การ Trekking เชียงดาว ครั้งนี้ไม่ใช่เส้นทางสุดฮิตอย่างดอยหลวงเชียงดาว แต่เป็นการไปเดินป่าตามหาน้ำตก จากการป้ายยาของเพื่อนชาวแก๊งที่เชียงดาว ด้วยคำชวนที่ว่า ไปตามหาน้ำตกกัน นอนแคมป์ในป่า 2 คืน เดินเท้าชิว ๆ 2-3 ชม.ก็ถึง
ด้วยความใจง่าย เลยจองตั๋วไปก่อน และด้วยความที่ไม่ได้หวังอะไรจากทริปนี้ตั้งแต่แรก คิดว่าเบื่อความวุ่นวายในเมืองหลวง หาทริปเดินทางแก้ว่างก็เลย ลุย ไปไหนก็ไป ทำไรก็ทำ เตรียมใจไว้นิดหน่อยว่าน่าจะลำบาก 555
เวลาไม่มีอะไรทำ หลาย ๆ คนอาจจะไปเดินห้างสรรพสินค้า ดูหนัง ชอปปิง แต่สำหรับบางคน เลือกที่จะเข้าป่า คำถามคือ ทำไมถึงเลือกเข้าป่า และ เข้าไปทำอะไร ?
ลองคุยกับเธอผ่านบทความที่เธอเล่าประสบการณ์การเข้าป่า อาจจะเห็นมุมมองใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ
บอกก่อนเลยว่าเราเป็น beginner มาก ๆ ในเรื่องของการ trekking สำหรับทริปนี้เลยคิดว่าที่จำเป็นคือรองเท้าที่ทนและใส่สบาย เสื้อผ้าที่แห้งง่าย เต็นท์ถุงนอนก็ตามอัตภาพ ของในเป้ 80% เป็นของกิน และอุปกรณ์ทำกิน (กลัวอดตายในป่า555) ทั้งของสดของแห้งให้อยู่พอสำหรับทั้งทริป เครื่องดื่ม อันนี้ขาดไม่ได้ หนักแค่ไหนก็ต้องแบก รวมถึงพวก energy bar ไว้เคี้ยวระหว่างทาง
เช้าวันแรกออกจากตัวเมืองเชียงดาวไปทางตะวันออก พอถึงจุดที่ต้องเริ่มเดินเท้า หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปเริ่มต้นทริป แต่สังเกตเห็นสัญลักษณ์สัญญาณเน็ต ที่ดูริบหรี่มาก ๆ อย่าว่าแต่สัญญาณเน็ตเลย สัญญาณมือถือยังไม่มีซักขีด ซึ่งแน่นอน เพื่อนไม่ได้บอกก่อน จะหันหลังกลับเพราะไม่มีสัญญาณเน็ตก็คงไม่ทันแล้ว เลยถือเป็นการ social detox ไปเลยละกัน
เราเริ่มต้นจากชายป่าที่ติดกับสวนผลไม้ของชาวบ้านที่เพื่อนรู้จัก จริง ๆ แล้วเส้นทางนี้เหมือนเป็นเส้นทางที่ชาวบ้านหาของป่ากันมากกว่า ไม่ใช่เส้นทางท่องเที่ยว รอยทางเดินเลยไม่ค่อยมี ช่วงแรกยังเป็นทางง่าย ๆ พื้นราบสลับกับเนินไม่ชันมาก ยังมีรอยทางเดินของชาวบ้านที่มาเก็บของป่าอยู่บ้าง
GPS ในทริปนี้ก็กางแผนที่กันนั้นเหละ เราเดินตามลำธารเล็กๆตลอดทาง เริ่มเปียกนิดหน่อย เดินมาซักพักรู้สึกว่าเริ่มไม่ชิวอย่างที่เพื่อนบอก ทางเริ่มยากขึ้น เป็นเนินที่ชันถึงชันมากและลื่นมาก มีต้นไม้ใหญ่ขนาดสิบคนโอบให้เห็นหลายต้น เห็ดป่าหน้าตาประหลาดๆ มีลำต้นไม้ใหญ่พาดขวางระหว่างทางเป็นระยะ ต้องมุดบ้างปีนข้ามบ้าง
เดินมาได้ประมาณ 60% ของเส้นทางก็แวะพักเหนื่อย กินข้าวกินน้ำกันริมลำธารเพราะหลังจากนี้จะเป็นเส้นทางที่ยากแล้ว ที่ยากคือเราต้องผ่านลำธารหรือเรียกได้ว่าน้ำตกขนาดย่อมหลายรอบ ถ้าใครที่ปีนขึ้นไปข้างบนเพื่ออ้อมไม่ไหว ก็ต้องยอมเปียกน้ำที่สูงประมาณครึ่งตัว
ระหว่างทางที่พูดกันจนเหนื่อย ทุกคนเริ่มเงียบ ได้ยินแต่เสียงลำธาร เสียงนก เสียงต้นไม้ใบไม้ กลิ่นป่า รู้สึกเหมือนทุกอย่างช้าลง คล้ายๆเป็นการ meditation รับรู้ประสาทสัมผัส มองดูธรรมชาติให้ละเอียด เราเปียกกันจนแห้งไปไม่รู้กี่รอบกว่าจะถึงที่หมาย
จุดที่เราตั้งแคมป์กันเป็นป่าไผ่ ที่เลือกตรงนี้เพราะเป็นพื้นที่ราบกางเต็นท์สะดวก และอยู่ใกล้ลำธารที่เป็นตาน้ำ พอเลือกที่กางเต็นท์และก่อไฟกันได้ไม่นาน เริ่มได้ยินเสียงฟ้าร้อง แต่เดี๋ยวก่อนนี่มันเดือนมกรา ฝนจะตกไม่ได้ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงฝนก็เริ่มลงเม็ด เราต้องหาทางเอาอะไรมาคลุมเพื่อไม่ให้กองไฟของเราดับ เพราะใกล้มืดแล้ว
ด้วยความพร้อมของเพื่อน ที่เตรียมเลื่อยมา ป่าไผ่ตรงนั้นก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงหลังคากันฝนของเรา โชคดีอีกอย่างคือแคมป์ของเราอยู่ใกล้ดงกล้วย ใบตองนั่นเหละคือหลังคา โดยวางซ้อนกันไป ระหว่างที่ทุกคนกำลังช่วยกันทำหลังคาฝนก็ตกแรงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ทันเวลาพอดี หลังคาใบตองของเราเสร็จก่อนที่ฝนจะตกหนัก
พอฝนเริ่มซา โจทย์ต่อไปคืออาหารเย็น ไฮไลท์ของมื้อนี้คือ steak on river rock ก็คือเนื้อสเต็กที่เราแบกกันเข้าไปเองนี้แหละ เราหาหินลักษณะเป็นแผ่นเรียบจากลำธารที่ติดกับแคมป์ มาวางบนกองไฟร้อนๆ วางเนื้อสเต็กลงไป และเลือกระดับความสุกได้ตามใจชอบ กินแกล้มกับผักสด(ที่เราแบกเข้าไปอีกเช่นกัน) แต่ยิ่งลำบากยิ่งอร่อย
ไวน์ที่แบกมาก็เอาไป chilled ในลำธารเผื่อจะเย็นขึ้นมาหน่อย น้ำกินน้ำใช้ก็จากลำธารนี่เหละ จังหวะนั้นไม่ค่อยห่วงสุขอนามัยแล้ว ออกป่าไปค่อยกินยาถ่ายพยาธิทีเดียว แต่เพราะลำธารตรงนั้นเป็นตาน้ำทำให้น้ำใสมาก กินคาวไม่กินหวานก็ไม่ได้ เราคิดมาแล้วของหวานของชาวแคมป์คือ s’mores แครกเกอร์ประกบด้วยช็อคโกแลตและมาร์ชแมลโลว์ร้อนๆที่กำลังเยิ้ม งงมากว่าทำกินที่บ้านยังไงก็ไม่อร่อยเท่าในป่า
กินกันจนอิ่มก็จิบไวน์นั่งคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันรอบกองไฟ การที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ทำให้เราได้ใช้เวลากับสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากขึ้น ไม่ดึกมากเราก็แยกย้ายกันเข้าเต็นท์ จบวันแรกแบบหลับสนิท
วันที่สองเราเริ่มต้นวันกันไม่เช้ามากสบายๆ อาหารเช้าไม่ซีเรียสมาก ขนมปัง ไส้อั่ว หมูฝอย เนื้อเค็ม ต่าง ๆ ที่แบกกันมา ล้างหน้าล้างตากันเสร็จ ก็เตรียมของทำซุปเนื้อตุ๋นไว้เป็นมื้อเย็น ใช่ พวกเราแบกหม้อกันเข้าไปซึ่งคิดไว้แล้วว่าต้องทำเมนูนี้กัน แบ่งกันหั่นแครอท มันฝรั่ง หอมหัวใหญ่ กระเทียม ก่อนโยนลงหม้อต้มไปพร้อมกับเนื้อที่เหลือจากเมื่อวาน ใส่แค่เกลือเท่านั้น ก่อนออกไปทำตาม mission ของวันนี้คือไปตามหาน้ำตกโดยเดินย้อนกลับไปทางที่เราผ่านเข้ามา
ประมาณเกือบชั่วโมงจะเจอทางแยกของลำธารอีกเส้นทางนึง ระหว่างทางเปียกกันไปเลยไหน ๆ ก็จะไปเล่นน้ำตกอยู่แล้ว ซักพักก็ได้ยินเสียงน้ำตกอยู่บนเนิน พอขึ้นไปถึงตรงหน้าเป็นน้ำตกประมาณ 15 เมตร มีต้นเฟิร์นขึ้นรอบ ๆ น้ำตกที่เราไปตามสถานที่ท่องเที่ยว กับน้ำตกที่เราหาเจอเองนี่มันให้ความรู้สึกต่างกันมาก ถึงมันจะไม่ได้สวยเท่าน้ำตกที่คนไปเที่ยวกัน แต่มันให้ความรู้สึกว่าจริง ๆ ในธรรมชาติมีอะไรอีกเยอะที่รอให้เราไปเจอและเก็บกับมาเป็นรูปถ่ายกับประสบการณ์ก็พอแล้ว
เราใช้เวลากันที่น้ำตกกันพักใหญ่ น้ำเย็นและสะอาดมาก ได้ลองไปยืนตรงจุดที่น้ำไหลลงมา แรงของน้ำช่วยนวดหลังได้ดี เล่นน้ำกันจนหนำใจก็ได้เวลากลับไปจัดการกับซุปเนื้อมื้อเย็น ซุปยังไม่ข้นมากแต่ก็กินได้ หม้อนี่กินได้สบาย ๆ 2 มื้อ เผื่อมื้อเช้าของวันรุ่งขึ้นก่อนกลับได้อีก ถ้วยที่เราใช้แบ่งซุปคือกระบอกไม้ไผ่นั้นเหละ ยกซดกันจนอิ่ม จิบเครื่องดี่มกันนิดหน่อยเพื่อพรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องแบกกลับให้หนัก
เช้าวันสุดท้ายตื่นมาจัดแจงเก็บเต๊นท์ เก็บขยะ จัดการกับซุปที่เหลือ ข้นมาก เนื้อเปื่อยกำลังเคี้ยวง่าย ซึ้งในรสชาติสุดๆ อิ่มท้องซักพักก็เริ่มเดินทางกลับ แปลกที่กลับทางเดิมแต่ความรู้สึกเปลี่ยน รู้สึกว่าเราได้ชาร์จพลังจากธรรมชาติเต็มที่ ได้อยู่กับตัวเองมากขึ้นรู้จักตัวเองมากขึ้น อยู่กับธรรมชาติ 3 วันเต็มกับการที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่มีผู้คน ไม่มีการติดต่อจากโลกภายนอก มีแค่ธรรมชาติกับเพื่อน และแผนที่กระดาษที่เป็น GPS นำทาง
การเดินทางขากลับจะเร็วกว่าขาไปเสมอ ก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะของกินที่เราจัดการหมดแล้วที่แคมป์ทำให้กระเป๋าเบาลงเยอะ ไม่ถึง 3 ชั่วโมงเราก็กลับมาถึงจุดเริ่มต้น ในใจนึกขอบคุณในความใจง่ายของตัวเองที่ซื้อตั๋วมาก่อน ไม่งั้นคงไม่ได้มาทริปนี้ ไม่คิดว่าการที่มาตามหาน้ำตก ที่ตอนแรกคิดแค่ว่าหาอะไรทำแก้ว่างจะได้เป็นการปลดล็อคตัวเองออกจาก comfort zone มันอาจฟังดูยากลำบากแต่ถ้าลองเปิดใจดูก็จะได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ กลับไป
[ EXPLORERS ]
สปัน และผองเพื่อน