เส้นทางเดินป่าระยะไกลชุมชนขุนน้ำเงา เส้นทางที่มีทางชันมากกว่าทางราบ มีทัศนียภาพที่หลากหลาย ตื่นเต้นทุกจุดพัก ใจเต้นหนักทุกย่างก้าว ถ้าร่างไม่พร้อมใจไม่ถึงอย่าเพิ่งมา ต้องบอกไว้ก่อนว่าหากตัดสินใจเข้ามาเดินเมื่อไหร่ ต้องดันจนจบลูกเดียว จะเลี้ยวกลับไม่ได้ ทางเส้นนี้ไม่ปราณีกล้ามเนื้อขา และต้องเพิ่งพาตัวเองอย่างเต็มที่
เพราะ เส้นทางเดินป่าระยะไกลชุมชนขุนน้ำเงา ไม่มีลูกหาบ ถึงทางจะไกลและเหนื่อยหนักแต่กลับอิ่มเอม จะได้เห็นกับตาตัวเองว่า คนและป่าเชื่อมโยงสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ได้ นี่คือเส้นทางที่ครั้งหนึ่งที่คุณต้องมาสัมผัส เส้นทางเดินป่าที่เชื่อมโยงชุมชน ป่า และนักเดินทางเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกล่อม ถึงแม้ทางจะโหดแต่ก็น่าโปรดปราน….
จัดของ
อาการตื่นเต้นปนกังวลทำผมเริ่มต้นไม่ถูกกับการจัดของใส่เป้สัมภาระ เพราะว่าต้องเตรียมตัวเดินทางในเส้นทางเดินป่าที่แม่ฮ่องสอน อำเภอแม่สวด ตั้งแต่ส่วนแรก (Part A) ไปจนจบเส้นทางดินป่าเส้นใหม่ที่ต้องเดินลึกเข้าไปถึงป่าต้นน้ำ ที่เป็นเส้นทางส่วนที่สอง (Part B) อีก 51 กิโลเมตร บนเส้นแบ่งของจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ และตาก
ผมพอจะรู้ถึงความโหดของที่นี่มาบ้างจากคำบอกเล่า เลยต้องทำอย่างไรก็ได้ที่ต้องจัดของให้เป้มันเบาที่สุด เพราะมันต้องอยู่บนหลังผมตั้งแต่ก้าวแรกไปจนก้าวสุดท้าย(ถ้าเดินจบ) แต่ด้วยประสบการณ์ที่เคยแบกเป้หนัก 24 กิโลกรัม เดินป่า 110 กิโลเมตรมาแล้ว ผมยังจำรสชาติความทรมานของมันได้ดี ครั้งนี้เลยตัดใจเอาไปแต่ของที่จำเป็นไปเท่านั้น
แต่ที่นี่ป่าไทยและไม่มีจุดเช็คพอยท์ให้เราได้เติมอาหาร ด้วยความกลัวอดตายไม่วายต้องเตรียมอาหารไปแบบเผื่อเหลือดีกว่าขาด กุนเชียง หมูรวนแห้ง ๆ ฝีมือแม่ อาหารฟรีซดราย และบรรดาอาหารสำเร็จรูปน่าจะพอประทังชีวิตได้จนเกือบจบทริป ขาดเหลือก็ขอปันจากเพื่อนร่วมทางแล้วกัน….
เส้นทางนี้เราจะเจอแหล่งน้ำระหว่างทางไม่มากนัก จะมีน้ำให้เติมแน่ ๆ ก็ตรงจุดที่พักแรม เพราะฉะนั้นการเตรียมน้ำให้เพียงพอระหว่างเดินทางนั้นสำคัญมาก ผมเป็นพวกประเภทกินน้ำเยอะเสียด้วย เลยจัดไป 3 ลิตร ต่อวันเผื่อทำอาหารนิด ๆ หน่อย ๆ สำหรับมื้อกลางวัน และเผื่อเหลือ (อีกแล้ว) ชุดยาจำเป็น เสื้อผ้า อุปกรณ์ต่าง ๆ รวมถึงขนมเคี้ยวทุกอย่างถูกกองอยู่เต็มเตียง
ผมหยิบมันเข้า ๆ ออก ๆ อยู่สองสามชั่วโมง ลองเอาเป้ขึ้นหลังดูรู้สึกว่าเบากว่าครั้งที่แล้วแน่นอน สุดท้ายก็เสร็จผมพร้อมเดินทางแล้ว แต่ด้วยความที่เป็น “บาส” เสียอย่าง ต้องลืมอะไรแน่ ๆ ใช่แล้ว เส้นทางนี้พวกเราต้องข้ามน้ำด้วย ผมยังไม่ได้เอาเสื้อผ้า และเครื่องนอนใส่ถุงกันน้ำเลยนี่หว่า….เอ้า รื้อเป้!!!!
สิ่งควรรู้ก่อนเดินป่า
ก่อนที่คุณจะไปเดินป่าที่ไหนก็แล้วแต่ มันมีเรื่องที่ต้องควรรับทราบ และควรปฏิบัติให้ถูกต้องสักเล็กน้อย
ด้วยหลักสากลง่าย ๆ 7 ข้อ ที่จะทำให้การเดินป่าท่องเที่ยวธรรมชาติของคุณ ราบรื่น รื่นรมย์ ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อเพื่อนร่วมทาง และธรรมชาติ
ข้อ 1
คุณต้องวางแผนเตรียมตัวกันสักเล็กน้อย ควรรู้บ้างว่าเส้นทาง อากาศ รวมถึงสัตว์ป่า และข้อบังคับหรือกฎระเบียบของพื้นที่ที่คุณจะไปว่าเป็นอย่างไรบ้าง อย่างน้อยจะได้เตรียมตัวเตรียมอุปกรณ์ไปให้เหมาะสม
ข้อ 2
เรื่องของระหว่างการเดินป่า ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะเดินออกนอกเส้นทางโดยไม่จำเป็น หากไม่ชำนาญทางอย่าหยุดถ่ายรูปเพลินจนเหลือตัวตนเดียว เดี๋ยวจะหลงทาง จากสนุกจะกลายเป็นเดือดร้อนกันทั้งบาง เป็นไปได้เดินเกาะกลุ่มกันไว้ เหนื่อยก็บอกเพื่อน ๆ ว่าอยากพัก อย่าไปกลัวเสียฟอร์มให้กลัวหลงทางแทนจะดีกว่า และควรตั้งแคมป์ในพื้นที่ที่กำหนดเอาไว้จะปลอดภัยที่สุด
ข้อ 3
จะถ่ายหนักต้องขุดหลุม และต้องมีความลึกอย่างน้อย 20 เซนติเมตรกำลังดี ทำธุระเสร็จควรฝังกลบให้เรียบร้อยแบบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ต้องวางกระดาษทิชชู่ทำสัญลักษณ์บอกถึงอะไรทั้งนั้น และกระดาษเปียกไม่ย่อยสลายไม่ควรทิ้งไว้เด็ดขาด การทำแบบนี้นอกจากจะดูสะอาดแล้วยังเป็นการเห็นอกเห็นใจนักเดินทางหลังจากเราด้วย ขยะทุกชิ้นเก็บให้เกลี้ยง เศษอาหารกินไม่หมดก็กลบฝังกันสัตว์ป่ามาคุ้ยเขี่ย การจากไปโดยไม่ทิ้งรอยอะไรไว้เลยหลังจากที่เราเก็บของคือเรื่องน่าภูมิใจอย่างหนึ่ง
ข้อ 4
นอกจากเศษดินที่ติดพื้นรองเท้า กับเสื้อผ้ามา คุณไม่ควรเอาอะไรจากป่ากลับไปทั้งนั้น ชื่นชมอย่างเดียวพอ
ข้อ 5
ก่อไฟเท่าที่จำเป็น และควรดับให้สนิทก่อนออกจากพื้นที่ ไฟป่าส่วนหนึ่งเกิดจากมนุษย์ต้องระวังให้ดีเรื่องนี้ซีเรียส
ข้อ 6
เว้นระยะห่างจากสัตว์ป่า ไม่ว่าคุณจะเจอตัวอะไรก็ตามอย่าเข้าใกล้เป็นอันขาด สัตว์ป่าทุกตัวมีระยะห่างของมัน หากไม่รู้ว่าต้องห่างเท่าไหร่ให้ยื่นมือออกมาสุดแขนแล้วชูนิ้วโป้งขึ้น แล้วลองหลับตาข้างหนึ่งดูถ้าคุณเห็นว่านิ้วโป้งคุณบังตัวสัตว์ป่ามิด นั่นแหละคือระยะปลอดภัย
ข้อ 7
ให้เกียรติเพื่อนร่วมทาง แบ่งปัน และไม่ส่งเสียงรบกวนใด ๆ เดินป่าแนะนำว่าอย่าพกลำโพงไปเปิดเพลงกันเลย หากเป็นคนมีเพลงในหัวใจจริง ๆ ก็ให้ใส่หูฟัง ฟังคนเดียวดีที่สุด เพลงของเราอาจจะไม่เพราะสำหรับคนอื่นก็ได้ นอกจากให้เกียรติเพื่อนร่วมทางแล้ว การเคารพสถานที่ก็เป็นเรื่องควรทำ คิดเสียว่าเราคือสิ่งแปลกปลอม และแขกแปลกหน้าที่เข้ามาบ้านคนอื่น รบกวนสถานที่ให้น้อยที่สุดคือเรื่องดี
หลักการที่ผมว่ามาไม่ได้อยู่ ๆ จะคิดเองลอย ๆ แต่มันคือหลักปฏิบัติที่นักเดินป่าทั่วโลกเขาใช้กัน และเป็นข้อมูลเดียวกันกับที่โรงเรียนนักเดินป่าเขาใช้เลยทีเดียว
ครึ่งแรก
เราใช้เวลาเดินทางจากเมืองกรุง 11 ชั่วโมงโดยประมาณ แล้วมาพักกันที่ตัวเมืองแม่สะเรียงล่วงหน้าหนึ่งคืน หลังจากนั้นนักเดินทางทั้งหมดจะไปรวมตัวกันแถว ๆ หน้าทางเข้าอุทยานแห่งชาติแม่เงา เพื่อขึ้นรถขับเคลื่อนสี่ล้อของชาวบ้านไปที่จุดเริ่มเดินแรกที่ ‘บ้านแม่ปะ’ หลังจากที่เราหัวสั่นหัวคลอนกันอยู่หลังรถกระบะมาพักหนึ่ง ก้าวแรกก็เริ่มต้นขึ้น
อาการเมารถนิด ๆ ทำผมซึมหน่อย ๆ แต่สุดท้ายหายเป็นปลิดทิ้ง ด้วยคำขู่เกี่ยวกับความยากเย็นของเส้นทางนี้จากเพื่อนร่วมทางที่เคยมาที่นี่แล้ว ผมเลยตัดสินใจว่า “กูไม่ซึมก็ได้” ในครึ่งแรกนี้เราจะเดินกัน โดยใช้เวลา 4 คืน 5 วัน จากแม่ปะ, ม่อนกองข้าว (จอลือคี), ดอยธง, แม่หาด (หมื่อฮะคี) และไปจบครึ่งแรกที่บ้านสบโขง ปลายทางในครึ่งแรก
วันแรกพวกเราเดินกันไม่ถึง 10 กิโลเมตร จากที่ผมจินตนาการไว้ว่าโหด ปรากฎว่าไม่เท่าไหร่นี่หว่า! เส้นทางก็มีขึ้น ๆ ลง ๆ ตามประสาเส้นทางภูเขา แต่ก็ไม่ถึงขนาดโอดครวญสักเท่าไหร่ บรรยากาศที่ม่อนกองข้าวถือว่าสวยมาก เนินบนนั้นทำให้เราได้ชื่นชมความงามของพระอาทิตย์ตกและขึ้นได้อย่างดี
บรรยากาศสีอมน้ำตาลของฤดูแล้ง ที่ถูกฉาบด้วยแสงสีทองของพระอาทิตย์กำลังตกดิน มันย้อมทุกสิ่งของพื้นที่ให้คลุมโทนเป็นหนึ่งเดียวกันไปเสียหมด ‘นี่อาจเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่นาทีที่ทำให้เรารู้สึกถึงการเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้แบบไม่แปลกแยกกับอะไรเลย’
ท้องฟ้ามืดสนิทพระอาทิตย์แตะมือกับดวงดาว คืนนี้มันสวยจนอยากนั่งมองท้องฟ้าจนหลับ ถ้าอากาศไม่เย็นยะเยือกเกินไปผมอาจจะนอนนอกเต็นท์ก็ได้ เราจบวันแรกได้สวยงามแบบแรงเหลือ ๆ พวกเราตัดสินใจเข้านอนกันตั้งแต่หัวค่ำ ด้วยความไม่แน่ใจว่าเพลียหรือไม่มีอะไรทำ แต่สุดท้ายก็แยกย้ายกันมุดเข้าเต็นท์ต่างคนต่างกรน….…
ไหนว่าโหดไง
ก้าวแรกของพวกเราในวันที่สองเริ่มต้นกันที่ประมาณแปดโมงเศษ วันนี้เส้นทางชันและไกลกว่าเดิมเล็กน้อย โดยรวมแล้วไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก ผมเดินไปคุยไปกับเพื่อนร่วมทางพอทำให้ลืมเหนื่อยได้บ้าง ในมื้อกลางวันทุกคนค่อนข้างเตรียมตัวมาอย่างดี ส่วนใหญ่จะเป็นข้าวเหนียวที่กินกับไก่ทอด หมูฝอย เนื้อเค็ม หรือบรรดาของแห้งสารพัด
ส่วนผมก็ได้วางแผนสำหรับอาหารกลางวันมาอย่างดีเหมือนกัน ขนมปัง หมูหยองและน้ำพริกเผาแบบหลอดถูกใส่ไว้ช่องบนสุดของกระเป๋าเพื่อความสะดวก มันถูกหยิบออกมาโดยที่ผมไม่ต้องรื้อกระเป๋าและใช้อุปกรณ์อะไรให้วุ่นวาย ที่สำคัญผมไม่ต้องใช้น้ำในการประกอบอาหารเลย ตุนเอาไว้ดื่มระหว่างทางได้อีกนิด ผมจับมันทั้งสามอย่างผสมกันออกมาได้เมนูขนมปังหมูหยองน้ำพริกเผา ถ้าอยู่บ้านเราแทบไม่ได้คิดจะทำอะไรแบบนี้กินเลยด้วยซ้ำ เราคงเลือกได้สารพัดเมนู และกดสั่งมันอย่างง่าย ๆ โดยการจิ้มมือถือไม่กี่ที ก็พร้อมเสิร์ฟถึงหน้าบ้านแล้ว
แต่ในช่วงเวลาแบบนี้มันคือที่สุดแห่งความอร่อย ขนมปังสี่แผ่นมันพอทำให้อิ่มท้องเดินต่อไปได้ถึงปลายทาง ดูเหมือนการปรับตัว และการลดความเรื่องมากของตัวเองลงในตอนนี้ ก็ทำให้ชีวิตไปต่อได้อย่างสบาย ๆ ไม่วุ่นวายดีเหมือนกัน
วันนี้พวกเราถึงที่หมายในแบบที่ผมไม่ทันตั้งตัว เดินไปคุยไป เอ้า! ถึงเสียแล้ว เส้นทางวันนี้ไม่เห็นจะโหดอะไรมากมายสักเท่าไหร่ ไม่เป็นอย่างที่เพื่อนขู่เอาไว้สักนิด วิวที่ดอยธงไม่ธรรมดา ทิวเขาสลับซับซ้อนไกลสุดลูกหูลูกตาสวยงามราวกับภาพวาดจากภู่กันจีน
เราตั้งแคมป์กันที่สันเขา ตรงนี้มีพื้นที่ราบพอสมควรให้เรากางเต็นท์กันได้อย่างสบาย และเหมือนเดิม หลังข้าวเย็นเราตั้งวงสนทนากันเล็กน้อย และเข้านอนตอนสามทุ่ม ในเวลานี้ถ้าเป็นที่กรุงเทพฯ ก็คงรถติดอยู่ที่ไหนสักแห่งระหว่างทางกลับบ้าน หรือไม่ก็นั่งเล่นโทรศัพท์ไม่คุยกับมนุษย์สักคน
แต่ทริปนี้ถ้าไม่ได้คุยกับเพื่อนร่วมทาง ก็ได้คุยอยู่กับตัวเอง ซึ่งถือเป็นเรื่องดี บางทีเราก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าเราขาดการปฏิสัมพันธ์ทั้งกับตัวเอง และคนรอบข้าง เราต่างคนต่างใช้เวลาอยู่กับจอมือถือมากเกินไปทั้ง ๆ ที่มีคนนั่งข้าง ๆ ด้วยแท้ ๆ มัวแต่ก้มหน้ามองจอแทนที่จะเงยหน้าสบตาแล้วมาคุยกันซึ่งมันดีกว่าเป็นไหน ๆ
ของจริงเพิ่งเริ่ม
วันที่สามปลายทางของพวกเราอยู่ที่ ‘บ้านแม่หาด’ และวันนี้เราจะได้อาบน้ำไม่ดองเค็มอีกต่อไปแล้ว พี่งบวาดมือชี้ไล่ไปตามสันเขาแล้วมาสิ้นสุดตรงทิวเขาไกลลิบสีจาง ๆ ตรงหน้า “คุณเห็นกลุ่มต้นไม้คล้าย ๆ ดอกเห็ดตรงโน้นมั้ย วันนี้เราจะเดินไปที่นั่น” ฮะ! ที่นั้น!!! นั่นคือปลายทางของเราในวันนี้จริงเหรอ แค่เห็นเส้นทางก็พอรู้แล้วว่าการเดินทางของวันนี้หนังชีวิตแน่นอน ผมก็ได้แต่ส่งยิ้มแห้ง ๆ กลับไป 19 กิโลเมตรภูเขา คือระยะทางของวันนี้
ผมจะไม่โอดครวญเลยถ้าระยะทาง 19 กิโลเมตรที่ว่านั่นมันเป็นทางราบ แต่นี้คือภูเขาล้วน ๆ เส้นทางของสองวันที่ผ่านมามันหลอกผมสนิทใจว่าเส้นนี้ไม่เห็นโหดเหมือนคำขู่ หารู้ไม่วันนี้ต่างหากคือของจริง!
ความสูงเหนือระดับน้ำทะเลเกือบ 2,000 เมตร ความชันแบบกล้ามเนื้อขาตะโกนขอชีวิต และความไกลแบบหอบแล้วหอบอีกจนปอดโยก ทำให้วันนี้พวกเราไม่ค่อยหัวเราะเท่าไหร่ส่วนใหญ่ใช้เวลาหมดไปกับการฟังเสียงลมหายใจของตัวเองที่มันดังชัดกว่าปกติ ผมได้แต่ก้มมองเท้าคนข้างหน้ามากว่ามองวิว ทางภูเขาเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง กล้ามเนื้อขาปรับโหมดไม่ทัน ขาสั่นพั่บ ๆ องศาของการโน้มตัวไปข้างหน้ามากกว่าหอเอนปิซ่าทำให้ตอนนี้ผมเหมือนกำลังทำท่า Anti Gravity อันโด่งดังของไมเคิล แจ็คสัน อะไรแบบนั้น จะต่างกันก็ตรงที่ไมเคิลแค่โน้มตัวไปเฉย ๆ ไม่ต้องเดินขึ้นเขาแบกเป้หนัก ๆ เหมือนผม
วันนี้เราได้เดินผ่านหมู่บ้าน ร้านค้าในชุมชนกลายเป็นศูนย์รวมวัยรุ่นเดินป่าทันที มันคือ Super Market ชั้นยอดที่ให้เราได้กระหน่ำเครื่องดื่มชูกำลังและน้ำอัดลมหลากสี พร้อมกับการเติมเสบียงได้เท่าที่ใจปราถนา ถ้าใครจะไปเดินป่าแล้วคิดว่าเงินไม่จำเป็น มาถึงตรงนี้คุณกำลังคิดผิดอย่าใหญ่หลวงครับบอกเลย พกแบ็งค์ย่อยติดตัวไว้บ้างสักสี่ห้าร้อยก็จะดี อย่างเอามาสองร้อยแบบผมเลยนะขอร้อง ไม่พอหรอกครับ…
ดินแดนอาทิตย์ลับไป
วันนี้ผมเจอของจริงเข้าแล้ว เส้นทางทั้งไกลและชันไม่ใช่เล่น ดูเหมือนว่าการเดินทางของวันนี้จะเป็นระยะทางต่อวันที่ไกลสุดของเส้นทางนี้แล้ว ถึงแม้เราได้เติมน้ำหวานให้ชื่นใจกันที่หมู่บ้าน เราก็เหนื่อยกันเกือบขาดใจอยู่ดี เราเดินขึ้นเนินจนรู้สึกว่าเหมือนมันไม่มีที่สิ้นสุด “นี่เราจะเดินขึ้นไปสูงถึงไหนกัน ดวงจันทร์งั้นเหรอ!!” ผมเริ่มคิดในใจ
บ้านแม่หาดมีชื่อภาษาถิ่นว่า “หมื่อฮะคี“ แปลไทยได้ว่า “ดินแดนอาทิตย์ลับไป” ฟังดูโรแมนติกไม่เบา ฟังจากชื่อที่นั่นคงมีพระอาทิตย์ตกดินที่สวยกว่าใคร แต่ไม่เลย!! มันเป็นคนละเรื่องกับที่คิดไว้อย่างสิ้นเชิง “ดินแดนอาทิตย์ลับไป” ในที่นี้มันกลับหมายถึง “ดินแดนที่เดินไปถึงพระอาทิตย์ก็ตกดินเสียแล้ว“ หรือเอาแบบภาษาเพื่อนฝูงที่เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ “ไกลฉิบหาย” นั่นเอง สมชื่อครับ! ตอนนี้ผมเดินมาไกลจนกล้ามเนื้อขาผมฉิบหายหมดแล้ว…..
แต่ในที่สุดจนแล้วจนรอดพวกเราก็พาร่างอันสะบักสะบอมมาถึงบ้านแม่หาดจนได้ เราได้เฉาก๊วยเย็นฉ่ำ น้ำอัดลมใส่น้ำแข็ง อาหารเย็นโคตรอร่อยจากฝีมือชาวบ้าน และการอาบน้ำเป็นของรางวัลสุดเลอค่าสำหรับวันนี้
บริเวณที่เราแคมป์วันนี้เป็นลานของโรงเรียนบ้านแม่หาด สถานที่กว้างขวางเลือกที่กางเต็นท์กันได้ตามสะดวก บางทีอาจมีห้องเรียนว่างพอให้เข้าไปปูเบาะนอนได้เลยแบบไม่ต้องกางเต็นท์ ก็แล้วแต่ใครสะดวกแบบไหน วันนี้พวกเราจับกลุ่มคุยกันดึกหน่อย แต่ตอนนี้ไม่ว่าคุณจะเป็นใครมาจากไหนแตกต่างกันสักเท่าไหร่ เส้นทาง 19 กิโลเมตรภูเขา จากดอยธงมาแม่หาดทำให้เราทุกคนเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือการเดินขากะเพลกไม่เป็นท่าสักคน มองไกล ๆ ท่าเดินพวกเรามีความคล้ายฝูงซอมบี้อยู่เหมือนกัน…
ทุ่งสังหาร
ความทรมานเริ่มต้นใหม่อีกครั้งในวันรุ่งขึ้น ดูเหมือนว่าท่าเดินแบบซอมบี้ของทุกคนหายแล้ว วันนี้เราจะเดินลงเป็นส่วนใหญ่ ฟังดูดี แต่ไม่ดีเลย เพราะทางลงนั้นโคตรชัน ชันในแบบที่หากคุณเผลอสะดุดหน้าทิ่ม คุณจะบินลงไปด้านล่างแบบเร็วกว่าใคร เพราะฉะนั้นช่วงขาลงนี้ต้องระวังเป็นพิเศษ หลังจากนั้นคุณจะเดินผ่านทุ่งนาโล่ง ๆ ในตอนเที่ยงวันพอดี ช่วงเวลานั้นคุณจะเริ่มเข้าใจถึงความรู้สึกของเนื้อบนเตาย่างว่ามันจะรู้สึกอย่างไร
วันนี้ระยะทาง 16 โลเมตร ก็ถือว่าเอาเรื่อง ผมพยายามไม่คิดมากตอนนี้ถ้าคิดจะหันหลังกลับมันสายเกินไป จงก้มหน้าก้มตาเดิน จิบน้ำบ่อย ๆ อย่าปล่อยให้หิว ขนมขบเคี้ยวต้องมาแล้วเวลานี้ กล้วยตากคือท่าไม้ตายที่ผมจะงัดมาจากกระเป๋าคาดเอวเมื่อยามจำเป็น หวานชื่นใจ ให้พลังงาน และอยู่ท้อง เพาเวอร์บาร์สายพันธ์ไทยแบบนี้แนะนำว่าติดตัวเอาไว้มันช่วยชีวิตเราได้ในสภาวะร้อนระอุแบบนี้ แต่ถ้าคุณเป็นคนชอบอาบแดดละก้อ อย่าใช้คำว่าสมใจเลย ใช้คำว่าสาสมดีกว่า
หลังจากที่เราผ่านพ้นทุกอย่างมาได้ เราจะพบกับปลายทางที่บริเวณตั้งแคมป์อยู่ริมแม่น้ำ มีห้องน้ำสะอาด ๆ ไว้บริการนักเดินทาง ในหมู่บ้านมีร้านกาแฟ ร้านค้า และร้านก๋วยเตี๋ยวรสเด็ดของชาวบ้าน บรรยากาศที่นี่มันชวนให้คิดว่าการเดินทางสิ้นสุดลงแล้วจนอยากทิ้งตัวอยากนอนนิ่ง ๆ ในบรรยากาศดี ๆ แบบนี้สักสองคืนที่ “สบโขง” ในที่สุดพวกเราก็ผ่านมาแล้ว 50 กิโลเมตรแรก มาถึงตรงนี้คุณมีสิทธิ์เลือกได้ว่าจะไปต่อ หรือพอแค่นี้ หากคุณตัดสินใจเริ่มต้นกิโลเมตรที่ 51 แล้วจะหันหลังกลับไปก็หมดสิทธิ์
เส้นทางแห่งป่าต้นน้ำ
เส้นทางของครึ่งหลังต้องใช้เวลาอีกสี่คืนเหมือนเส้นทางครึ่งแรก และวิวจะแตกต่างออกไปเส้นทางนี้พวกเราต้องลุยน้ำ เดินป่าทึบบนสันเขา จะได้เห็นต้นไม้จะใหญ่ และป่าจะรกขึ้นกว่าเส้นแรก มีหลายจุดต้องหยุดฟันทางไปเดินไป คราวนี้แหละคุณต้องเดินเกาะกลุ่มให้ดีเพราะมีสิทธิ์หลงได้ง่าย ๆ เพราะทางยังไม่ชัดเท่าไหร่
ถึงเส้นทางจะต่างไปแต่ความทรมานไม่ต่างกัน ชีวิตยังคงขึ้น ๆ ลง ๆ เนินอยู่เป็นว่าเล่น ทีพาแหล่, ปอคุโจ, ดอยงง และปลายทางบ้านห้วยยาว คือเส้นทางค้างแรมของเราในครั้งนี้ ทัศนียภาพจะแปลกออกไปอย่างชัดเจน มันน่าตื่นเต้นขึ้นกว่าเดิม เส้นทางนี้เราจะได้เห็นต้นน้ำของแม่น้ำแม่เงา
และพวกเราจะได้สัมผัสถึงความเป็นป่าต้นน้ำอย่างแท้จริง
ไกล
เส้นทางจากสบโขงไปทีพาแหล่ต้องข้ามน้ำ วันนี้รองเท้าเราจะต้องเปียก และมันจะชิ้นแฉะไม่แห้งไปจนถึงปลายทาง ผมแนะนำว่าอย่ากลัวเท้าเปียกให้กลัวเท้าเจ็บจะดีกว่า ผมเลือกที่จะไม่เปลี่ยนรองเท้าแตะลุยน้ำเด็ดขาดเพราะเราไม่รู้เลยว่าในน้ำจะเดินเหยียบกับอะไร และบางจุดที่กระแสน้ำแรงมันจะพัดอะไรมาใส่เท้าเราบ้าง และที่แน่ ๆ คือหินต่อให้ก้อนเล็ก หรือก้อนใหญ่ หินก็คือหินมันแข็งฉิบหาย ถ้าเผลอไปเตะมันนิ้วเปิดขึ้นมา ทุกย่างก้าวหลังจากนั้นคือหนังชีวิตแน่นอน ต่อให้มีบัตรทองสามสิบบาทตอนนี้ก็หาที่รักษาไม่ได้ ไม่คุ้มครับผมของยอมเท้าเปียกดีกว่า
วันนี้เราลุยน้ำข้ามไปข้ามมาเหมือนไม่มีวันจบสิ้น แต่ต้องบอกว่าทัศนียภาพของวันนี้อย่างกับหนังแฟนตาซีพจญภัย คุณลองคิดถึงลำน้ำกว้าง ๆ มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นเต็มไปหมด บางจุดมีน้ำตก และมีมอสและเฟิร์นคลุมพื้น เส้นทางวันนี้ไกลไม่แพ้วันอื่น แต่กลับรู้สึกสนุก และเพลินอย่างบอกไม่ถูก เส้นทางมันสวยจนบางจุดผมอยากจะกางเต็นท์นอนมันเสียตรงนั้นให้รู้แล้วรู้รอดไป
ถ้าคุณมีเครื่องกรองน้ำติดตัวไปด้วยหายห่วงสำหรับวันนี้ มีน้ำฟรีเติมไม่อั้น และสิ่งที่ผมสัมผัสได้อีกอย่างเมื่ออยู่ในป่าดิบก็คือความเย็น อากาศในป่าขนาดเป็นเวลาเที่ยงวันแดดจัดมันก็ยังเย็นสบายอย่างไม่น่าเชื่อ มันดูชุ่มฉ่ำไปเสียหมด
พวกเราข้ามน้ำกันเป็นว่าเล่น ตั้งแต่ความสูงระดับตาตุ่ม หน้าแข้ง ไปจนเกือบถึงเอวก็มี เรียกว่าแฉะกันไปตลอดวัน จุดแคมป์ของพวกเราวันนี้โลเคชันสวยไม่เบาเนินสนามหญ้าเล็ก ๆ ริมลำธารบรรยากาศดีสุดบรรยาย หลังจากอยู่ด้วยกันหลายวันพวกเราเริ่มพูดคุยกันมากขึ้น เราใช้เวลาในช่วงเย็นกันนานขึ้น คนแปลกหน้าเปลี่ยนสถานะกลายเป็นเพื่อน ถึงบางคนจะจำชื่อกันไม่ได้แต่ก็สิ่งยิ้ม และพร้อมที่จะแบ่งปันขนม และอาหารอันจำกัดให้แก่กันเสมอ
เราไถ่ถามกันถึงอาการบาดเจ็บจากรองเท้ากัด และช่วยกันปฐมพยาบาล เราต้มและกรองน้ำใส่กระบอกคนอื่นก่อนใส่ของตัวเอง นี่คือช่วงเวลาที่หาแทบไม่ได้เลยในชีวิตปกติ ดูเหมือนว่าเส้นทางไกลที่เราเดินมามันพาเราออกมาไกลจริง ๆ ด้วย มันพาเราออกมาไกลจากโลกปกติ โลกที่เราต่างนึกถึงแต่ตัวเอง โลกที่ชอบแบ่งฝ่าย และลืมไปว่าแท้จริงแล้วลึก ๆ เราทุกคนต่างเป็นคนมีน้ำใจ
ต้นน้ำและป่าดิบ
หลังจากทีพาแหล่ พวกเราใช้ชีวิตและเดินขึ้น ๆ ลง ๆ กันในวิวป่าดิบอีกสองคืนติด และผมประมาทเกินไปกับอากาศของที่นี่ทำให้เครื่องนอนที่เตรียมมาให้ความอบอุ่นไม่เพียงพอ ผมหลับ ๆ ตื่น ๆ ด้วยความหนาวตลอดคืน ซุกตรงนั้น นอนขดท่านี้ มันก็อุ่นไม่พอจนผมต้องเอาเป้มาทับบนตัวอีกที และหยิบกางเกงเดินป่าสุดเขรอะมาสวมทับอีกชั้น อะไรก็ตามที่เป็นผ้าผมจับเอามาห่มให้หมด ก็พอช่วยเพิ่มความอบอุ่นได้บ้าง แต่จะว่าไปหนาว ๆ แบบนี้มันก็ทำให้สดชื่นดีเหมือนกันในตอนเช้า ผมค่อนข้างแน่ใจว่าเวลาเกือบสัปดาห์ที่อยู่ในป่าปอด และโพรงจมูกของผมมันไม่ได้แบกรับภาระจากฝุ่น PM2.5 เลยแม้แต่น้อย ผมสามารถสูดหายใจลึก ๆ ได้เต็มปอดแบบสบายใจ
ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงต้นน้ำที่ว่าแล้ว ไหน! ขอผมไปดูให้เห็นกับตาหน่อยว่ามันเป็นอย่างไร
ไม่ห่างจากจุดที่เราพักนัก ผมเดินลงไปพบกับดงกล้วยป่า และสัมผัสได้ทันทีถึงความเย็นชุ่มชื้น ผมเห็นสายน้ำเล็ก ๆ ไหลมาตามซอกหินเป็นทาง ได้ลองตักดื่ม รสชาติมันหวานนิด ๆ ไม่มีกลิ่น เย็นฉ่ำและใสแจ๋ว นี่ผมกำลังดื่มน้ำจากต้นทางแม่น้ำแม่เงาอยู่หรือนี่…..
เส้นทางที่เราเดินผ่านมาจะเจอห้วยเล็กห้วยน้อยกันตลอดทาง บรรดาห้วยพวกนั้นมันไหลมารวมตัวกันจนในที่สุดก็กลายเป็นสายน้ำใหญ่ให้คนใช้ และดื่มดำรงชีพ… ต้นน้ำไม่มีวันหมดถ้ามีป่า และป่าคือต้นไม้ ต้นไม้ทำหน้าที่เหมือนเป็นตัวนำความชุ่มชื้นลงสู่ดิน และต้นไม้มันยังช่วยลดความร้อนจากแสงของดวงอาทิตย์ได้อย่างดี นั่นคือเหตุผลที่ผมเดินในป่าตอนเที่ยงแล้วยังรู้สึกว่าเย็นสบายอยู่ ป่าต้นน้ำไม่ควรหายไป และแหล่งน้ำก็ไม่ควรมีพิษครับ
หากป่าถูกทำลายนั่นหมายถึงต้นน้ำก็หายไป หากต้นน้ำทยอยหายไปเรื่อย ๆ สายน้ำที่รวมตัวกันลดลง สักวันแม่น้ำก็แห้งเหือด เมื่อถึงวันนั้นมนุษย์น่าจะลำบากสุด พวกเราทุกคนต่างรู้ดีถึงความสำคัญของต้นไม้ และป่ามาตั้งแต่เรียนประถม แต่น่าแปลกใจทำไมวันนี้จำนวนป่ามีแต่จะลดลง โคตรงงเลยครับ
วันนี้ผมเห็นมันกับตา และสัมผัสมันด้วยประสบการณ์จริงแล้วถ้าพวกเราทุกคนช่วยกัน มันจะคงอยู่ เรารักษามันไว้ได้แน่นอนถ้าทุกคนช่วยกัน ทุกคนในที่นี้หมายถึง ตาสีตาสา คนธรรมดา มนุษย์เงินเดือน ไปจนถึงระดับผู้นำ ผู้บริหารองค์หรือหน่วยงานระดับชาติต่าง ๆ “เราอาจเข้าใจผิดคิดว่าธรรมชาติเป็นของฟรีเลยใช้มันอย่างไม่บันยัง วันนี้เราเริ่มได้รับผลกระทบกับชีวิตจากการทำลายมันแล้ว นี่แหละคือสิ่งที่เราต้องจ่าย สุดท้ายไม่ฟรีนะครับ”
ผมลองคิดเล่น ๆ กับเพื่อนว่าหากใครก็ตามได้มาบริหารประเทศ น่าจะมีทริปเดินป่า 100 กิโลเมตรสัก 10 วันแถมเป็นสวัสดิการไปด้วย มันเป็นการเข้าถึงและเรียนรู้ความสำคัญของป่าได้อย่างดีทีเดียว หากใครผ่านมาเห็นขอฝากนโยบายนี้ไว้พิจารณาด้วยครับ : )
ในที่สุดพวกเราก็พาร่างสะบักสะบอมไม่เป็นท่ามาถึงที่บ้านห้วยยาวปลายทางจนได้ ต้องบอกตรง ๆ ครับเส้นทางนี้เอาเรื่องทีเดียว ใครจะมาขอเลยว่าต้องพร้อม โรคประจำตัวไม่มี ร่างกายแข็งแรงปกติ และจะดีมากถ้ามีประสบการณ์เดินป่ามาบ้างแล้ว จะบอกว่าไม่เหมาะกับมือใหม่ก็ไม่เชิง ถ้าฟิต และคิดว่าพร้อมจริง ๆ ก็มาได้ครับ ป่าที่นี่ยินดีต้อนรับกล้ามเนื้อขาคุณอย่างดี
ได้เห็น
สิ่งที่ผมได้เห็นกับตานอกจากความสำคัญของป่าแล้ว ผมได้เห็นชาวบ้านว่าเขาอยู่กินกันอย่างไร ความมีน้ำใจของชาวบ้านและคนนำทางเป็นสิ่งน่าประทับใจ อาหารเย็นทุกมื้อจากพวกเขายินดีแบ่งปันให้พวกเราอย่างเต็มใจ ข้าวถูกหุงเผื่อ น้ำถูกตักและนำมากรองไว้ให้พวกเราเหล่านักเดินทางอยู่เสมอ ผมเห็นมิตรภาพแบบไม่แบ่งอายุ เพศ และตำแหน่งการงาน
ผมได้เห็นเมนูอาหารฟิวชั่นจากของที่มีในเป้สัมภาระ ผมได้เห็นค่ำคืนที่พระจันทร์ส่องสว่าง และบางคืนที่ดวงดาวเต็มฟ้า ได้นั่งมองแสงแรก และแสงสุดท้ายของวัน ได้รู้สึกถึงความเย็นฉ่ำของสายน้ำในลำธาร ได้สีผิวที่เปลี่ยนไปจากแดดตอนเที่ยงวันบนสันเขาโล่ง และผมได้อยู่กับตัวเอง ได้เห็นตัวเองอีกมุมหนึ่งผ่านการเดินทางไกลนี้
หากไม่ลำบากเกินไปอยากชวนคุณ และมิตรสหายสละเวลา 10 วัน จาก 365 วัน มาใช้ชีวิตแบบนี้ร่วมกับนักเดินทางแปลกหน้า ชาวบ้าน ธรรมชาติ และลองชิมรสชาติของต้นน้ำแห่งชีวิตนี้สักดื่มด้วยตัวเองสักครั้ง…
ติดต่อ
หากสนใจอยากร่วมประสบการณ์เดินป่าระยะไกลสามารถติดต่อได้ที่ เส้นทางเดินป่าระยะไกลชุมชนขุนน้ำเงา
EXPLORERS: ตู่(ช), ตู่(ญ), บอย, พัท, เกด, บาส
AUTHOR: บาส-บดินทร์ บำบัดนรภัย
PHOTOGRAPHERS: บอย-นเรศ สุขรินทร์, พัท-พชร ตรีทิพย์ธนากูล, เกด-เกศรินทร์ เจริญรักษ์, ตู่-ไตรรัตน์ ทรงเผ่า, บาส-บดินทร์ บำบัดนรภัย
GRAPHIC DESIGNER: ตั้ม-ธีรภัทร์ อินทจักร