ลำคลองงู ที่สุดของการผจญภัย ตื่นเต้น เร้าใจไปกับการกระโดดหน้าผาลอยคอตามกระแสน้ำ ลอดถ้ำมืดชมความงามของเสาหินขนาดมหึมาจากยุคดึกดำบรรพ์ สวยงามราวกับงานประติมากรรมที่รังสรรค์จากธรรมชาติ นี่คือมนต์เสน่ห์ของป่าฤดูร้อนที่สักครั้งในชีวิตต้องไปสัมผัสที่จังหวัดกาญจนบุรี
ลำคลองงู ฤดูกาลเที่ยว
ที่สุดแห่งการผจญภัย อุทยานแห่งชาติลำคลองงู จังหวัดกาญจนบุรี ในหนึ่งปีฤดูกาลท่องเที่ยวมีเพียง 2 เดือนเท่านั้นคือ มีนาคม-เมษายนของทุกปี ก่อนจะเตรียมตัวเที่ยวต้องโทรจองผ่าน อุทยานแห่งชาติลำคลองงู หรือจะไปจอยทริปกับคนอื่น ๆ ก็ง่ายไปอีกแบบ ควรเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการผจญภัยในฤดูร้อน แม้เส้นทางจะเดินไม่ยาก แต่ความชันของภูเขา แดดที่ร้อนระอุทำเอาหลายคนหมดแรง หยุดพักเหนื่อยตามไหล่ทางจนมีคำกล่าวที่ว่า “ 7 ภูกระดึงยังไม่เท่า 1 ลำคลองงู ”
รูปแบบการเที่ยว
รูปแบบที่ 1 ถ้ำเสาหิน (วันศุกร์) ถ้ำนกนางแอ่น (วันเสาร์) (จำนวน 2 วัน 1 คืน)
รูปแบบที่ 2 ถ้ำนกนางแอ่น (วันศุกร์) ถ้ำเสาหิน (วันเสาร์) (จำนวน 2 วัน 1 คืน)
รูปแบบที่ 3 ถ้ำนกนางแอ่น แบ่งเป็นรอบเช้าและรอบบ่าย (จำนวน 1 วัน)
โดยหนึ่งรอบแบ่งเป็น 12 กลุ่ม กลุ่มละไม่เกิน 10 คน และมีเจ้าหน้าที่ 1 คนคอยดูแล และผู้ช่วยเจ้าหน้าที่อีก 2 คนซึ่งเป็นชาวบ้านในพื้นที่ ไม่นับรวมกับกลุ่มท่องเที่ยวของเรา
คำแนะนำก่อนผจญภัย
เราเดินทางถึงลานกางเต็นท์ เวลา 04:00 น. กางเต็นท์นอนเก็บแรงอย่างไม่รอช้า 8 เต็นท์ล้อมรอบกันเป็นวงกลม รอเวลา 7 โมงเช้า ทานข้าวเช้าเตรียมความพร้อม ฟังคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่อุทยานสำหรับข้อควรปฏิบัติ และสิ่งที่ไม่พึงปฏิบัติ การเตรียมตัวเข้าถ้ำ 1. เสื้อแขนยาวกางเกงขายาวที่ควรเป็นผ้าชนิดแห้งไว 2. รองเท้าหุ้มข้อที่ควรมีดอกยางยึดเกาะพื้น 3. เป้กันน้ำสำหรับใส่อุปกรณ์ต่าง ๆ 4. ไฟฉายคาดหัวกันน้ำ เพราะในถ้ำมืดมาก 5. ไม่สวมของมีค่าต่าง ๆ เพราะอาจถูกเกี่ยวหายตามทางได้ 6. ต้องสวมชูชีพตลอด บางจุดน้ำลึกจนเท้าแตะไม่ถึงพื้น 7. ควรมีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์ แข็งแรงพร้อมเดินทาง และสิ่งที่ไม่พึงปฏิบัติ หากโดนผึ้งต่อยแล้วมีอาการผิดปกติต่อร่างกาย เช่น หายใจติดขัดให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่โดยด่วนห้ามฝืนตัวเองเพราะอาจเกิดอันตรายถึงชีวิต ห้ามเดินออกนอกเส้นทาง ควรเดินเรียงแถวทีละคน เพื่อป้องกันอันตราย และการหลงทาง ต้องเชื่อคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด
ผมขอยกข้อควรปฏิบัติ เพื่อการเดินป่าที่ยั่งยืนจาก “โรงเรียนนักเดินป่า”
- วางแผนสักนิด ก่อนคิดเดินทาง
- เดินเตร็ดเตร่จะหลงทาง เดินตามทางจะถึงจุดหมาย
- ขี้ต้องขุด หยุดทิ้งขยะ
- มีสิทธิแค่มอง แต่ครอบครองไม่ได้
- จะเล่นกับไฟ สิ่งที่ไหม้คือป่า
- สัตว์ป่าอย่าเข้าใกล้ เราปลอดภัยได้เพียงชม
- เอาใจเขามาใส่ใจเรา
ป่าเปลี่ยนตามความสูง
หลังจากฟังคำแนะนำของเจ้าหน้าที่แล้วเสร็จ เราแยกย้ายเตรียมอุปกรณ์ของตัวเอง นอกจากอาหารมื้อกลางวันแล้ว สิ่งสำคัญคือน้ำเปล่าควรเตรียมให้เพียงพอสำหรับการผจญภัยไป และกลับ หลังจากรอเจ้าหน้าที่เคารพธงชาติ 08:00 น. รถทั้งหมดค่อย ๆ ทยอยพานักท่องเที่ยวออกจากอุทยานไปที่ถ้ำเสาร์หิน เราแวะร้านค้าชาวบ้านซื้อน้ำแข็งเติมใส่กระติกน้ำหวังว่าหลังจากเดินกลับมาถึงรถจะได้น้ำเย็น ๆ ดับอากาศร้อน ๆ ที่ร่างกายเจอมาตลอดเส้นทาง
เริ่มเดินไต่ลงตามระดับความสูงลงสู่จุดต่ำสูงของภูเขา ทางเดินค่อย ๆ ชันลงสองข้างทางเป็นป่าเบญจพรรณแล้งสูงผสมไผ่โย่งยาวต้นเขียวสลับเหลือง ส่วนไม้ใหญ่ทิ้งใบกิ่งก้านร่วงแห้งตามพื้นเป็นแนวยาว เหมือนเป็นเชื้อเพลิงให้ไฟป่าได้อย่างดี มีพื้นดินดำแสดงหลักฐานทิ้งร่องรอยไหม้ไว้บ้าง ตลอดทางอากาศร้อนขึ้นตามระดับองศาของพระอาทิตย์ที่ลอยมาอยู่กลางหัวของเรา ถ้อยคำเป็นกำลังใจจากหัวหน้าทริปที่บอกเราว่าใกล้ถึงน้ำตกหน้าถ้ำแล้วอีกไม่ไกลมาก และเส้นทางช่วงสุดท้ายก่อนถึงน้ำตกหน้าถ้ำ เดินเพลิน ๆ ทางเดินจากดินกลายเป็นก้อนหินทั่วบริเวณพร้อมความชันที่มากขึ้น บางจุดต้องใช้เชือกช่วยเสมือนการโรยตัวของทหาร ต้นไม้รอบบริเวณจากป่าที่แห้งเริ่มเขียวชอุ่มขึ้น และไม่นานเสียงของน้ำตกก็แว่วผ่านหูมา และเมื่อเห็นน้ำตกกับแอ่งน้ำธรรมชาติ เราทุกคนค่อย ๆ หย่อนตัวลงไปดับความร้อนของร่างกายน้ำเย็นทำให้ร่างกายคลายความร้อนสบายตัวพร้อมผจญภัยต่อ ต้นน้ำฉ่ำเย็นเสมือนก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่พึ่งละลายจากความร้อนหมาด ๆ
ผจญภัยเข้าถ้ำหาเสาหิน
เมื่อถึงปากทางเข้าถ้ำที่ต้องสำรวจให้พบเสาหินที่เขากล่าวถึงกัน ผมสัมผัสได้ถึงการผจญภัยที่หาจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ด้วยลักษณะเป็นถ้ำหิน ความมืดเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคในการมองเห็น แต่ไฟฉายที่ทุกคนเตรียมมาพร้อมก็ช่วยให้พวกเรามองเห็นในที่มืดได้เป็นอย่างดี การเดินตลอดเส้นทางเป็นไปอย่างระมัดระวัง เจ้าหน้าที่ทั้ง 3 ท่านให้การดูแลเราทั้ง 10 คนเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการลอยคอในน้ำที่ต้องเกาะเชือกข้ามฝั่ง ผ่านกระแสน้ำที่ไหลแรง และข้ามโขดหินที่มีช่องว่างห่างกัน เสียงน้ำตกดังระงมอยู่ทั่วถ้ำ แต่ทันใดเสียงสัตว์เล็กแหลมคล้ายลูกหนูก็ดังขึ้น คนข้างหน้าผมขยับไฟฉายคาดหัวหันลำแสงตามหาต้นเสียง สูงลิ่วขึ้นไปบนผนังถ้ำพบเห็นฝูงค้างคาวส่งเสียงเล็ก ๆ ทักทาย หินที่ยื่นออกมาจากผนังผมจับแล้วรู้สึกสบายมือจึงหันแสงไฟส่องกระทบปรากฏเห็นลวดลายสวยงามเหมือนงานจิตรกรรมจากจิตรกรนามว่าธรรมชาติตวัดพู่กันรังสรรค์วาดให้สวย ไม่นานเราพ้นเนินก้อนหินใหญ่มาพบเข้ากับเสาหินขนาดมหึมา สูงตระหง่านจากพื้นดินถึงเพดานถ้ำ และว่ากันว่าเป็นเสาหินปูนที่มีความสูงมากที่สุดในโลกด้วยความสูงที่ 62.5 เมตร นี่คืองานปติมากรรมชิ้นเอกของธรรมชาติจากโลกยุคดึกดำบรรพ์
เดินกลับจนตัวแห้ง
พวกเราทั้งคณะออกมาจากถ้ำเดินกลับคนละเส้นทางเพื่อมาโดดน้ำจากหน้าผาที่ความสูงราว 3 เมตร จริง ๆ แล้วมนุษย์ที่ใช้ชีวิตบนพื้นราบอย่างผมไม่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ก็ได้ แต่บางครั้งชีวิตก็ต้องการสิ่งที่ท้าทายอยู่เสมอ จากลีลากระโดดน้ำของบรรดาพวกผู้ชายก็พอจะเดาได้ว่าทำไมผู้ชายถึงมีอายุสั้นกว่าผู้หญิง ฮ่า ๆ หลังเล่นน้ำอย่างหนำใจก็ได้เวลาพักกลางวันทานข้าว รอพระอาทิตย์คล้อยลงสักหน่อยให้พลังงานความร้อนอันล้นเหลือได้ลดเบาลงบ้าง บ่ายสามโมงเป็นเวลาที่เราพร้อมเดินทางไต่เนินสูงกลับไปที่รถ ด้วยอากาศที่ร้อนน้ำจึงเป็นสิ่งสำคัญของการเดินป่าในหน้าร้อนเช่นนี้ และหากเหนื่อยมากควรพักให้หายเหนื่อยจนรู้สึกพร้อมมากที่สุดเสียก่อนแล้วค่อยเดินต่อเพราะเรามีโอกาสเป็น ฮีทสโตรกได้
เดินทางไปถ้ำนกนางแอ่น
วันที่สองเปลี่ยนเส้นทางการผจญภัย ไปสู่ถ้ำนกนางแอ่น เตรียมทุกอย่างพร้อมเหมือนกับวันแรก รวมถึงตรวจเช็คร่างกายตัวเองว่าพร้อมสำหรับการเดินทางต่อไป นั่งรถระยะทางไม่ไกลมากก็มาถึงจุดเริ่มเดิน ทางเดินเท้าเรียบง่ายกว่าเมื่อวานมาก ระหว่างทางเป็นป่าไผ่ส่วนใหญ่ และถึงแม้ว่าระยะทางสั้นแต่เป็นการเดินเท้าเลียบหน้าผาที่ต้องเป็นแถวตอนเรียงหนึ่งแบบไม่มีการเดินแทรกกันแต่อย่างใด ทางเรียบสลับกับพื้นต่างระดับเป็นช่วงๆ ทำให้รู้สึกตื่นเต้น อาการเมื่อยตึงขาจากเมื่อวานมีแทรกเข้ามาบ้าง ป่ากล้วยเริ่มมีมากขึ้น เสียงน้ำตกแววมาถึงหูไม่นานเราก็เดินมาพบความใหญ่โตอันน่าพิศวงของถ้ำศิลปะจากธรรมชาติที่แตกต่างไปจากเมื่อวาน
โดดผาหินล่องน้ำไปตามกระแส
รอดถ้ำเข้าไปไม่ไกลนัก พบกับจุดกระโดดลงสายน้ำที่ไหลยาวไกลออกไปเป็นที่แรก กระแสน้ำพาตัวเราลอยคอยาวไปสู่จุดกระโดดต่อไป หลังจากนั้นพวกเราเดินเท้าต่อเพื่อไปสู่จุดกระโดดต่อไป ระหว่างทางปีนป่ายตะกายหินเล็กใหญ่แวะชมหินหน้าตาประหลาดซ้อนกันอยู่ เจ้าหน้าที่เตรียมพื้นที่สำหรับกระโดดจุดที่สูงที่สุดของวันนี้ ผมยืนอยู่ปลายหินที่มีความชันมาก จากขาที่เปียกน้ำทำให้ไม่แน่ใจว่าอาการสั่นนั้นเพราะมันหนาวหรือกลัวกันแน่ ว่าแล้วก็กระโดดลงไปท้าทายกับแรงดึงดูดของโลกอีกสักครั้ง หลับตาทิ้งตัวลงไปไม่นานนักผมก็จมต่ำอยู่ใต้ผืนน้ำ และลอยตัวขึ้นมาจากการพยุงของเสื้อชูชีพ จากความกล้า ๆ กลัว ๆ กลายเป็นความสนุกที่บางคนถึงกับขอกระโดดอีกรอบ เมื่อครบทุกคนเราก็ไหลไปตามกระแสน้ำอีกครั้ง เสียงหวีดร้องของกลุ่มอื่นที่กระโดดตามหลังมาก็ทำให้เราขบขัน ชวนให้นึกถึงช่วงเวลาน่าหวาดเสียวที่เพิ่งผ่านไปสด ๆ ร้อน ๆ
กลับสู่ที่พักเก็บของกลับบ้าน
เมื่อถึงปลายทางของสายน้ำพวกเราก็เดินเท้ากันต่อในเส้นทางกลักอีกเส้น พวกเราถึงรถอย่างปลอดภัย เส้นทางไม่โหดเหมือนวันแรกแต่ความสนุกเหลือล้นเกินคำบรรยายไปแล้ว บรรดานักเดินทางที่ร่วมสนุกทั้งสองวันเราต่างเป็นคนรู้จักของใครสักคนในกลุ่มที่ถูกชวนมาเที่ยว และการได้เจอกับคนอื่น ๆ สุดท้ายพอมารวมกลุ่มกันกลับกลายเป็นความสนุกที่แปลกใหม่ และจากแปลกหน้าสู่เพื่อนร่วมวงทานข้าวโดยปริยาย
AUTHOR & PHOTOGRAPHER : สิณ – กสิณ สนลา
GRAPHIC DESIGNER : ตูน-เรืองเพชร เวชวิทย์