สถาปัตยกรรมเก่าแก่ ธรรมชาติที่สวยงาม และความเป็นมิตรของผู้คนในมุมมอง บก.เจ ผู้อยากบอกเล่าความประทับใจจากช่วงเวลาสั้น ๆ ในการมาเยือนเนปาลครั้งแรก จากทริป Dusit Thani ชวนมาร่วมงานเปิดโรงแรมใหม่ 2 แห่งใน 2 เมือง
ได้รับเชิญให้ร่วมเดินทางไปประเทศเนปาล 5 วัน ซึ่งจริง ๆ เกือบจะไปไม่ได้เพราะติดภารกิจสำคัญ แต่เนื่องจากเป็นการเดินทางร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของ Dusit Thani จึงขอตามไปทีหลัง เหลือเวลาแค่สามวัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ สำหรับการมาเยือนประเทศนี้เป็นครั้งแรก แต่ประทับใจในความเป็นมิตรของผู้คน ธรรมชาติที่สวยงาม และสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่งดงามมากๆ ถ้าไม่ได้มาคงเสียดายมากๆ
ก่อนจะเล่าถึงประสบการณ์สั้นๆ ในการเที่ยวที่เนปาลครั้งนี้ จะขอเล่าถึงโรงแรมใหม่ที่ได้มาพักในช่วง Soft Opening ปลายเดือนกรกฎาคม ที่มีเฉพาะแขกรับเชิญของทางโรงแรม และลูกค้าชาวเนปาลระดับ VIP เท่านั้นที่ได้เข้ามาทดลองใช้บริการในช่วงก่อนเปิดจริงเร็วๆ นี้
Dusit Thani หรือ Dusit International คือเครือโรงแรมของไทยที่บริหารโรงแรมกว่า 300 แห่ง ใน 18 ประเทศ นอกจากนั้นยังทำธุรกิจเกี่ยวกับ อาหาร การศึกษา และอสังหาริมทรัพย์ด้วย โรงแรมในเครือดุสิตธานี ได้รับการยอมรับจากนักธุรกิจนักเดินทางทั่วโลกในเรื่องมาตรฐานการให้บริการ หรือ Thai Hospitality จนทำให้มีนักลงทุนในหลายประเทศต้องการเปิดโรงแรมในประเทศของตนในชื่อ Dusit ซึ่งในทริปสั้นๆ นี้ ผมได้มาพักในโรงแรมใหม่เอี่ยม ที่กำลังอยู่ในช่วงเปิดตัวพร้อมๆ กันสองแห่งในประเทศเนปาล แต่มีความแตกต่างน่าสนใจต่างกัน
ที่แรกคือ Dusit Thani Himalayan Resort ตั้งอยู่บนยอดเขาในเขตเมืองเล็กๆ ชื่อเมือง “ดูลิเคล” (Dhulikhel) จุดเด่นของที่นี่คือเป็นแนวเขาที่ขนานไปกับเทือกเขาหิมาลัย และอยู่ใกล้มากๆ กับ วัดนะโมบุดดา (Namo Buddha Monastery) สถานที่ศักดิ์สิทธิทางพระพุทธศาสนา ที่โรงแรมนี้จะมีบริการและกิจกรรมเน้นการบำบัดกายและใจให้ทำ
แต่สำหรับพวกเราชาว Explorers Club ถ้าใครได้มา ผมขอแนะนำกิจกรรมเดินป่ารอบๆโรงแรมนี้เอง เลือกได้ว่าอยากเดินใกล้ๆ 2-3 ชั่วโมง หรือจะเดินแบบเต็มวัน ให้เจ้าหน้าที่โรงแรมแนะนำและหาไกด์นำทางพาไปได้ ทางเดินปลอดภัย ทางเดินชัดเจน แต่ไม่มีป้ายบอกทางนะ มีบางช่วงผ่านชุมชนเล็กๆ ซึ่งถ้าได้คนท้องถิ่นไปด้วยจะได้ข้อมูลความรู้ดีๆ ให้คำแนะนำว่าควรไม่ควรทำอะไร และช่วยต่อราคา หากคุณเจองานหัตถกรรมที่ชาวบ้านขายระหว่างทางด้วย ไม่พูดมาก อยากให้ไปดูคำบรรยายในรูปเองนะ
เสียดายคือในวันที่ผมไปพักบนเขา หมอกลงหนักมากในช่วงเช้า ถ่ายรูปมาให้ดูก็จะเหมือนอยู่บนสวรรค์ แต่พอถึงช่วงบ่ายๆ ท้องฟ้าเปิดก็เริ่มเห็นทิวทัศน์ที่สวยงาม แม้ตกเย็นจะเริ่มมีเมฆฝนมาอีก แต่สำหรับผม ผมชอบการเที่ยวภูเขาในฤดูนี้มากๆ แต่หากคุณอยากชมวิวหิมาลัยแบบฟ้าใสๆ แนะนำให้มาในช่วงฤดูหนาว แต่อากาศบนนี้ก็จะหนาวจัดไปด้วย
ลงมาจากเขา มุ่งหน้ากลับสู่เมืองหลวงกาฐมัณฑุ เพื่อไปพักในโรงแรมที่สอง Dusit Princess Kathmandu ซึ่งแตกต่างจากโรงแรมแรกตรงที่ ตั้งอยู่ย่านรวมสถานทูตของนานาประเทศ คล้ายๆ สีลม สาทร ของกรุงเทพฯ ห้องพักและบริการทันสมัยระดับสากลทุกอย่าง จุดเด่นของที่นี่คือ อาหารไทยผสมอาหารเนปาลในร้าน “Soi” อร่อยมาก และบนชั้นดาดฟ้า มีสระว่ายน้ำ และบาร์กึ่งกลางแจ้ง ที่มองเห็นทั้งเมือง และวิวภูเขาสวยมาก
กิจกรรมสำหรับนักสำรวจก็มีมากมายในเมืองนี้ ถ้าคุณมีเวลาน้อย ผมแนะนำ 3 ที่ ที่แรกคือ Durbar Square ซึ่งถูกตั้งให้เป็นมรดกโลก (UNESCO World Heritage Site) Durbar แปลว่า พระราชวัง ซึ่งสำหรับคนที่สนใจประวัติศาสตร์ บริเวณนี้จะเป็นที่รวมของอาคารเก่าแก่ในรูปแบบสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นที่เรียกว่า Newa Architecture แบบดั่งเดิมที่หาดูได้ในบริเวณหุบเขากาฐมัณฑุแห่งนี้เท่านั้น เอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมสไตล์นี้คือ แนวอิฐดินเผาสีส้ม ผสมการแกะสลักไม้ลวดลายละเอียดยิบ และหลังคาหลายชั้นแบบ Pagoda
ไฮไลท์ของทริปนี้คือการได้เห็นหน้า “กุมารี” หรือ เทพเจ้าในร่างเด็กหญิง ตามความเชื่อในศาสนาฮินดูและพุทธของชาวเนปาล ที่โผล่หน้าออกมาที่หน้าต่างชั้นบนสุดของตึกให้ผู้คนได้พนมมือไหว้ ครั้งละ 10 วินาที วันละไม่กี่ครั้ง กุมารี คือเด็กหญิงที่ถูกเฟ้นหาและคัดเลือกมาตั้งแต่อายุ ไม่ถึง 3 ขวบ ซึ่งจะต้องมีลักษณะพิเศษตามความเชื่อ มีการตรวจสอบดวงจากวันเดือนปีเกิด และจะต้องมาอาศัยอยู่ในตึกนี้ โดยมีผู้ดูแลเป็นอย่างดี เท้าไม่เคยต้องเตะพื้นดิน ไปไหนมาไหนก็จะมีคนแบกหาม และจะพ้นตำแหน่งภาพใน 9-10 ปี เมื่อเธอโตเป็นสาว หรือมีประจำเดือนเป็นครั้งแรก หากคุณโชคดีได้พบหน้าเธอเหมือนกลุ่มพวกเราในวันนั้น จะเป็นความทรงจำที่พิเศษสุดๆ แม้จะไม่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายภาพเธอได้
อีกสถานที่ห้ามพลาดก็คือ สถูปโพธนาถ (Boudhanath Stupa) สถูปเจดีย์ทรงครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ กับรูปดวงตาเห็นธรรมของพระพุทธเจ้า หรือ “ธรรมจักษุ” (Wisdom Eyes) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่พบบ่อยในประเทศเนปาล ตามสถานที่สำคัญทางศาสนา และของที่ระลึกต่างๆ เดินรอบสถูปหนึ่งรอบตามเข้มนาฬิกา ถ่ายรูปผู้คน หากมีเวลาเดินเข้าไปในวัด (Monastery) หลับตาทำสมาธิฟังสวดที่ไม่คุ้นหู และถวายสักการะ เหมือนอยู่เหมืองไทย แต่รู้สึกพิเศษมากๆ
สุดท้ายแต่สนุกที่สุดคือการนั่งรถสามล้อถีบ (แทนการเดินเพราะมีเวลาจำกัด) ไปตามถนนแคบๆของย่านตลาดทาเมล (Thamel Market) สำหรับคนที่มีเวลา สามารถเดินเท้าบนถนนแคบๆ แต่คึกคักเส้นนี้ได้ เพราะมีร้านค้า ร้านอาหาร ผับบาร์ ร้านขายของที่ระลึก และสถานที่ท่องเที่ยวตลอดเส้นทาง โดยเฉพาะช่วงพระอาทิตย์ตกดินแล้วจะคึกคักมากขึ้นอีก ต่อราคารถสามล้อดีๆ เขียนตัวเลขชัดๆ เขาไม่โกงแต่จะขอเพิ่มแบบยิ้มๆ เอียงคอดุ๊กดิ๊ก ขอแวะลงระหว่างทางได้ จ่ายเงินตอนจบ ขอดีของย่านนี้คืออยู่ไม่ไกลจากโรงแรม Dusit Princess
เสียดายที่มีเวลาน้อยไปหน่อย บอกกับตัวเองว่า ถ้ามีโอกาสจะต้องมาซ้ำและขยายความอีกครั้ง ขอบคุณ Dusit Thani ที่เชิญมาร่วมทริปในครั้งนี้ หวังว่าจะได้มีโอกาสตามไปเยี่ยมชมโรงแรมใหม่ๆ ในเครือ ที่กำลังจะทยอยเปิดเพิ่มในอีกหลายๆ ประเทศ
ใครที่เคยไปเนปาล แชร์ข้อมูลเพิ่มเติมในคอมเม้นต์หน่อยนะครับ
EXPLORER: เจ
AUTHOR/PHOTOGRAPHER: เจ – เจรมัย พิทักษ์วงศ์
GRAPHIC DESIGNER: ตั้ม – ธีรภัทร์ อินทจักร