาลาเปา และอาหารฟรีซดรายให้คุณลองชิมและเลือกหยิบได้ตามรสชาติที่ชอบ แต่เหมือนกับผู้คนจะให้ความสนใจกับการช้อปปิ้งเสียมากกว่า เพราะตรงนี้มันเหมือนร้านของ Fjallraven ย่อม ๆ ของใช้เสื้อผ้าสารพัดคอลเล็กชั่น ขนมากันเพียบ ขาดเหลืออะไรก็ต้องซื้อหากันตรงนี้บรรยากาศคึกคักเหมือนแจกฟรี เพราะของตรงหน้ามันช่างลิมิเต็ดซะเหลือเกิน
ตรงนี้คุณต้องมีสติอย่างมากเพราะการจับจ่ายใช้สอยง่าย ๆ ด้วยบัตรมันจะทำให้คุณเคลิบเคลิ้มไปกับบรรดาข้าวของเครื่องแคมป์สารพัด เท่าที่ดูด้วยสายตาไม่น่าจะมีใครรอดจากโซนนี้ ผมเห็นเต็มไม้เต็มมือกันทุกคน อะไรก็ตามที่มันมีโลโก้ Classic Fjallraven มันเหมือนจะขายดีทุกอย่าง และแน่นอนว่าคุณจะหาซื้อที่ไหนไม่ได้นอกจากที่นี่ทีเดียว เดินทางมาตั้งค่อนโลกขนาดนี้เราจะพลาดได้ยังไงจริงมั้ย……น่ากลัวจริง ๆ ครับกับคำว่าลิมิเต็ด
เข้าๆ ออกๆ
เนื่องจากเป้สัมภาระมันจะอยู่บนหลังคุณแทบตลอดทั้งวัน หรืออาจจะเรียกได้ว่าช่วงเวลาที่คุณตัวเปล่า ๆ มีน้อยกว่าตอนที่คุณแบกเป้เสียอีก เพราะฉะนั้นการจัดกระเป๋าคือเรื่องสำคัญที่จะทำให้คุณไม่แบกของหนักเกินไป การจัดของคือช่วงเวลาวัดใจ ตอนนี้คุณควรพิจารณาให้ดีว่าสิ่งไหนจำเป็น หรือไม่จำเป็น ฟังดูเหมือนจะง่ายแต่ทำจริง ๆ ยากมาก ข้าวของที่คุณอุตส่าห์หอบมาจะให้ทิ้งไว้ได้ยังไงจริงมั้ย ทุกอย่างมันเหมือนจะจำเป็นทั้งหมด
ผมเองก็เป็นคนที่ประสบกับปัญหานี้ สาระวนเอาของเข้า ๆ ออก ๆ อยู่สามรอบ การเรียงลำดับความสำคัญของของใช้เป็นเรื่องที่ต้องคิดให้ดี สิ่งไหนใช้บ่อย ให้เอาไว้ตรงตำแหน่งที่หยิบง่ายสุด คำถามคือ “แล้วอะไรใช้บ่อยวะ” ที่นี่ฝนตกบ่อยเสื้อกันฝนควรไว้ตรงช่องที่หยิบง่าย ๆ และต้องต้มน้ำทำอาหาร 3 เวลา ควรเอาของจำพวกเตา แก๊ส หม้อ แก้วน้ำ ชามช้อน ไว้ส่วนบนของเป้เพื่อหยิบง่าย เรื่องเรียงลำดับไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมเลย ปัญหาของผมคือของชิ้นไหนควรเอาไปบ้างดี เสื้อผ้าผมเตรียมไปเผื่อเพราะไม่อยากใส่ชุดอมเหงื่อติดกันหลายวัน ชุดใส่นอนก็ควรแยก กางเกงใน ถุงเท้า เอาไปแบบพอดี ๆ เสื้อกัน หนาว ถุงนอน แผ่นรองนอน หมอน มีด และอีกสารพัด สุดท้ายผมค่อนข้างพอใจที่ของทุกอย่างผ่านกระบวนการคิดมาแล้ว ตอนนี้เป้สัมภาระของผมบรรจุของเต็มช่องพอดี……..แต่เดี๋ยวก่อน!!!! ผมยังไม่ได้เอาอาหารเข้าไปนี่หว่า! และการรื้อกระเป๋ารอบที่สี่ก็เกิดขึ้น!!!!
โอกาสสุดท้ายของสายแบก
วันรุ่งขึ้นเรากลับมารวมตัวขึ้นรถบัสกันที่จุดลงทะเบียนอีกครั้ง บรรยากาศตรงนี้เหมือนคุณเห็นสารพัดจอมยุทธที่หอบหิ้วอุปกรณ์หน้าตาแปลก ๆ และยี่ห้อที่คุณไม่เคยเห็นเดินเพ่นพ่านเต็มไปหมด ตรงนี้เป็นโอกาสสุดท้ายที่คุณจะเอาของที่คิดว่าไม่จำเป็นออก แล้วฝากมันไว้ในกระเป๋าเดินทางก่อนที่มันจะถูกส่งไปรอคุณที่ปลายทาง แต่ถ้าหากคุณมั่นใจกับสัมภาระที่จัดไว้แล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล แต่!!!! แน่ใจใช่มั้ยว่าเป้คุณมันไม่หนักเกินไป จริง ๆ แล้วเราไม่ควรแบบสัมภาระเกิน 18 กิโลกรัม กับการเดินเท้าไกลระดับร้อยกิโลอย่างนี้ ยิ่งเบายิ่งดี นั่นไง! ตรงนั้นมีตราชั่ง พวกเราสื่อไทยทั้ง 6 คนหิ้วเป้ไปต่อแถวช่างน้ำหนักพร้อมกันด้วยความมั่นใจว่าของที่หอบไปน้ำหนักคงพอดี ๆ…..
24 กิโลกรัม คือตัวเลขของน้ำหนักเป้ผม มันหนักเกินไปจากที่คิดไว้มาก แต่ไม่ใช่ผมคนเดียวที่มีเลข 2 เป็นเลขตัวนำหน้าของน้ำหนักเป้ พี่ก้อง เต้ และ นิว น้ำหนักเราไม่ต่างกัน ส่วน อร และป๊อป ถือว่ารอดไม่ถึง 20 กิโล พวกเรายังไม่ไปไหนขอแอบดูน้ำหนักของฝรั่งที่ยืนต่อคิวอีกสามสี่คน เพื่อรอดูว่าเป้พวกเรามันคือน้ำหนักมาตราฐานที่ใคร ๆ เขาก็หนักเท่านี้ทั้งนั้น แต่ไม่เลย ไม่มีใครถึง 15 กิโลกรัมสักคน!!! แต่เอาเถอะมาถึงตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วสิ่งที่ทำได้คือเซ็ตอัพเป้ดี ๆ ก็พอช่วยได้ แล้วมันก็ไม่เห็นจะหนักตรงไหน พอไหวน่า…….
กิโลเมตรที่ศูนย์
ในที่สุดก้าวแรกก็เริ่มขึ้น ผมให้เพื่อนถ่ายรูปตัวเองกับซุ้มแดง ๆ เป็นที่ระลึกก่อนเริ่มเดิน ตอนนี้พวกเราพร้อมแล้ว เที่ยงกว่า ๆ ก็เป็นเวลาเริ่มก้าวแรกของพวกเรา เราเดินกันไปสักครู่ก็ตื่นเต้นกับบรรยากาศของป่าที่ต่างจากเมืองไทย แต่ตรงนี้ยังถือว่าเบสิก ทางเป็นป่ามีต้นไม้สูงขนาบข้าง มีทางเดินชัดเจน ข้างทางอุดมไปด้วยมอส และเฟิร์น ความตื่นเต้นแรกจริง ๆ ของพวกเราก็คือผลของบลูเบอร์รี่เล็ก ๆ ริมทางที่เราสามารถเด็ดกินได้เลย รสชาติเปรี้ยวอมหวานของมันทำให้เราสดชื่นขึ้น มันอร่อยมาก บางคนเด็ดแล้วเก็บใส่ถุงเอาไว้กินเล่นระหว่างทาง ส่วนผมเด็ดกินตามทางเอาเป็นระยะ ๆ
เราเดินกันมาสักพักใหญ่ก็เจอจุดพักแรกเป็นท่าเรือ มีทะเลสาบใหญ่ ๆ เป็นวิวหลัก ความเด็ดของจุดพักนี้ที่นักท่องเที่ยวแทบทุกคนต้องไม่พลาดก็คือ ‘แฮมเบอร์เกอร์กวางเรนเดียร์’ แน่นอนผมก็คือหนึ่งในคนที่ต้องลอง บอกตามตรงว่าผมกินไปก็ไม่รู้อยู่ดีว่ามันแตกต่างจากเนื้อปกติอย่างไร ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าที่มันอร่อยเพราะอร่อยจริง ๆ หรืออร่อยเพราะมันชิ้นละ 500 บาทไทย ตรงนี้มีน้ำอัดลม กาแฟ ไปจนถึงเบียร์ที่คุณจะสามารซื้อได้ เหมือนเป็นแหล่งศิวิไลซ์ที่เราสามารถตุนเสบียงได้นิดหน่อย แต่ตอนนี้เป้ผมแน่นเต็มที่แล้ว ผมไม่ต้องการอะไรเพิ่มให้มันหนักไปกว่านี้อีก
ตอนนี้เราทุกคนยังสบายดีไม่มีใครเหนื่อย เราอยู่ที่นี่ประมาณหนึ่งชั่วโมงแล้วค่อยเดินทางต่อ วิวเริ่มเปลี่ยนจากป่ารก เป็นวิวโล่งมองเห็นภูเขามากขึ้น วันนี้เราพักกันที่เวลาประมาณหกโมงเย็น เราเดินไปแค่ประมาณ 10 กิโลเมตร จากระยะทางที่เราควรเดินจริง ๆ คือ 18 กิโลเมตร แต่เราชิงพักก่อนเพราะวันนี้เราออกตัวช้า ถ้าเดินถึงระยะทางที่กำหนดอาจจะดึกเกินไป นั่นแปลว่าพรุ่งนี้เราต้องเดินเพิ่มจากแผนเดิมไปอีก 8 กิโล!! เอาน่าสบาย ๆ
เราพักแคมป์กันบนเนินป่าริมทาง ตรงนี้มีบึงให้อาบน้ำได้ พวกเราหนุ่มไทยสี่คน ผม เต้ พี่ก้อง และนิว ตกลงปลงใจจูงมือกันไปขอลองอาบน้ำเย็น ๆ แน่นอนครับมันเย็นจัดแบบที่สามารถรักษาร่างคุณไม่ให้เน่าได้เลย ทันทีที่สัมผัสผมรู้สึกได้เลยว่ากล้ามเนื้อแข็งเกร็ง ผมกลั้นใจจุ่มตัวไปมิดหัวแล้วขึ้นทันที ไม่ไหวครับ โคตรเย็น พวกเรากินอาหารฟรีซดรายที่เลือกหยิบมาเป็นมื้อแรกตรงนี้ ผมเลือกกระหรี่ไก่มาเยอะสุดเพราะค่อนข้างถูกปาก รสชาติของมันก็ไม่ได้แย่อย่างที่เขาว่ากันนี่หว่า ผมซัดจนหมดแล้วก็นำซองมันมาล้างน้ำสักหน่อยไม่อยากให้มันเหม็น เพราะขยะทุกชิ้นต้องเก็บเอาไว้จนถึงปลายทางแล้วค่อยทิ้ง
คืนนี้อากาศค่อนข้างหนาว แต่ของที่เราเตรียมมาเอาอยู่ พื้นตรงที่เรานอนนี้มันคือมอส และเฟิร์น ข้อดีของมันคือนุ่ม และไม่เปรอะดินเลย หลังจากเข้าเต็นท์เสียงของทุกคนก็เริ่มเงียบ บรรยากาศตอนสามทุ่มที่ยังสว่างอยู่เหมือนห้าโมงเย็นบ้านเราทำผมหลับไม่ลง กว่าพระอาทิตย์จะตกก็ปาเข้าไปสี่ทุ่ม หลังจากนั้นฟ้าถึงจะมืดสลัว เวลานี้แหละผมถึงจะเริ่มง่วงนอน
วันที่สองเองโหดแล้วเหรอ
เช้านี้เราเริ่มต้นกันที่อาหารฟรีซดรายเหมือนเดิม แต่เพิ่มเติมด้วยกาแฟนิดหน่อย หลังจากนั้นเราก็เก็บข้าวเก็บของเตรียมอออกเดินทางกันที่แปดโมงตรง วันนี้เราค่อย ๆ เดินขึ้นเขาทางจะชันขึ้นเล็กน้อยบรรยากาศสองข้างทางจากป่าที่มีต้นไม้สูง ค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นที่โล่งมากขึ้น ข้อดีอีกอย่างที่ผมชอบก็คืออย่างน้อยเราก็ไม่ต้องแบกน้ำดื่มให้มันหนักเข้าไปอีก เราสามารถเติมน้ำได้ตามทางแบบสะดวกสบาย ลำธารเล็ก ๆ มีอยู่ตลอดเส้นทางบางคนก็ใช้เครื่องกรองน้ำ ซึ่งผมก็ติดตัวมาด้วย แต่ดูเหมือนว่ามันดันอยู่ในส่วนที่ลึกเกินไปจนหยิบยากมาก ผมเลยตัดสินใจกินมันโดยไม่กรอง เท่าที่ลองดูน้ำจากลำธารดื่มได้เลย น้ำค่อนข้างใสถึงใสมาก ไร้ตะกอน และกลิ่น รสจืดสนิทและเย็นสดชื่นมาก ๆ
ตอนนี้ผมยังคงเด็ดผลบลูเบอร์รี่กินอยู่เป็นระยะ และเริ่มรู้สึกได้แล้วว่าน้ำหนัก 24 กิโลกรัมที่หลังมันเริ่มเปลี่ยนสถานะจากเป้สัมภาระกลายเป็นเจ้ากรรมนายเวรแล้ว มันเริ่มหนักขึ้น และหนักขึ้นเรื่อย ๆ ตามความอ่อนล้าของร่างกาย และตอนนี้เท้าผมเริ่มขยายตัวแน่นเต็มรองเท้าแล้ว อากาศมีความเอาแน่เอานอนไม่ได้ เดี๋ยวแดด เดี๋ยวฝน ลมแรง พอหยุดเดินก็หนาว ผมก้มมองนาฬิกา “ไอ้บ้าเอ้ย!! นี่มันเพิ่ง 11 โมงเองเหรอวะ” ตอนนี้ผมหิวแล้วและเราจะพักกันตอนเที่ยง ขนมและ ของกินเล่นอื่น ๆ อย่างสแน็คบาร์ หรือพาวเวอร์เจล ผมไม่ได้เอามาสักอย่าง ตอนเดินป่าไทยพกแต่กล้วยตากซึ่งผมชะล่าใจ และประมาทกับเส้นทางนี้เกินไป ตอนนี้ผมคิดผิดเสียแล้วที่ไม่เอาขนมติดตัวมาเลย สิ่งที่จะทำให้ผมประทังชีวิตได้ตอนนี้คือผลบลูเบอร์รี่ข้างทางนี่แหละ
ในที่สุดเราก็ถึงจุดพักกันประมาณบ่ายโมง ช่วงเช้าที่ผ่านมายอมรับว่าความหิวมันทำผมหมดแรงไปเยอะมาก ผมตัดสินใจเลือกกินขนมปังกับครีมชีสเบค่อนเป็นอาหารกลางวันอย่างเร็ว ๆ ง่าย ๆ เพราะต้องการใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอนพักมากกว่า
ผมถอดรองเท้าแล้วหาทำเลเหมาะ ๆ นอนพักเหยียดขาเพื่อเอาแรงไว้เดินต่อ ช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาที่ดีมาก การปลดเป้สัมภาระและถอดรองเท้าคือสิ่งดีงาม ยังไม่ทันหายเหนื่อยก็ต้องแบกเป้อีกแล้ว เอาวะ! ลุยต่อ นี่ก็ครึ่งวันแล้วน่าจะครึ่งทาง……ไม่เลย มันยังไม่ถึงครึ่งทางวันนี้เราต้องเดินทั้งหมด 26 กิโลเพราะต้องเพิ่มจากระยะทางของเมื่อวานด้วย
ตอนนี้วิวข้างทางเป็นวิวภูเขาโล่ง ๆ โดยสมบูรณ์แบบแล้ว ไม่มีต้นไม้ใหญ่แม้แต่ต้นเดียว เส้นขอบฟ้าของที่นี่มันไม่ได้ตรงเรียบ มันเป็นเส้นหยัก ๆ จากวิวภูเขาสุดสายตา ทิวเขา ทุ่งหญ้า และลำธารมันทำให้ผมนึกถึงหนังฝรั่งผจญภัยสักเรื่อง ทางเดินเป็นหินก้อนเล็กใหญ่ต้องใช้ความระวังเป็นพิเศษ “ในการเดินทางไกลถ้าหากเท้าและหลังคุณเจ็บขึ้นมา ต่อจากนี้การเดินทางของคุณจากหนังพจญภัยจะกลายเป็นหนังชีวิตทันที” ทุกย่างก้าวต้องระวังเพราะทางมันไม่เรียบอีกต่อไปแล้ว
ความสวยของทิวทัศน์ มันพอที่จะเยียวยาให้ผมหายเหนื่อยได้บ้าง ตอนนี้เหมือนไม่ใช่ผมคนเดียวที่หมดแรง ดูจากสีหน้าและอาการ ผสมเสียงอุทานภาษาไทยจากเพื่อนร่วมทริปมันบอกได้ว่า ตายยกแก๊งค์แน่นอนวันนี้ แรงพวกเราค่อย ๆ หมด ความรู้สึกของผมตอนนี้ไม่ต่างจากกล้องแบตอ่อน ที่เราพยายามกดเปิด แล้วมันติดครู่หนึ่งแล้วดับไป ดันทุรัง และทุลักทุเลน่าจะเป็นคำที่เหมาะสุดสำหรับวันนี้
เราเดินกันมาถึงสองทุ่มกว่า ๆ ในที่สุดเราก็ถึงจุดพักจนได้ ตรงนี้ลมแรงและหนาว ทุกอย่างสำหรับผมตอนนี้เหมือนภาพสโลวโมชั่น ผมทำทุกอย่างช้าไปหมด เรี่ยวแรงไม่มีเหลือ ผมใช้เวลากางเต็นท์อยู่พักใหญ่ ทันทีที่กางเต็นท์เสร็จผมกระโจนตัวใส่แล้วรูดซิปปิด ไม่ขอมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตใด ๆ ทั้งสิ้น ถอดรองเท้า เช็ดตัว เปลี่ยนชุดนอน แล้วดำรงชีพด้วยขนมปังหนึ่งแผ่นที่บีบครีมชีสเบค่อนใส่ ผมกินไปได้ครึ่งแผ่นมันก็รู้สึกได้ว่าเหมือนจะย้อนออกมา ผมเหนื่อยเกินไปจนกินอะไรไม่ลงแล้ว เลยตัดสินใจหยุดกิน แล้วเอาที่เหลือใส่ถุงขยะ สิ่งที่ดีที่สุดตอนนี้มันคือการนอน แสงสว่างที่แยงตาเวลาสามทุ่มทำอะไรผมไม่ได้แล้วตอนนี้ ผมหลับสนิทเหมือนตาย…..
ปรับตัว
หลังจากที่เราผ่านพ้นวันที่สองมาได้ร่างกายก็เหมือนเริ่มจะปรับตัว ตอนนี้ผมมีความสุขกับระหว่างทางอย่างเต็มที่ ความดีงามของเส้นทางนี้คือคุณสามารถหยุดพักปักเต็นท์ตรงไหนก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ทำเลที่เหมาะก็คือใกล้ลำธาร ผมเห็นคนจูงหมามาเดินอยู่หลายคน ตอนนี้เราเริ่มเจอคนรู้จัก และเพื่อน ๆ คนไทยที่ร่วมทริปพักกันอยู่ริมทางบ้างแล้ว การทักทายมีกันอยู่ตลอดเวลา วิวสวยเป็นเรื่องธรรมดา จนผมไม่รู้ว่าจะถ่ายมันมุมไหนดี แต่สิ่งที่ผมเริ่มรู้แล้วว่ามันจำเป็นจริง ๆ ก็คืออาหารไทย ๆ อย่างเช่นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำพริกรสชาติต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งแยมสตรอเบอร์รี่หวาน ๆ ควรมีติดไว้ทุกทริปของการเดินเท้า
ตอนนี้อาหารฟรีซดรายสำหรับผม มันไม่อร่อยอีกต่อไปแล้ว ต่อให้เป็นรสชาติที่คิดว่าถูกปากที่สุดก็เถอะ ผมกินมามาหลายมื้อแล้วผมต้องอาศัยน้ำพริกจากป๊อป โรยใส่เพื่อตัดความเลี่ยนออกไป และผมค้นพบแล้วว่า ‘มิโสะซุป’ แบบสำเร็จรูปควรติดเอาไว้ มันเยียวยาผมได้ดีทีเดียว โชคดีที่เต้พกติดเอาไว้ผมเลยขอแบ่งมาบ้าง
คิดจะขี้ต้องมีเทคนิค
ตอนที่คุณลงทะเบียนก่อนเดินเขาจะให้คุณหยิบกระดาษทิชชู่ และถุงดำเล็ก ๆ เพื่อใส่กระดาษชำระตามจำนวนที่คุณต้องการ ให้คุณหยิบไปเลยเพราะมันจำเป็นมาก ผมเอากระดาษติดมาสองม้วนกับถุงดำอีกสิบถุง แล้วเขาก็มีถุงขยะใบใหญ่ให้คุณใส่ถุงดำนั้นรวมมันไว้อีกที ไม่ต้องกลัวเรื่องกลิ่นและความเลอะเทอะครับ ถุงกันน้ำมีหูรูดและค่อนข้างแข็งแรงทีเดียวที่สำคัญมียี่ห้อ Fjallraven เท่ ๆ แปะไว้ด้วย สำหรับการขับถ่ายของที่นี่ มีกฎเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราต้องรับทราบและควรทำตามอย่างเคร่งครัด อย่างแรกไม่ว่าคุณจะถ่ายหนัก หรือเบาควรเดินไปให้ห่างทางเดินหลัก และไม่ควรขับถ่ายลงในน้ำ หรือใกล้บริเวณแหล่งน้ำเด็ดขาดอันนี้เขาซีเรียสมาก ๆ เพราะมันสามารถเกิดโรคติดต่อได้เลย ไม่ควรทำที่สุด อย่างที่สองก็คือเป็นไปได้คุณควรที่จะเก็บกระดาษชำระกลับมาด้วย หรือถ้าไม่ได้จริง ๆ ก็ให้ขุดหลุมฝังกลบหรือยกหินมาทับให้เรียบร้อย และไม่ควรใช้กระดาษเปียกเด็ดขาดเพราะมันไม่ย่อยสลาย
ในที่สุดหลังจากเอาอาหารเข้าไปหลายวัน มันก็ถึงเวลาเอาออกบ้างแล้ว จริง ๆ ผมอยากบอกเรื่องนี้ในเชิงแนะนำ แต่ถ้าเกิดมันทำให้คุณจินตนาการภาพตามก็ต้องขอโทษด้วย (ฮ่า ๆ ) ผมตัดสินใจถ่ายท้องครั้งแรกที่จุดเช็คพอยท์เนื่องจากพวกเราพักกันตรงนั้นนานเป็นพิเศษ และมันมีห้องน้ำไว้อำนวยความสะดวก ไม่จำเป็นต้องเดินไปไกลหาที่ลับตาเช่นหลังพุ่มไม้หรือหิน และที่สำคัญคุณไม่ต้องเสียเวลาขุดหลุม หรือเก็บกระดาษชำระกลับเอง แต่!!!!!……มันต้องแลกมากับความใจกล้าของคุณ ให้คุณจินตนาการถึงเต็นท์ทรงสูงขนาดพอดีตัวใช้ซิปรูดปิดเปิดเป็นประตู ผ้าของมันไม่หนามาก ถ้าข้าไปข้างในจะมองเห็นข้างนอกชัดมากจนคุณเสียความมั่นใจ และไม่แน่ใจว่าคนข้างนอกจะเห็นคุณมั้ย แต่เอาเถอะช่วงเวลานั้นคุณไม่สนหรอกเรื่องแค่นี้ เรื่องที่คุณต้องสนก็คือคุณกล้าพอรึเปล่ากับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
เพราะตรงโถนั่งด้านหน้าถึงหน้าตามันจะคล้ายโถนั่งตามบ้านเราก็ตาม แต่มันทำด้วยพลาสติกเบา ๆ ง่อกแง่กเวลานั่ง คุณต้องรักษาสมดุล อย่าให้มันคว่ำเชียวนะ และในโถนั้นมันไม่ใช่บ่อแต่มันคือถุงดำที่มันจะตื้นขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากถูกใช้งาน ถ้าคุณได้ใช้เป็นคนแรกแปลว่าคุณเป็นคนโชคดีมาก ๆ แต่ช่วงเวลาที่ผมใช้มันคือช่วงไพร์มไทม์ แน่นอนว่าผมไม่ใช่คนแรก ผมขอใช้คำว่า “นานาชาติ” กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า และตอนนี้มันค่อนข้างตื้นแล้วด้วยสิ ผมใช้กระดาษปิดให้มิดแล้วใช้สเปรย์แอลกอฮอล์กระหน่ำฉีดเข้าไป ผมทำใจอยู่สักครู่ แต่เอาเถอะเดี๋ยวช่วงเวลานั้นมันก็ผ่านไป
แต่เรื่องทั้งหมดมันไม่จบแค่นั้น ผมมองผ่านผ้าบาง ๆ ออกไปก็พบกับสาวสวยชาวเกาหลีเพื่อนสื่อที่ร่วมทริป มาต่อแถวตรงห้องผมพอดี ยอมรับว่าวินาทีนั้นค่อนข้างกดดัน ผมไม่มีทางยอมให้คนไทยเสียชื่อแน่นอน ผมควรสร้างความประทับใจแก่เพื่อนร่วมทริปนักเดินทางอย่างเธอ หลังจากเสร็จธุระผมใช้กระดาษปิดทุกอย่างมิดชิด และกระหน่ำด้วยการฉีดสเปรย์แอลกอฮอล์หอม ๆ อีกครั้ง แต่ทุกอย่างที่ทำเหมือนไม่น่าจะเพียงพอ……….ใช่ครับมันตื้นขึ้นกว่าเดิม และผมขอไม่อธิบายนะครับว่าทำยังไงกับการที่ทำให้มันยุบตัวลงไป วินาทีนั้นมันทำให้ผมรู้เลยว่านี่แหละครับเรามันคือสุภาพบุรุษตัวจริง!!
หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไป ผมก็ไม่เคยใช้บริการห้องน้ำที่จุดเช็คพอยท์อีกเลย ผมตัดสินใจเดินไปไกล ๆ ให้ลับหูลับตาหาทำเลสวย ๆ หลังก้อนหินใหญ่ ๆ สักก้อนดีกว่า แต่จะแนะนำว่าหินก้อนแรกที่คุณเห็นว่าดีอาจไม่ใช่ทำเลทองมันอาจถูกใช้บริการไปบ้างแล้ว ให้คุณกลั้นใจหาทำเลที่สอง หรือสามจะดีที่สุด อ้อ!! แล้วก็ระวังโดรนนะครับยิ่งวิวสวยโดรนนี่บินกันพรึ่บพรั่บ บางทีช่วงเวลาแห่งความสุขของผมอาจจะไปอยู่ในคลิป VDO ของใครสักคนไปแล้วก็ได้
เรื่องคนอื่น
ยิ่งใกล้จุดหมายปลายทางเราเริ่มเจอคนรู้จัก และมีเวลาทักทายพูดคุยระหว่างพักกันมากขึ้น ทำให้ผมได้ฟังเรื่องราวมากมาย คนรู้จักผมบางคนอยากเดินทางมาเจอฝนเพราะเกลียดฤดูฝน และอยากรู้ว่าเราจะรู้สึกชอบมันขึ้นมาได้บ้างหรือไม่ ถ้าต้องเจอมันบ่อย ๆ และมันคือเรื่องปกติของที่นี่ คุณต้องเจอฝนแบบเลี่ยงไม่ได้ไม่มีที่หลบ แต่ข้อดีของมันก็คือถ้าคุณชอบสายรุ้งคุณสามารถเห็นมันเป็นเส้นโค้งยาวใหญ่ได้ถึงสี่ห้าครั้งต่อวันเลยทีเดียว เมื่อถึงปลายทางเราเจอกันผมก็ถามว่า เป็นไงชอบฝนมันขึ้นมาบ้างมั้ย คำตอบคือ เกลียดมันเท่าเดิมแต่เริ่มยอมรับและอยู่กับมันได้ ซึ่งผมรู้สึกยินดีที่ได้ยินคำตอบนี้ทุกอย่างมันมาจากใจล้วน ๆ เลยครับ
บางคนเดินไปสองวันแล้วเริ่มเหนื่อย ผสมกับระยะทางยังอีกไกล เลยเปลี่ยนใจหันหลังเดินกลับ แต่ก็ได้เพื่อนร่วมทางให้กำลังใจกันจนดั้นด้นเดินไปถึงครึ่งทาง พอมาถึงตรงนี้เดินกลับก็สามวัน เดินไปถึงจุดหมายก็สามวัน เป็นคุณจะเลือกไปต่อหรือพอแค่นี้ แน่นอนว่าพวกเขาเลือกไปต่อ มันทำให้ผมรู้ว่ากำลังใจมันคือเรื่องสำคัญ เราทุกคนสามารถเป็นผู้ให้ได้โดยไม่ต้องเสียอะไรสักอย่าง และบางทีเราอาจต้องการแต่เราไม่รู้ตัว มนุษย์เลยต้องมีเพื่อนไงครับ
ผมได้เจอพี่ผู้ชายท่านหนึ่ง ที่พาครอบครัวมาเดินเส้นทางนี้ แต่น่าเสียดายที่ภรรยาของเขาต้องนั่งเฮลิคอปเตอร์กลับไปก่อน เนื่องจากอาการบาดเจ็บ โดยก่อนไปภรรยาเขาได้บอกลูก ๆ ว่ามาแล้วต้องไปให้ถึง ไม่ต้องห่วงแม่ และฝากดูแลพ่อด้วย ผมเจอครอบครัวนี้ในวันที่สอง และเห็นระหว่างทางเป็นระยะ เด็กชายสองคนทำหน้าที่ดูแลน้องสาวคนเล็กด้วยการช่วยสะพายเป้แทนน้อง ส่วนคนโตจะเดินย้อนกลับมาดูพ่อตลอดเวลา ผมเจอคุณพ่อนั่งพักเหนื่อยอยู่ริมทางในวันที่ห้า ตอนนี้ผมเองก็เดินรั้งท้ายสุดของขบวนเหมือนกันจากอากการเท้าที่เจ็บเพราะเริ่มมีแผลพอง เลยได้หยุดพักคุยกันครู่หนึ่ง จึงได้รู้ว่าคุณพี่ผู้ชายทานอาหารพรีชดรายไม่ได้ จะมีอาการแพ้ และอาหารสำหรับการเดินทางในเส้นทางนี้จะถูกติดตัวมาสำหรับของใครของมันเท่านั้น เพื่อไม่ให้สัมภาระหนักเกินไปเลยต้องอาศัยอาหารของลูก ๆ คนละคำสองคำประทังไปทุกมื้อ การได้กินอาหารน้อยเกินไปก็เลยทำให้อ่อนเพลียกว่าปกติ
ตอนนี้ผมเหลือคุกกี้ที่ได้จากร้านริมทางอยู่สี่ชิ้น ผมตัดสินใจแบ่งกันกับพี่เขาคนละครึ่ง และมีโจ๊กจากเต้ที่แบ่งให้อีกสองซอง น่าจะเพียงพอสำหรับระยะทางที่เหลือ เราเดินไปพร้อมกันอย่างช้า ๆ ไม่เร่งรีบพูดคุยกันจนลืมเหนื่อย สุดท้ายเราก็แยกย้ายกันก่อนถึงจุดพัก มันทำให้ผมคิดได้ทันทีว่าสิ่งที่เราควรพกติดตัวไปด้วยนอกจากอาหาร สัมภาระแล้ว มันคือน้ำใจครับ มันไร้น้ำหนัก พกง่าย ใช้ง่าย และถึงมันไม่อิ่มท้องแต่ก็อิ่มเอม สุดท้ายผมได้ข่าวว่าภรรยาแกกัดฟันเดินย้อนกลับมาจากปลายทาง 15 กิโล มาถึงจุดพักสุดรองท้ายที่ Kieron ด้วยความเป็นห่วงสามีและลูก ๆ และทันทีที่เขาเจอกัน เขาโผเข้ากอดกันอย่างอบอุ่น มันทำให้ผมนึกถึงซีนในหนังโรแมนติกยังไงก็ไม่รู้ โคตรดี
คืนสุดท้าย
Kieron คือจุดเช็คพอยท์รองสุดท้ายเราจะได้เจอคนรู้จัก และเพื่อน ๆ พร้อมหน้าพร้อมตากันตรงนี้ จุดนี้เหมือนเป็นสวรรค์ของนักเดินทาง แพนเค้กร้อน ๆ ใส่แยมบลูเบอร์รี่แล้วโปะด้วยวิปครีมฟู ๆ อีกทีมีไว้บริการให้กับนักเดินทางทุกคน มันเป็นอะไรที่สุดพิเศษมันคือแพนเค้กที่อร่อยที่สุดในโลก แน่นอนผมเลือกมันเป็นมื้อเย็นแทนอาหารพรีซดราย พร้อมกับกดกาแฟร้อนรสชาติดีมาเต็มแก้ว ผมดีใจมากที่ในพรุ่งนี้เช้าผมจะกินกระหรี่ไก่พรีซดรายเป็นครั้งสุดท้าย วันนี้เราเดินไม่ไกลเลยได้เข้านอนไวหน่อย มาถึงตอนนี้หัวใจมันพองโตเพราะเหลืออีก 15 กิโลเมตร เราจะถึงเส้นชัย ตรงนั้นมีอาหารทำสด กาแฟ เบียร์ การอาบน้ำ ห้องน้ำที่ไม่ต้องขุด และจะไม่มีการแบกเป้อีกต่อไปแล้ว นี่ขนาดยังไม่ถึงปลายทางทำไมผมดูมีความสุขได้ขนาดนี้ ความสำเร็จที่ปลายทางนี่มันหอมหวานจริง ๆ ครับ
เกมส์โอเวอร์
นี่คือวันสุดท้ายของการเดินทาง กับระยะทาง 15 กิโลเมตรสุดท้ายที่เดินโคตรง่าย และเป็นเส้นทางลงเขาอย่างเดียว แต่ชีวิตมักมีอุปสรรคเสมอ เท้าผมสะบักสะบอมมาหลายวันแล้วยิ่งเมื่อวานมันแผลงฤทธิ์ที่สุด ใต้เท้าซ้ายผมมันพองเป็นลูกโป่ง เพราะถุงเท้าเปียกชื้นจากเหงื่อสะสมทำให้เท้าเปื่อยและถูกเสียดสี และข้อเท้าด้านขาวที่เดินตกหิน ตกกระดานแบบรัว ๆ จนในที่สุดในห้ากิโลเมตรสุดท้าย………ผมก็พ่ายแพ้
ผมเดินรั้งท้ายด้วยอาการขากะเผลกทั้งสองข้างแต่ยังเดินไหวอยู่เพียงแต่ต้องช้า ๆ ไม่รีบ ทันทีที่พักผมทิ้งเป้ และถอดรองเท้าก็พบว่า มันพองจนหนังเปิดไปแล้ว ส่วนอีกข้างก็ตึงสุด ๆ ในที่สุดการปฐมพยาบาลก็เกิดขึ้น เท้าทั้งสองข้างถูกพัน และเหมือนว่าฝรั่งจะให้ทุกคนช่วยแบกสัมภาระผม เฮ้ย!!! อะไรวะ ได้ไงผมแบกมาตั้งร้อยกว่าโลแล้ว อีกนิดเดียวเอง ผมเดินได้เชื่อสิ!!
แต่ในที่สุดเพื่อนสื่อต่างชาติทุกคน ก็มาช่วยผมขนของไปจนหมด และเพื่อนไต้หวันก็เอาเป้ผมมัดรวมกับเป้ตัวเองแล้วเดินแบกไปให้ แล้วเขาแอบกระซิบบอกผมว่า เขาเข้าใจว่าผมต้องการแบกเป้เข้าเส้นชัยด้วยตัวเอง เขาจะคืนเป้ให้ผมตอนใกล้ ๆ ถึงเส้นชัย ในที่สุดผมก็เหลือเพียงตัวเปล่ากับไม้เท้าอีกสองอัน กลายเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ไม่ต้องแบกเป้ซะแบบนั้น
ร้อยกิโลไม่สำคัญเท่ากอดคอ
นี่ผมเดินมาไกลตั้งร้อยกิโล แต่มาพลาดตอนเกือบถึงปลายทางซะได้ มันช่างโคตรลูเซอร์ แต่ลึก ๆ แล้วสำหรับผมมันตลกดี ไม่มีอะไรแน่นอนจริง ๆ อย่างน้อยก็ถึงปลางทางล่ะวะ เราพักกันที่สองกิโลเมตรสุดท้าย เพื่อนไต้หวันที่แบกเป้ให้ก็เดินมาหาผมแล้วนัดแนะกับผมเรื่องคืนเป้ให้ผมเพื่อจะได้มีภาพเท่ ๆ ครั้งหนึ่งในชีวิตกับเส้นทางนี้
ผมบอกเขาว่าไม่ต้องคืนเป้ให้ผม ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าการแบกเป้เข้าเส้นชัยมันไม่ใช่สาระสำคัญเลย แต่การเดินไปพร้อมกับเพื่อนที่มีน้ำใจต่อผมมันสำคัญกว่านั้นมาก เราเดินกอดคอเข้าเส้นชัยไปพร้อมกันนี่แหละสำคัญที่สุด! และเมื่อถึงปลายทางหัวใจผมมันพองโตอย่างบอกไม่ถูก เราเดินเข้าไปพร้อมกันจริง ๆ ผมได้ยินเสียงปรบมือ และเห็นรอยยิ้มจากเพื่อนทุกคนบรรยากาศตรงนั้นมันทำผมลืมไม่ลง
ในที่สุดการเดินทางไกลครั้งนี้สิ่งที่ผมได้มันไม่ใช่แค่การได้มองวิวสวย ๆ แต่มันคือการได้อยู่กับตัวเองอย่างเต็มที่ ได้พิจารณาใจจิตของตัวเอง ได้พบเห็นเรื่องราวจากคนรอบข้าง และพบแล้วว่าการมีน้ำใจคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในโลกนี้ มันเยียวยาได้ทุกอย่าง และมันมีต้นทุนเป็นเพียงแค่หัวใจของเราเอง เราสามารถให้มันได้แบบไม่อั้น และควรรับจากคนอื่นไว้บ้าง มนุษย์ควรมีเพื่อน และมิตรภาพมันไม่จำกัดเพศ อายุ ภาษา และสัญชาติ “สุดท้ายการเดินทางไกลมันอาจทำให้เราเห็นหัวใจมากกว่าวิว……..”
ขอขอบคุณจากหัวใจ
การสนับสนุนทุกสิ่งอย่างตลอดการเดินทาง เสื้อผ้าคุณภาพดีของ Fjallraven จาก Thailand Outdoor, เครื่องนอนคุณภาพดี และของใช้เบา ๆ ของ Sea to Summit จาก R.O.X. Thailand, กล้องถ่ายภาพเบา ๆ คุณภาพดีจาก Canon ประเทศไทย ไกด์นำทางชาวสวีเดนทุกคน เพื่อนสื่อต่างชาติทุกท่าน และมิตรภาพจาก พี่ก้อง, นิว, ป๊อป และอร เพื่อนสื่อไทยทุกคน
แนะนำ ถ้าคุณอยากออกไปลองหาประสบการณ์ชีวิตบนเส้นทางนี้ให้ติดตามรายละเอียดและข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : ThailandOutdoor Shop ได้เลยครับ
EXPLORERS: เต้, บาส, ก้อง, นิว, ป๊อป, อร
AUTHOR: บาส-บดินทร์ บำบัดนรภัย
PHOTOGRAPHERS: เต้-ดำรง ลี้ไวโรจน์, บาส-บดินทร์ บำบัดนรภัย
GRAPHIC DESIGNER: ตั้ม-ธีรภัทร์ อินทจักร