Type and press Enter.

BLUE CASTAWAY หนีร้อนไปนอนติดเกาะสวรรค์ แบบ LOW CARBON

รู้สึกตัวว่าเป็นลูกรักพระอาทิตย์ก็เมื่อเห็นฟ้าใสแดดสวยในหน้ามรสุมที่คลื่นลมแรง พวกเรานั่งเรือออกจากท่าเรือแหลมศอกมุ่งหน้าไป เกาะกูด เกาะสวรรค์แห่งภาคตะวันออกที่โอบล้อมไปด้วยทะเลอ่าวไทยและหาดทรายสวยงาม มีป่าฝนเขตร้อนที่ยังคงความเขียวชอุ่มของต้นไม้สูงใหญ่ แม้เกาะกูดจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม แต่คนเกาะกูดก็สามารถรักษาสมดุลการใช้ประโยชน์และการรักษาธรรมชาติไว้ได้อย่างดี วิถีแบบโลว์คาร์บอนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตพวกเขาโดยสมบูรณ์

นั่งเรือจากแหลมไปเกาะกูดใช้เวลาราว 1 ชั่วโมงเท่านั้น

หลังจากเข้าพักเก็บของที่รีสอร์ทเล็ก ๆ ใจกลางป่า พวกเรามุ่งหน้าไปที่ ‘วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวชุมชนบ้านอ่าวสลัด’ หมู่บ้านชาวประมงที่มีตำนานเล่าขานว่าเวิ้งอ่าวแห่งนี้ในอดีตเคยเป็นพื้นที่ซ่องสุมของเหล่าโจรสลัด จนกระทั่งถูกทางการปราบปรามในที่สุด จึงได้มีพื้นที่ให้ชาวบ้านมาตั้งถิ่นฐาน เปลี่ยนอ่าวโจรสลัดเป็นหมู่บ้านประมง ชื่อเรียกก็ถูกลดทอนลงเป็นอ่าวสลัดจนถึงทุกวันนี้

เลือกพักที่รีสอร์ทเล็ก ๆ ใกล้ลำธารกลางแมกไม้ค่ำคืนหากฟ้าใสจะได้ออกมาดูดาวกัน

นอกจากการทำประมงที่ถือเป็นอาชีพหลักของคนบ้านอ่าวสลัดแล้ว ยังมีการต่อยอดวิถีประมงสู่การท่องเที่ยว ปรับเปลี่ยนเรือหาปลามาเปิดให้นักท่องเที่ยวลองมาสัมผัสประสบการณ์แบบคนเรือเกาะกูดในหนึ่งวัน 

ขยะก็ลอยมาตามปกติ แต่ทางชุมชนช่วยกันเก็บอยู่ตลอด จึงไม่ค่อยเห็นขยะในทะเล

นอกจากทำเรือประมงท่องเที่ยว คนในชุมชนยังทำธนาคารปูม้าเพื่อช่วยในการพัฒนาการฟักไข่ของปูเร็วขึ้น และช่วยให้อัตราการรอดของลูกปูเพิ่มขึ้น ให้คนสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างสมดุล เรามาเรียนรู้สังเกตไข่ปูในระยะต่าง ๆ ก่อนจะปล่อยแม่ปูลงสู่ทะเล ปล่อยปูที่นำมาอนุบาลช่วงมีไข่จะทำให้มีอัตรารอดมีมากถึง 30 – 80 % ขึ้นอยู่กับระยะเวลาเติบโตของไข่ มองดูแม่ปูว่ายน้ำไปไกลแล้ว ก็ถึงเวลาที่พวกเราต้องออกทะเลกัน

ชาวประมงเท่ ๆ

กัปตันหน่อง – ยุทธนา แสวงการ นักสื่อความหมายประจำชุมชน ผู้สวมหมวกโจรสลัดจนเป็นภาพจำของอ่าวสลัด เป็นผู้ลุกขึ้นมาทำงานนี้เป็นคนแรก ๆ เขาทำงานกับชาวประมงในบ้านอ่าวสลัดพาลูกค้าออกท่องทะเล โดยมีกิจกรรมให้ทำหลากหลาย ทั้งการเล่นน้ำ ดำน้ำตื้นดูปะการัง ตกหมึก และรับประทานอาหารทะเลสด ๆ บนเรือ

ลอบเก่าที่พังลอยทะเลดักขยะให้มาติดมากมาย หนักอึ้งจนต้องช่วยกัน

ระหว่างทางก็ยังคอยเก็บขยะในทะเล วันที่เราไปไม่ค่อยมีขยะลอยมามากนัก แต่ก็ยังได้เจอลอบดักปลาเก่าที่ถูกพันไปด้วยแหอวนเต็มไปหมด เราช่วยกันเก็บกู้ขึ้นมา น้ำหนักของมันมากกว่าที่คิด ต้องใช้แรงคนถึง 2-3 คน ทำให้เราอดรู้สึกถึงปัญหาของขยะทะเลที่หนักหน่วงในหลายพื้นที่ไม่ได้ ถ้าเราสามารถช่วยกันลดขยะตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงปลายทางได้ ปัญหาขยะทะเลคงเบาขึ้น

เกาะกูด
ผู้คนใช้ประโยชน์ตามแนวชายฝั่ง แต่บนเขาก็ยังคงรักษาความสมบูรณ์ของป่าไว้อย่างดี

เรือล่องอ้อมแหลมมาหลบลมในเวิ้งหนึ่งที่เงียบสงบ มองไปยังฝั่งเราเห็นป่าไม้บนเกาะหนาทึบตลอดทางชวนให้รู้สึกสบายใจว่านอกจากที่นี่จะได้ออกซิเจนมากมายจากทะเลแล้ว ยังได้ต้นไม้เขียว ๆ ของที่นี่เพิ่มออกซิเจนเข้าไปอีก เราจึงหายใจเอาอากาศสะอาดเข้าไปเต็มปอด 

เกาะกูด
ปะการังที่นี่ส่วนใหญ่เป็นปะการังสมอง ปะการังโขดหิน สีไม่ได้สวยสด แต่ดูสุขภาพดี
หมึกสด ๆ จากท้องทะเล

ลูกเรือบอกว่าช่วงน้ำขึ้นที่กระแสน้ำแรงหน่อยจะมีหมึกให้ตกเยอะ เพราะเป็นช่วงเวลาที่อาหารของพวกมันถูกพัดพามากับกระแสน้ำ หมึกก็จะขึ้นมากินอาหารกัน แค่ดูสีและคลื่นน้ำ เขาก็บอกได้ว่า วันนี้เราจะตกหมึกได้ไม่ยาก 

อาหารทะเลแล่และปรุงกันบนเรือ รับรองความอร่อย

ระหว่างที่เราเล่นน้ำ ลูกเรือก็เตรียมปรุงอาหารทะเลสด ๆ ที่เตรียมมา ทั้งปรุงสุกและกินสดแบบซาชิมิ ดำน้ำกันจนพอใจ ขึ้นเรือมาก็ได้กลิ่นอาหารทะเลย่างหอม ๆ ทำให้ท้องหิว กัปตันหน่องและลูกเรือเสิร์ฟอาหารท่ามกลางฟ้าใส ลมพัดเย็นสบาย

เกาะกูด
หมึกสดตัวใส หอยมะระที่เพิ่งได้ทานเป็นครั้งแรก กับสำรับอาหารทะเลสด ๆ 

ทำให้บ่ายแก่ ๆ ของวันธรรมดาของพวกเราพิเศษยิ่งขึ้น อิ่มท้องแล้วก็ล่องเรือกลับ แสงอาทิตย์ที่ค่อย ๆ ลับขอบฟ้าฉาบวิวบ้านอ่าวสลัดและพระพุทธรูปองค์โตให้งดงามราวกับภาพวาด ลูกรักพระอาทิตย์ขอขอบคุณธรรมชาติและความใจดีของผู้คนที่นี่ที่ทำให้เราจบวันอย่างสุขใจ

เกาะกูด
‘พระพุทธปทีปศรีสถาพร’ ที่วัดอ่าวสลัด พระพุทธรูปสีทององค์ใหญ่ซึ่งประดิษฐานอยู่ปลายสุดของอ่าว ราวกับเป็นสัญลักษณ์ให้ทุกคนรู้ว่ามาถึงบ้านอ่าวสลัดแล้ว

วันต่อมาพวกเราพากันเข้าป่า ไปดูต้นมะค่ายักษ์อายุกว่า 500 ปี ซึ่งจะเช่ารถสองแถวขึ้นมาก็ได้ แต่พวกเราเลือกยานพาหนะสองล้อติดเครื่องยนต์แทน เจ้าของรีสอร์ทบอกว่าถ้าจะไปด้วยมอเตอร์ไซค์อาจต้องจอดระหว่างทางแล้วเดินเท้าเข้าไป เพราะคืนก่อนมีฝน ดินน่าจะลื่นขี่ยาก พวกเราก็ทำตามอย่างเต็มใจ เพราะได้เดินชื่นชมความงามของป่าฝนเขตร้อนไปอย่างไม่เร่งรีบ

สองล้อทุ่นเวลา ทุ่นแรง
ต้นไม้ห่มจีวรเป็นสัญลักษณ์การบวชต้นไม้ ไม่ให้ถูกตัด

ในที่สุดก็ไปถึงต้นมะค่ายักษ์แห่ง เกาะกูด ที่มีขนาดลำต้นใหญ่โตที่พวกเรา 6 คนยังโอบได้ไม่รอบ ความสูงที่ต้องแหงนคอมองจนสุดตา ปีกรากขนาดใหญ่และต้นไม้อิงอาศัยสร้างความน่าเกรงขาม ยืนต้นอยู่ท่ามกลางต้นไม้ที่ได้รับการบวช โดยผูกจีวรไว้ที่ลำต้น อาจทำให้บางคนขนลุก แต่นี่เป็นกุศโลบายเพื่อป้องกันการตัดไม้ทำลายป่า 

เกาะกูด
ความยิ่งใหญ่ของต้นมะค่ายักษ์เก่าแก่ มาพร้อมกับความเชื่อแบบไทย ๆ
เกาะกูด

จากต้นมะค่ายักษ์ พวกเราไปต่อกันที่น้ำตกห้วงน้ำเขียวอันงดงามด้วยน้ำเย็นใสไหลแรง หินก้อนใหญ่ที่ธรรมชาติจัดเรียงตัวเป็นจังหวะสร้างแอ่งน้ำให้ลงเล่นได้หลายจุด ความเย็นสดชื่นทำให้พวกเราหายเหนื่อยจากการเดิน ใครอยากได้รูปสวย ๆ ของชั้นน้ำตกที่สูงขึ้นไปก็ต้องปีนป่าย แต่ต้องใช้ความระมัดระวังให้มากเลย

เบื้องหลังแนวหินก้อนใหญ่คือสระน้ำตกขนาดใหญ่ ต้องปีนผ่านด้วยความระวังอย่างมาก

นอกจากต้นมะค่ายักษ์แล้ว ยังมีต้นไทรยักษ์ให้แวะชม ความอลังการของต้นไทรก็ไม่น้อยหน้าต้นมะค่า ปีกรากขนาดใหญ่ที่แผ่กว้างสร้างบรรยากาศป่าโบราณที่ธรรมชาติและมนุษย์ช่วยกันรักษาไว้ให้คงความสมบูรณ์

ธรรมชาติมอบพลังงานดี ๆ ให้เราเสมอ
เกาะกูด
เกาะกูดช่วงโลว์ซีซัน ฝนตกสลับกับวันแดดออก ทะเลที่ฝนพรำก็ทำให้รู้สึกสงบไปอีกแบบ

จบการท่องเที่ยววันนั้น เราก็รู้ตัวว่าใช้โชคด้านอากาศเป็นใจใกล้หมด เพราะฝนพรำลงมาตั้งแต่บ่ายแล้วกลายเป็นตกหนักตลอดทั้งคืน จนถึงเช้าในวันที่ต้องนั่งเรือกลับมาที่ฝั่งตราด ทุกคนมาถึงท่าเรือโดยสวัสดิภาพ เพียงแต่เปียกมะล่อกมะแล่กกันถ้วนหน้า จนนึกสงสัยว่าจุดหมายต่อไปที่บ้านน้ำเชี่ยวของเรา จะมีสภาพอากาศเป็นแบบไหนนะ

งอบหรือหมวกที่ทำจากใบจาก ที่คนบ้านน้ำเชี่ยวประยุกต์ใช้วัสดุธรรมชาติที่มีมากในบ้านน้ำเชี่ยวมาสานเป็นงอบ

โชคดีที่พอมาถึง ‘วิสากิจชุมชนท่องเที่ยวบ้านน้ำเชี่ยว’ ฝนก็บางตาลงมาก พี่รสริน วิรัญโท ประธานวิสาหกิจฯ แห่งนี้รอต้อนรับพวกเราด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ที่นี่มีการจัดการดีมาก แบ่งจุดทำกิจกรรมไว้อย่างเป็นระบบ พี่รสรินบอกว่าคนในชุมชนทำงานกับภาครัฐค่อย ๆ ช่วยสร้างขึ้นมา จากชุมชนธรรมดาทั่วไปกลายเป็นชุมชนท่องเที่ยวที่ได้รับรางวัล

สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวบ้านน้ำเชี่ยวกับเตาข้าวเกรียบปากหม้อแดง

บ้านน้ำเชี่ยวอยู่ปลายน้ำของคลองน้ำเชี่ยวที่มีต้นน้ำจากเขาวังปลา ไหลเชี่ยวมาตามลำคลองลงสู่ทะเล แวดล้อมด้วยนิเวศป่าชายเลน เมื่อตั้งใจพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวจึงเริ่มจัดการแก้ไขปัญหาขยะที่เคยมีมานาน ช่วยกันอนุรักษ์ป่าชายเลน พัฒนาทุนทางธรรมชาติ และค้นหาวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เพื่อสร้างความโดดเด่นให้ชุมชน

อย่างการสานงอบ ที่ชาวบ้านน้ำเชี่ยวเห็นหมวกของชาวจีนที่เข้ามาค้าขาย จึงประยุกต์เอาใบจาก วัสดุธรรมชาติที่มีมากในแถบนี้ มาทำเป็นงอบใบจาก จนกลายเป็นของดีประจำบ้านน้ำเชี่ยว หรือการทำข้าวเกรียบปากหม้อแดงธัญพืช ที่สร้างความแตกต่างแบบหาทานได้ที่นี่เท่านั้น 

และการทำหอยคราฟต์ซึ่งไม่ใช่ไปเก็บเปลือกหอยจากธรรมชาติมาทำโดยตรง แต่เป็นการนำเปลือกหอยเหลือทิ้งจากร้านอาหารทะเล เอามาผ่านกระบวนการทำความสะอาด เผา บดจนได้วัตถุดิบมาขึ้นรูปเป็นของที่ระลึกแบบต่าง ๆ ที่ให้นักท่องเที่ยวได้ลองออกแบบด้วยตัวเอง เป็นการแก้ปัญหาขยะ และเพิ่มมูลค่าไปด้วยในตัว

หอยคราฟต์ที่ขึ้นรูปแล้วมีให้เลือกหลายแบบ ให้นักท่องเที่ยวได้ลองเลือกตกแต่งเป็นของที่ระลึกด้วยตัวเอง

กิจกรรมท่องเที่ยวที่นี่มีหลากหลาย แต่ละกิจกรรมช่วยสร้างรายได้ให้แก่ผู้คนมากกว่า 1 ครอบครัว อย่างการทำงอบซึ่งเราอาจไม่เคยคิดว่าองค์ประกอบของการทำงอบ 1 ใบ ต้องใช้วัสดุที่ทำขึ้นจากความชำนาญที่แตกต่างกัน ทำให้สามารถกระจายรายได้ไปถึง 6 ครอบครัวเลยทีเดียว

ลองมาทำงอบดูก็รู้ว่าไม่ง่ายเลย งอบบ้านน้ำเชี่ยวแข็งแรงใส่กันแดด กันฝนปรอยได้สบาย

พอกินขนม สานงอบ และทำหอยคราฟต์กันแล้ว ก็ไปล่องเรือชมบรรยากาศของชุมชนริมคลอง ที่หลอมรวม 2 ศาสนา คือพุทธและอิสลาม 3 วัฒนธรรม คือไทย จีน มุสลิม ที่นี่จึงมีทั้งวัดน้ำเชี่ยว ศาลเจ้าพ่อน้ำเชี่ยว และมัสยิดอัลกุบรอ บ่งบอกถึงประวัติศาสตร์การค้าขายที่ชาวจีนล่องสำเภามาค้าขายในสยาม แล้วอยู่ตั้งรกรากที่นี่ รวมถึงการอพยพหนีภัยสงครามของชาวมุสลิมจากประเทศกัมพูชา ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งคนในชุมชนก็อยู่ร่วมกันอย่างมีสัมพันธไมตรีอันดีมาตลอด

ศาลเจ้าพ่อน้ำเชี่ยว
มัสยิดอัลกุบรอ ศูนย์รวมศรัทธาชาวมุสลิมบ้านน้ำเชี่ยว

จากลำน้ำในชุมชน เรือก็วนออกสู่ปากอ่าวท่ามกลางป่าชายเลนขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ ที่มาของทรัพยากรทางทะเลที่กลายมาเป็นสินค้าอาหารทะเลทั้งสดและแปรรูป เป็นผืนป่าที่ช่วยกักเก็บคาร์บอนได้ยิ่งกว่าป่าบก อากาศวันนั้นสลับกันระหว่างฝนพรำและฝนจาง ล่องเรือในบรรยากาศนี้ก็มีเสน่ห์อีกแบบ ที่นี่ยังมีหอชมวิวที่ให้ได้ขึ้นไปดูนกได้ด้วย พวกเราเลือกนั่งดูเหยี่ยวแดงโฉบไปมาจากในเรือแทน แล้วปล่อยใจไปกับธรรมชาติสบาย ๆ แต่ก็คิดว่าต้องหาเวลามาดูนกเองให้ได้สักครั้ง

เหยี่ยวแดงที่มักพบบริเวณป่าบินหาอาหารจากที่สูงก่อนโฉบไปจับเหยื่อที่ผิวน้ำ

ถ้าพอมีเวลา เราอยากชวนให้นั่งเรือไกลไปถึงปากอ่าว ณ บริเวณที่คลองบรรจบกับทะเล เมื่อสิ้นสุดป่าชายเลน ผืนน้ำที่เปิดกว้างทำให้เรารู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่มอบอะไรให้กับเรามากมายเหลือเกิน

ณ ที่ที่น้ำจากป่าเขาไหลลงสู่ทะเล เป็นภูมิทัศน์ที่กว้างไกลให้ความรู้สึกเป็นอิสระ
ล่องเรือนานไม่ต้องกลัวเบื่อ เพราะมีจุดถ่ายภาพสวย ๆ แปลก ๆ ให้แวะระหว่างทาง

มาถึงบ้านน้ำเชี่ยวแล้วไม่ได้เดินขึ้นสะพานวัดใจเห็นทีจะมาไม่ถึง สะพานแห่งนี้สร้างให้สูงเป็นพิเศษ เพื่อให้เรือแล่นผ่านได้แม้ยามน้ำขึ้น สะพานเหล็กที่โค้งสูงสั่นไหวนิด ๆ เมื่อลมพัดแรงทำให้ขาสั่นหน่อย ๆ คนบ้านน้ำเชี่ยวห้ามกลัวความสูงซินะ หากเป็นวันฟ้ากระจ่างคลองน้ำเชี่ยวที่สะท้อนเงาสะพานวัดใจจะเห็นเป็นภาพบรรจบกันเหมือนดวงตา จนนักท่องเที่ยวขนานนามว่าเป็นดวงตาแห่งบ้านน้ำเชี่ยว ที่เราไม่ได้สบตาด้วย เพราะฟ้าหม่นและน้ำขุ่นจากน้ำป่าที่พัดพามากับฝนตกหนัก ซึ่งก็หมายถึงตะกอนดินที่เต็มไปด้วยสารอาหารจากป่าต้นน้ำได้พัดพาไปหล่อเลี้ยงสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่ปากอ่าว เป็นวงจรธรรมชาติที่รักษาสมดุลของสรรพชีวิตที่นี่

ยิ้มสู้กับความสูงที่ทำให้ใจสั่น

ก่อนกลับเราเดินเล่นไปตามบ้านเรือนในชุมชนซึ่งมีบรรยากาศเป็นมิตร การท่องเที่ยวไม่ได้เข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตของพวกเขาในเชิงลบ การที่ชุมชนได้รับการสนับสนุนให้พัฒนามาเป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยตั้งต้นจากการแก้ปัญหา รักษาธรรมชาติ และขับเน้นอัตลักษณ์ให้คนในชุมชนเห็นความธรรมดา ๆ ในบ้านเกิดว่าเป็นต้นทุนอันมีคุณค่า เราว่านี่เป็นสิ่งที่งดงาม และยังทำให้คนนอกพื้นที่อย่างเราได้เรียนรู้ทั้งธรรมชาติและวัฒนธรรมของชุมชนเล็ก ๆ แห่งนี้

นี่เป็น 1 ในเส้นทางท่องเที่ยวที่เราอยากแนะนำ และทำให้เราอยากออกเดินทางไปได้สัมผัสถึงเสน่ห์เรียบง่ายแต่เปล่งประกายในตัวเองเช่นนี้อีกหลาย ๆ แห่ง

EXPLORERS: ปลา, ลี่, ต้น, แบงค์, แน๊ค, ปั่น, หมู

AUTHOR: ปลา-อาศิรา พนาราม

PHOTOGRAPHER: ต้น-ศุภกร ศรีสกุล

GRAPHIC DESIGNER: ตูน-เรืองเพชร เวชวิทย์


ข้อมูลเพิ่มเติมและช่องทางการติดต่อ

วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวชุมชนบ้านอ่าวสลัด

กัปตันหน่อง

วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวบ้านน้ำเชี่ยว