ไปให้สุดกับชุมชนท้ายเขื่อน บ้าน ไกรเกรียง ความน่ารักของผู้คน และความงดงามของทัศนียภาพตรงหน้าจะทำให้หัวใจพองโต สถานที่ที่ได้อยู่กับตัวเองและธรรมชาติแบบเต็ม ๆ นี่แหละคือการพักผ่อนที่แท้จริง ต่อให้เจ้านายจะคอลจะไลน์ยังไงก็ตามไม่เจอ!!!
บ้าน ไกรเกรียง หรือ ศร.9 เป็นหมู่บ้านสุดสงบหมู่บ้านหนึ่งที่อยู่บริเวณท้ายเขื่อนศรีนครินทร์ การเดินทางครั้งนี้พวกเราเดินทางจากกรุงเทพฯ ผ่านตัวเมืองกาญจนบุรี แล้วมุ่งหน้าตรงต่อไปยังอำเภอศรีสวัสดิ์
พอถึงปากทางเข้าหมู่บ้านพวกเราลองปักหมุดใน Google Map เล่น ๆ ดูจะใช้เวลาเดินทางแค่ 30 นาทีเท่านั้น แต่ความเป็นจริงพวกเราใช้เวลาเดินทางเกือบ 2 – 3 ชั่วโมง เพราะระหว่างทางบอกได้เลยว่าน้อง ๆ พื้นดวงจันทร์ เส้นทางที่เป็นดินลูกรัง มีหลุมเล็กหลุมใหญ่สลับกันจนรถโยกเยกเหมือนเล่นรถบั๊ม
ถ้าต้องการไปที่นี่แนะนำเลยว่าถ้าหากเป็นรถตู้แบบที่พวกเรานั่งมา ต้องดูสภาพของเส้นทางอีกที หากเป็นช่วงที่ฝนตกชุกรถตู้ของพวกเรา คงไม่สามารถไปได้เพราะสภาพถนนที่เป็นลูกรังจะกลายเป็นโคลนลื่น ๆ แต่ถ้าเป็นรถกระบะ หรือพวกตระกลูรถขับเคลื่อนสี่ล้อก็จะดีมาก
หลังจากเราเข้ามาตาม Google Map สัญญาณโทรศัพท์ก็เริ่มหาย สองข้างทางก็เริ่มเปลี่ยวขึ้นเรื่อย ๆ จนขับมาได้ประมาณชั่วโมงหนึ่งก็เจอกับป้าย “บ้านไกรเกรียง” โล่งใจไปหนึ่งที ถือว่ามาถูกทางและให้เลี้ยวซ้ายไปตามป้ายไปเลย
หมู่บ้านไกรเกรียงนี้เป็นชุมชนเล็ก ๆ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่นี่ส่วนใหญ่เป็นชาวกะเหรี่ยงโปว์ ต้องบอกก่อนว่าการจะติดต่อที่พักที่นี่จะค่อนข้างลำบากเนื่องจากสัญญาณโทรศัพท์ไม่มี แต่สามารถเข้ามาดุ่ม ๆ ได้เลยแบบไม่ต้องจอง ที่นี่มีแพของชาวบ้านที่เราสามารถไปอุดหนุนใช้บริการได้ จุดกางเต็นท์ก็มีอยู่หลายที่ แต่นะนำว่าควรแคมป์กันใกล้ ๆ แพ หรือที่พักของชาวบ้านไว้ก็จะสะดวกเรื่องห้องน้ำห้องท่า ชาวบ้านที่นั่นอัธยาศัยดี และน่ารักอย่าบอกใครเลย
แต่วันที่เราไปตรงจุดกางเต็นท์น้ำค่อนข้างแห้งเลยต้องเปลี่ยนแผนกระทันหันมากางบริเวณหน้าแพปทุมสูตรแทนโดยถ้าใครไม่อยากนอนเต๊นท์ก็สามารถเลือกมานอนบนแพได้เลย มีที่นอนหมอนมุ้งไว้บริการ ส่วนเรื่องราคาอยากแนะนำให้เลือกมากับทางชุมชนบ้านไกรเกรียงเพราะค่าใช้จ่ายเพียงคนละ 800 บาท ต่อคนนี้รวมทั้งค่ารถรับส่งจากจุดที่รถเก๋งมาไม่ได้ ค่าแพ ค่านั่งเรือชมวัดปากลำขาแข้งและค่าอาหารต่าง ๆ ซึ่งถือว่ามันคุ้มมาก แถมได้กระจายรายช่วยคนที่นี่อีกด้วย
กลางคืนของที่นี่บรรยากาศเงียบสงบมากและถ้าพวกเราโชคดีมาจังหวะที่ฟ้าเปิด เราจะได้เห็นทางช้างเผือกได้แบบเต็มตา และควรตื่นแต่เช้าเพื่อสัมผัสกับอากาศที่เย็นสบาย ภาพของไอหมอกที่ถูกโอบล้อมไปด้วยเทือกเขา กับคนหาปลาคือสิ่งที่เราเห็น
และกาแฟดริปคงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการตั้งแคมป์ของพวกเราในครั้งนี้ “โคตรได้ฟีล” คงเป็นคำที่สื่อสารความรู้สึกประทับใจได้ออกมาดีที่สุดกับยามเช้าของที่นี่
อีกหนึ่งสิ่งที่อยากให้ลองสำหรับการมาที่นี่ ”ขนมทองโย๊ะ” เป็นขนมพื้นบ้านของคนที่นี่เลย ซึ่งส่วนมากจะเป็นขนมมงคงที่ใช้ในงานมงคลและผู้ใหญ่บ้านเล่าให้ฟังอีกด้วยถ้าบ้านไหนไม่มีเงินสามารถใช้ขนมนี้แทนค่าสินสอดในการแต่งงานได้ด้วย อยากจะบอกว่ามันเข้ากันกับกาแฟของพวกเรามาก ๆ
ถ้าใครอยากเอ็นจอยกับกิจกรรม Adventure ถ้าสามารถบรรทุกเรือ หรือ SUP มาได้แนะนำเลยว่าสนุกมาก และกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่าที่นี่สวยไม่แพ้ที่ไหนเลย
หลังจากแสงแดดและอุณหภมิเริ่มสูงขึ้นพวกเราก็เก็บข้าวเก็บของ มาลองเที่ยวดูอาชีพและวิถีชีวิตของคนในที่นี่กันต่อ เริ่มต้นด้วยการทอผ้าเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่มีกันมาอย่างยาวนาน โดยเสื้อผ้าที่ทอนั้นส่วนมากก็จะเอาไว้ใส่เองในหมู่บ้าน และอาจจะมีส่งออกไปขายบ้างเล็กน้อย ต่อมาเราก็นั่งรถมายังบ้านข้าง และเจอคุณลุงที่กำลังทำตะกร้าหวาย ซึ่งตะกร้าพวกนี้สามารถใช้งานได้เอนกประสงค์มาก รับรองว่าแข็งแรงลุงคอนเฟิร์ม
การมาเที่ยวเขื่อนแบบนี้เมนูปลาเป็นอะไรที่ขาดไม่ได้ นอกเหนือจากรสชาติของเนื้อปลาที่ฉ่ำหวานจากความสดแล้ว ยังมีเมนูพื้นบ้านให้เราเลือกลองด้วย ผัดเผ็ดไก่บ้านก็สุดยอด แต่เมนูที่ทีมงานทุกล้วนยกนิ้วให้คะแนนเต็มร้อย ก็คงเป็นเมนูปลาหวาน ที่ได้จากปลาลูกผสมระหว่างปลาสหวายและปลาบึก ประทับใจจันต้องหอบใส่ถูกกลับบ้านแบ่งกันไปคนละถุงสองถุง ใครมาแล้วต้องลอง
นอกเหนือจากธรรมชาติ และชุมชนแล้ว ที่นี่ก็มีแหล่งท่องเที่ยวสุดอเมซิ่งเชิงวัฒนธรรมให้ได้ชมกันด้วย “วัดปากลำขาแข้ง” ที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์ด้วย โบสถ์ เจดีย์ และพระพุทธรูปที่ทำจากสเตนเลส ที่เกิดจากแรงศรัทธาของชาวบ้านที่ช่วยกันบริจาคสร้างขึ้นมา แต่บอกไว้ก่อนว่าถ้าจะมาเที่ยวที่นี่ควรเตรียมหมวก และแว่นกันแดดไปด้วย เพราะต้องนั่งเรือโล่ง ๆ ไม่มีบังแดด ขาไปหนึ่งชั่วโมง และขากลับอีกหนึ่งชั่วโมง
จบทริป 2 วัน 1 คืนที่บ้านไกรเกรียงแล้ว ตอนแรกที่มาถึงนึกว่าจะไม่ค่อยมีอะไรให้ตื่นเต้น แต่วิวธรรมชาติและวิถีชีวิตของคนที่นี่ทำให้เรารู้สึกว่าเมืองไทยยังมีที่สวย ๆ แบบนี้ซ่อนอยู่อีกมากมาย ถ้าใครต้องการความสงบ หลบหนีความวุ่นวายของสังคมเมืองและผู้คนชั่วคราว การได้ห่างไกลจากโทรศัพท์มือถือ ไม่มีไลน์จากเจ้านายที่คอยตามงาน ได้เงยหน้ามองดาวนับล้านดวงในค่ำคืนที่มืดสนิท การได้สูดอากาศบริสุทธิ์ที่หาที่ไหนก็ไม่ได้ในเมือง การได้ยินเสียงรอบข้างที่ไม่ใช่เสียงรถยนต์ การได้พินิจอยู่กับตัวเอง ได้ลองมาใช้ชีวิตช้า ๆ อย่างแท้จริง
และสังเกตุสิ่งรอบข้างที่นี่ อาจจะทำให้คิดอะไรออก และได้แง่คิดบางอย่ากลับไป ถ้าชอบอะไรแบบนี้ที่นี่เหมาะมาก หรือถ้ายังไม่เคยลอง ก็อยากแนะนำให้มาลองใช้ชีวิตที่นี่ดูสักหน่อย รับรอง แล้วจะเลิฟ…..
การออกไปสำรวจและท่องเที่ยวชุมชนนี้เป็นส่วนหนึ่งในโปรเจ็กต์พิเศษที่บ้านและสวน Explorers Club ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ชักชวน 10 บล็อกเกอร์สายท่องเที่ยวออกไปประสบ ‘กาญจน์’ ใหม่กับ 12 หมุดหมายสำคัญด้านการท่องเที่ยวในจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อสัมผัสประสบการณ์หาจุดกางเต็นท์ ปีนเขา วิ่งเทรล ปั่นจักรยาน พายเรือคายัค และอีกหลากหลายกิจกรรมใน 5 อุทยานแห่งชาติ 2 เขื่อน 5 แม่น้ำที่จะทำให้การออกจากบ้านเที่ยวนี้ได้อะไรกลับมามากกว่าที่คิด
[ EXPLORERS ]
บาส, เฟี้ยต, ต้น, ปิง, นัท, หมวย และโจ้ จากเพจชาลี
ขอขอบคุณ :
Thailandoutdoor Shop พันธมิตรที่ดีกับสุดยอดน้ำใจที่เอื้อเฟื้อเรือคายัค
รวมถึงอุปกรณ์แคมปิ้งครบครันสารพัดให้พวกเราได้หยิบยืมกันตลอดทริปนี้
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 09-0927-7897
หรือที่เว็บไซต์ www.thailandoutdoorshop.com
ผู้ใหญ่บ้าน ณรงค์ อาชีวเกษตรกร ที่เอื้อเฟื้อและมีน้ำใจกับพวกเราตลอดทริป
หากต้องการรถมารับ หรือต้องการสอบถามรายละเอียดต่าง ๆ สามารถติดต่อได้ที่ 08-2248-7773
แนะนำให้โทรบ่อยสักนิดเพราะสัญญาณไม่ค่อยมี
หรือสามารถโทรติดต่อครูนัด ติดต่อ ครูนัด (ตัวแทน) ได้ที่ 06-5991-3583
แพประทุมสูตร คุณป้าลำดวน และคุณลุงสมใจ ประทุมสูตร
สำหรับความเป็นกันเองและการบริการด้วยใจ
โทร. 09-2425-4541 (คุณแจ็ค ลูกชาย)