แนะนำสำหรับคนอยากออกไปแค้มป์ อยากพาลูกออกไปเที่ยวช่วงปิดเทอม และมองหาอากาศดีๆ ในเวลาที่อากาศในเมืองร้อนตับแทบแตก ร้อน ๆ อย่างนี้ แค้มป์อีสานเหนือยังมีหนาว
ช่วงนี้อากาศร้อนตับแทบแตก แต่ใจร้อนรุ่มกว่า อยากหนีออกจากเมือง อยากออกไปแค้มป์ หลาย ๆ บ้าน เด็ก ๆ ก็ปิดเทอม จะไปไหนได้? ร้อนอย่างนี้จะหนีร้อน ต้องไปที่สูง ยิ่งสูงยิ่งหนาวครับ มีต้นไม้เยอะ ๆ มีห้วยมีน้ำด้วยยิ่งดี ผมมีเส้นทางอยากแนะนำครับ
อีสานเหนือครับ ถ้าดูแผนที่ความสูงของประเทศไทยแล้ว จะเห็นว่าแถบจังหวัดเลย เพชรบูรณ์ ชัยภูมิ นี่เป็นแผนดินยกสูง แถมยังเต็มไปด้วยป่าเขียวทั้งที่เป็นอุทยานแห่งชาติ, เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และป่าชุมชน เขียวขจี ผมลองไปมาแล้วครับ แม้ว่ากลางวันจะร้อนเท่าเทียมกับที่อื่นของไทย แต่ถ้าเราเลือกที่แค้มป์ให้ดี กลางคืนยังหนาว 18-20 องศาฯ ต้องห่มผ้าทุกคืน แม้จะมีฝุ่นควันบ้าง แต่ก็มีลมตลอดเวลา และบนที่สูง ๆ ก็ยังอากาศดีครับ
พร้อม ๆ กันนี้ ขอแนะนำรูปแบบการเที่ยว ที่ผมขอเรียกมันว่า “Camping Tour” คือ ขับรถเที่ยวไปแค้มป์ไป แวะเที่ยวในพื้นที่ที่คนอาจจะไม่รู้จักมากนัก โดยที่จะตระเวนชมธรรมชาติ เรียนรู้วัฒนธรรม และรู้จักผู้คนไปเรื่อย ๆ โดยไม่รีบร้อน กลางวันขับรถสั้นๆ 2-3 ชั่วโมง แล้วก็พักกางเต็นท์ แค้มป์กัน ไปกินอาหารพื้นบ้าน ไปเดินตลาดชาวบ้าน หาซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารกินกันในแค้มป์
เที่ยวแบบนี้สนุกสนานเพลิดเพลินมากครับ โดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็ก ลูก ๆ จะได้พบเห็นได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ เยอะมาก ผมเองเคยเที่ยวแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก และตอนที่ลูกผมยังเด็ก ๆ เราก็เที่ยวแบบนี้กันมาตลอด
เส้นทางที่พูดถึงนี้ ผมแนะนำให้มุ่งหน้าไปเริ่มจากอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ครับ อำเภอเล็ก ๆ นี้ตั้งอยู่บนที่ราบสูงที่ผมเล่ามาก่อนหน้านี้ พื้นที่ราบของตัวอำเภอก็อยู่ที่ระดับความสูงเกือบ 400 เมตร และยังมีเทือกเขาขนาบสองข้างเป็นแนวยาว ทำให้หาจุดแค้มป์ที่ระดับความสูง 700-800 เมตรได้ไม่ยากเลย
ด่านซ้ายและจังหวัดเลย ไม่ได้ไกลอย่างชื่อ หรืออย่างที่เราคิดนะครับ ระยะทางจากกรุงเทพฯ แค่ประมาณ 450 กิโลเมตร ถ้าเทียบกับขึ้นสายเหนือก็แค่เลยจังหวัดตากไปนิดเดียว ขับรถสบาย ๆ ถนนดีมากตลอดทาง ใช้เวลาแค่ 6 ชั่วโมงเท่านั้น ออกเช้า บ่ายต้น ๆ ก็ถึงแล้วครับ
อำเภอด่านซ้ายเป็นชุมชนเก่าแก่ที่น่าสนใจมากครับ ด้วยความที่ชุมชนนี้อยู่ในหุบเขา ในอดีตจึงห่างไกลจากชุมชนอื่น ๆ จนมีคำพูดว่า “ผีบ่อท่องคนบ่อเทียว” คือไม่มีใครมา ทำให้มีวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหารการกิน ความเชื่อ ฯลฯ ด้วยสภาพภูมิประเทศนี้ทำให้ด่านซ้ายได้รับอิทธิพลจากเมืองหลวงพระบางมากกว่าเมืองอื่น ๆ ของไทย
มาด่านซ้าย นอกจากมาแค้มป์แล้วต้องไม่พลาดที่จะไปชิมอาหารเฉพาะถิ่น โดยเฉพาะอย่างอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำผักสะทอน ไปชมวัฒนธรรมอีกหลายๆ อย่างที่นี่ ที่สำคัญที่สุดคือไปพบปะผู้คนที่น่ารักมากของเมืองนี้
ที่กางเต็นท์บนเขารอบอำเภอมีอยู่หลายจุด เป็นพื้นที่ของชาวบ้านซึ่งเป็นลานกางเต็นท์ที่ทำง่าย ๆ มีห้องน้ำ แต่ข้อดีก็คือสงบมากผู้คนไม่หนาแน่น และอิสระจะทำอาหารอะไรก็ทำได้สะดวก ถ้าอยากจะนอนลานกางเต็นท์ของอุทยานก็มี อุทยานแห่งชาติภูสวนทราย ที่อยู่ในอำเภอนาแห้ว ห่างออกไปประมาณ 50 กิโลเมตร
อากาศปลายเดือนมีนาคมนี้ ตอนกลางวันที่ไหนก็ร้อนครับ เท่าเทียม ทั่วถึง ทั่วไทย แต่กลางคืนนี้สิแตกต่าง เรานอนพักที่ด่านซ้ายกัน 2 คืน คืนแรกเป็นลานแค้มป์ของชาวบ้านที่ความสูงประมาณ 800 เมตร อากาศเย็นสบายตั้งแต่พระอาทิตย์ตก หัวค่ำนอนสบาย ตอนเช้ามืดต้องลุกขึ้นมาห่มผ้าเลย
และอีกคืนเป็นลานกางเต็นท์ของร้านกาแฟ The Enlighten Coffee and Community ที่บ้านหนองผือ ซึ่งอยู่ที่ระดับความสูงเดียวกับตัวอำเภอ ทีแรกเราคิดว่าจะร้อนกว่าบนเขา แต่ไม่เลยครับ ที่นี่ได้เปรียบตรงที่ลานปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่ร่มทั้งวัน กลางวันจึงไม่ร้อนมาก พอค่ำก็อากาศเย็นสบาย กลางดึกก็ต้องห่มผ้าอีกเหมือนกัน
การไปเที่ยวด่านซ้ายให้สนุกต้องมีคนพื้นที่พาเที่ยวครับ จึงจะเข้าถึงความพิเศษที่ซ่อนอยู่ แนะนำให้ติดต่อเบียร์ที่ Arnuparp House เลยครับ ถ้าอยากพัก Homestay หรืออยากจะพักกางเต็นท์แบบไหน เขาแนะนำหรือพาไปได้หมด ยังพาไปกินอาหารพื้นบ้านแท้ๆ อย่างที่ไม่มีทางหาเองเจอได้ และยังพาไปรู้จักกับด่านซ้ายในมุมลึก ๆ ได้อีกมากครับ
จากด่านซ้ายแล้วเรามีอีกหลายทางเลือกมากครับ เช่นจะขับเส้นทางเลียบโขงไปทางเชียงคาน มุ่งไปหนองคายก็มีคนบอกว่าทางสวยมาก แต่ในฤดูร้อนอย่างนี้เราเลือกที่จะอยู่บนที่ราบสูงของเมืองเลยที่อากาศน่าจะดีกว่า
ถ้าเราขึ้นเหนือต่อไปทางจังหวัดเลย จุดแรกที่น่าเที่ยวน่าพักมากๆ คือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง ที่นี่เป็นพื้นที่ราบสูงประมาณ 1,000 เมตร อากาศตอนกลางคืนหนาวเย็นเกือบทั้งปี โดดเด่นมากเรื่องพันธุ์ไม้ ถ้าจะเข้าไปเที่ยววันเดียวสามารถเข้าไปได้เลย แต่ถ้าจะพักค้างคืนต้องทำเรื่องขออนุญาตล่วงหน้า เพราะเขาเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ไม่ใช่อุทยานครับ โทรสอบถามได้ที่นี่ 064 024 0743
เราไม่ได้ติดต่อที่พักที่ภูหลวงมาล่วงหน้าก็เลยไม่ได้เข้าพักในทริปนี้ แต่เบียร์แนะนำให้รู้จักกับคุณต้นที่ทำบ้านพักส่วนตัวและฟาร์มเลี้ยงม้าอยู่ใกล้ภูหอ ในเขตอำเภอภูหลวง ชื่อว่า “ความพอดี” คุณต้นยังไม่ได้เปิดที่นี่รับแขกทั่วไป แต่ยินดีรับเราไปกางเต็นท์นอนกันแบบเพื่อน ที่นี่สวยมากครับ มีม้าสวย ๆ ให้เรานั่งดูกันเพลิน วิวฉากหลังเป็นภูหอตระการตา แถมเจ้าของบ้านก็น่ารัก นั่งคุยแลกเปลี่ยนเรื่องชีวิตกันสนุกสนาน
กลางวันอากาศร้อน แต่พอ 4 โมงเย็นแดดเบา ลมพัดโชยก็เย็นสบาย พอค่ำอากาศก็หนาวเย็นลงไม่แพ้ที่ด่านซ้าย คุณต้นพาเราไปนอนดูดาวรับพลังกันที่ลานกลางคอกม้า สักพักเราก็ต้องเข้าเต็นท์หาผ้าห่มกัน ใครที่อยากมาพักที่นี่คงต้องรอก่อนครับ คุณต้นมีแผนที่จะทำลานกางเต็นท์ไว้รับเพื่อนๆ เหมือนกัน แต่คงต้องใช้เวลาอีกสักนิด
ถ้าเพื่อน ๆ ออกเดินทางจากด่านซ้ายจะหาที่พัก แถวนี้มีหลายที่ครับ ถ้าขออนุญาตล่วงหน้าได้ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียวนี่ก็สุดยอด ขับรถจากด่านซ้ายแค่ชั่วโมงเดียว ถ้าไม่ได้ที่ภูหลวง ก็ยังมีอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว และภูผาม่านที่ไม่ไกลจากบริเวณนี้ ถ้าจะนอนแค้มป์เอกชนก็มีหลายแห่ง มีคนแนะนำไร่ผาหมอกโฮมสเตย์ ที่อำเภอน้ำหนาวก็ดูดีมาก แต่เราไม่ได้พักกันในครั้งนี้
จุดพักทั้งหมดนี้ ขับรถจากด่านซ้ายมาไม่เกิน 3 ชั่วโมง ตรงคอนเซ็ปต์ของ Camping Tour ที่ต้องการขับรถวันละน้อย ๆ แล้วไปใช้เวลากับท้องถิ่น ผู้คน และแคมป์กันให้มาก
จากอำเภอภูหลวง เรามุ่งหน้าลงใต้สู่จังหวัดชัยภูมิ ไปที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว ซึ่งเราติดต่อขออนุญาตพักล่วงหน้ามาแล้ว พื้นที่ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียวก็น่าสนใจมากครับ เป็นที่ราบสูงที่มีขนาดพื้นที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณนี้ ใหญ่กว่าภูหลวงและภูกระดึงมาก พื้นที่สูง 800-1000 เมตร และยังเต็มไปด้วยป่าที่อุดมสมบูรณ์ มีลำน้ำไหลผ่าน เป็นที่แค้มป์ในอุดมคติในเวลาร้อน ๆ อย่างนี้ครับ
จากอำเภอภูหลวง เราใช้เวลาขับรถ ไม่ถึง 3 ชั่วโมง ก็เข้ามาถึงที่ทำการซึ่งอยู่กลางป่า ที่นี่มีลานกางเต็นท์อยู่ในร่มไม้ใกล้ร้านสวัสดิการและห้องน้ำ สะดวกสบายมาก ในลานกางเต็นท์มีจุดให้ก่อไฟ ทำอาหารได้ และที่สำคัญเจ้าหน้าที่ที่นี้อัธยาศัยดี น่ารัก ต้อนรับและดูแลนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดีมาก ผมยกให้เป็นลานกางเต็นท์ในดวงใจที่หนึ่งเลยครับ
ที่นี่ทำอาหารได้ แต่เมื่อกินอาหารเสร็จแล้วก็แนะนำให้เก็บอาหารให้ดีไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามารื้อค้นตอนกลางคืนครับ อยากรู้จักภูเขียวให้มากขึ้น แนะนำให้แวะเข้าไปหาความรู้เรื่องพื้นที่และสัตว์ป่าในศูนย์บริการนักท่องเที่ยวครับ เขาจัดแสดงไว้อย่างดีมาก
จุดเด่นของการมาเที่ยวที่นี่คือการไปดูสัตว์ที่ทุ่งกะมัง ซึ่งอยู่ห่างจุดกางเต็นท์ไม่ถึง 2 กิโลเมตร มีพี่เจ้าหน้าที่ภูเขียวเคยบอกผมไว้เมื่อผมมาครั้งก่อนว่า ฤดูที่เหมาะที่จะมาดูสัตว์ที่ทุ่งกะมังคือฤดูแล้ง อย่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม เพราะทุ่งหญ้าจะโล่ง มีการชิงเผาหญ้าและหญ้าระบัดขึ้นเป็นอาหารให้สัตว์เดินกินในทุ่งให้เราเห็นตัวได้ชัด ๆ
ที่สำคัญคือฤดูนี้ไม่มีทากซึ่งจะชุกชุมมากในฤดูฝนไปจนถึงฤดูหนาว ใครไปเคยไปภูเขียว ไม่เคยไปทุ่งกะมัง แนะนำเลยครับ โดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็ก ๆ ผมไปมา 6 ครั้งแล้วตั้งแต่ลูก ๆ ยังเด็ก ไปกี่ครั้งก็ประทับใจทุกครั้งครับ
จากภูเขียว เราเดินทางกลับกรุงเทพกันรวดเดียวเลย ใช้เวลา 7 ชั่วโมง ทางขากลับรถเยอะและทางเสียบ้างขับไม่สนุกเหมือนขาขึ้นไปจังหวัดเลย ถ้าใครไม่อยากขับรถรวดเดียว และมีเวลา จะหยุดพักหาที่แค้มป์แถวเขาใหญ่หรือวังน้ำเขียวก็น่าจะดีเลยครับ
ทริปนี้เราขับรถไปทั้งหมดประมาณ 1,500 กิโลเมตร ในเวลา 5 วัน แต่ละวันขับรถไม่เกิน 2-3 ชั่วโมง ตรงกับคอนเซ็ป Camping Tour ที่เราวางกันไว้
เส้นทางนี้จะสวยมากถ้าเราไปในช่วงปลายฝนต้นหนาว แต่มันน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีของเส้นทาง Camping Tour ในช่วงอากาศร้อนเช่นนี้ เวลาที่ไปที่อื่นไม่ได้เลย ลองดูนะครับ ถ้าคุณกำลังหาที่ออกไปแค้มป์ อยากพาลูกออกไปเที่ยวช่วงปิดเทอม เส้นทางนี้สนุกสนาน ได้ความรู้มากมาย ค่าใช้จ่ายก็ถูกมาก และยังหาอากาศดีๆ ได้ในเวลาที่อากาศในเมืองร้อนตับแทบแตกครับ
EXPLORER: งบ
AUTHOR/PHOTOGRAPHER: ธัชรวี หาริกุล