Type and press Enter.

ลุย ‘ กุยบุรี ‘

กุยบุรี คือผืนป่าที่เป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มป่าแก่งกระจาน มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง ถือเป็นพื้นที่อนุรักษ์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศไทย รวมทั้งยังและเป็นแหล่งต้นน้ำ ลำธารที่มีบทบาทในการดำรงชีวิตของผู้คน และสัตว์ป่าน้อยใหญ่นานาชนิดจนได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติของไทยแหล่งที่ 3 นอกจากกุยบุรีจะมีความสำคัญทางด้านทรัพยากรธรรมชาติแล้ว ที่นี่ยังเป็นที่อยู่อาศัย และแหล่งเกษตรกรรมของผู้คนอีกหลายครัวเรือน ในการอยู่ร่วมกันระหว่างคน และสัตว์ป่านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ท่ามกลางผลกระทบที่เกิดขึ้นกับทั้งสองฝ่ายจึงนำไปสู่วิธีการแก้ปัญหา และการจัดการอย่างสันติ เพื่อความยั่งยืนด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น

สนุกกับกิจกรรมชุมชน

ผู้คนที่นี่จะทำอาชีพเกษตรกรรมปลูกสับปะรดเป็นอาชีพหลักกันเสียส่วนใหญ่ จึงทำให้แถวนี้มีไร่สับปะรดอยู่มาก เนื่องจากมีพื้นที่ติดกับป่าจึงทำให้บรรดาช้างป่าออกมากินสับปะรดที่ปลูกไว้อยู่เป็นประจำ ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อพืชไร่ และบรรดาผลผลิตของชาวบ้านมาอย่างยาวนาน แต่เมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องหาวิธีการอยู่ร่วมกันอย่างดีที่สุด

และด้วยแนวคิดที่มุ่งไปสู่การพัฒนาผสมกับภูมิปัญญาแบบท้องถิ่นจึงก่อให้เกิดวิธีการแก้ปัญหาได้อย่างสร้างสรรค์ และพอจะช่วยชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นจากปัญหาช้างป่าได้ เมื่อพืชผลเสียหายก็ต้องหาออะไรมาทดแทนจึงเกิดการรวมตัวของชาวบ้านจัดตั้ง “กลุ่มวิสาหกิจชุมชน บ้านรวมไทย”ขึ้น

หากได้มีโอกาสมาที่กุยบุรีก่อนที่จะไปชมความน่าตื่นตาตื่นใจของกิจกรรมดูสัตว์ป่าในช่วงบ่าย ในช่วงเช้าเราอยากให้คุณได้ลองทำกิจกรรมที่น่าสนใจมากมายจากกลุ่มวิสหกิจชุมชนแห่งนี้ที่เขาใช้สับปะรดมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น สบู่ ยาสระผม น้ำยาล้างจาน หรือแม้แต่การทำกระดาษสาจากขี้ช้างป่า ถือเป็นการนำองค์ประกอบของผลผลิตมาสร้างมูลค่าในแบบใหม่ได้อย่างน่าสนใจ นอกเหนือจากผลิตภัณฑ์จากสับปะรดแล้วยังมีกิจกรรมอื่น ๆ และผลิตภัณฑ์อีกมากมายให้ได้เรียนรู้ เช่น การแปรรูปจากไม้กระถินณรงค์มามาเป็นแก้วไวน์ การเลี้ยงไส้เดือน รวมถึงกลุ่มแม่บ้านที่ผลิตชาใบหม่อน

ผึ้งไล่ช้าง

อีกสิ่งหนึ่งที่พวกเราชาว Explorers Club สนใจไม่น้อยคือการเลี้ยงผึ้งโดย “วิสาหกิจชุมชนผู้เลี้ยงชันโรงและผึ้งโพรงไทย โดยผู้ประสบภัยจากช้างป่า” ชื่อกลุ่มยาว ๆ นี้เป็นเครื่องยืนยันได้ชัดเจนถึงเรื่องราวระหว่างคน และช้างป่าได้ครบถ้วน เนื่องจากมีการเข้าถึงพื้นที่ทางการเกษตรโดยช้างป่าอยู่เป็นประจำ แน่นอนว่าผลผลิตเหล่านั้นย่อมได้รับความเสียหาย  แต่ทุกอย่างย่อมมีทางออกเสมอเมื่อพืชผลเสียหายก็ต้องมีบางสิ่งมาชดเชยสิ่งเหล่านั้นก็คือการเลี้ยงผึ้งเพื่อนำน้ำผึ้งมาขาย และนำนำ้ผึ้งส่วนหนึ่งมาทำการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพมากมาย

ชาวบ้านที่นี่เขาใช้ผึ้งเป็นหนึ่งในวิธีการป้องกันการเข้าพื้นที่ของช้างป่าโดยการสังเกตพฤติกรรมของช้าง ที่จะไม่ชอบนักกับการที่มีผึ้งเข้ามาวนเวียนก่อกวนทำให้ถอยห่างออกไปจากพื้นที่ แต่วิธีนี้ถึงแม้อาจจะไม่ได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ก็พอจะลดการรบกวนจากช้างป่าได้บ้าง เคล็ดลับของเรื่องนี้ก็คือการออกแบบรังผึ้งที่สามารถโยกเยกได้โดยใช้เชือกขึงโยงไว้กับรังผึ้งอีกรังต่อกันไปเรื่อย ๆ เป็นแนวรั้ว เมื่อทันทีที่ช้างมาเดินเข้ามาสัมผัสกับเชือกที่ขึง ก็จะเกิดการสั่นสะเทือนทำให้รังผึ้งนั้นเหวี่ยงไปมา บรรดาฝูงผึ้งก็จะออกมาปกป้องอนาเขตของพวกมันทันที แต่ดูเหมือนว่าช้างป่าจะไม่ได้รู้สึกถึงเหล็กในของเจ้าผึ้งจิ๋วเหล่านั้นสักเท่าไหร่ พวกมันจากไปอาจเพราะความรำคาญเสียมากกว่า

อย่างไรก็ตามนี่คือการแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นอันชาญฉลาดที่ได้จากการสังเกต และรู้จักการอยู่ร่วมกันกับสัตว์ป่าได้อย่างสันติที่สุด และในปี พ.ศ.2558 กองทุนสัตว์ป่าโลกสากล สำนักงานใหญ่ หรือ WWF-International ยังยกให้อุทยานแห่งชาติกุยบุรีเป็นพื้นที่ที่มีการจัดการปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่าที่ดีที่สุดในภูมิภาคเอเชียอีกด้วย

รู้จัก กุยบุรี

พื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่เต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ มีเทือกเขาตะนาวศรีตั้งตระหง่านทำหน้าที่เป็นพรมแดนกั้นระหว่างประเทศไทย และพม่า พื้นที่แห่งนี้นอกเหนือจากการทำหน้าที่เป็นโรงงานผลิตออกซิเจนขนาดใหญ่ให้กับโลกใบนี้แล้ว ยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของบรรดาสัตว์ป่านานาชนิด รวมถึงสัตว์ป่าสงวน และสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์อีกมากมาย และยังเป็นแหล่งไม้สำคัญของประเทศไทยอีกด้วยอย่างเช่น ต้นตะเคียนทอง, ต้นมหาพรหม และต้นจันทร์หอมที่จัดเป็นไม่มงคลชั้นสูงที่ถูกใช้ในพระราชประเพณี มาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน

ภูมิอากาศในเขตอุทยานแห่งชาติกุยบุรีจะเป็นลักษณะแบบกึ่งชื้นแล้ง  จะมีช่วงที่มีปริมาณน้ำมากเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ฤดูฝนของที่นี่จะเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคม แล้วจะทิ้งช่วงไปในเดือนมิถุนายน และกรกฎาคม หลังจากนั้นฝนจะตกหนักอีกครั้งราวเดือนสิงหาคม และต่อเนื่องไปจนถึงกลางเดือนพฤศจิกายนของทุกปี หลังจากนั้นผืนป่าแห่งนี้จะค่อย ๆ เข้าสู่ฤดูแล้ง และจะมีอากาศร้อนจัดในช่วงเดือนเมษายน บรรดาสัตว์ป่าต่างเข้าใจในกฎกติกานี้ดี พวกมันปรับตัวให้เข้ากับฤดูกาลด้วยการย้ายถิ่นอาศัย หรือแม้กระทั่งการเปลี่ยนแปลงทางสภาพร่างกายเพื่อให้สัมพันธ์กับการดำรงชีวิตในฤดูกาลที่ยากลำบาก เพื่อรอจนถึงฤดูกาลที่ผืนป่ากลับมาชุ่มชื้นอีกครั้ง…

ส่องสัตว์ กุยบุรี

กิจกรรมส่องสัตว์ที่กุยบุรีถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาด หากคุณเป็นคนชอบการผจญภัย และรักธรรมชาติถือว่ามาถูกทาง คุณจะได้รับประสบการณ์ท่องเที่ยวธรรมชาติอีกรูปแบบหนึ่งโดยการขึ้นรถตระเวนไปตามเส้นทางผ่านจุดชมสัตว์ป่าต่าง ๆ ทั้ง 4 จุดก็คือ โป่งสลัดได ที่เป็นโป่งดินธรรมชาติ, หน่วยป่ายางที่จะสามารถเห็นช้างเล่นน้ำได้, พุยายสาย, และจุดสุดท้ายคือผาชมสัตว์ป่า ที่จะเป็นจุดชมวิวมุมกว้าง ในระหว่างที่คุณอยู่บนหลังรถกระบะคุณจะได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์ป่าจากเจ้าหน้าที่นำชมไปด้วย ส่วนพระเอกของที่นี่คงไม่พ้นช้าง และกระทิง ที่ส่วนใหญ่จะออกมาโชว์ตัวตามโป่งต่าง ๆ แต่ต้องบอกก่อนว่าไม่ใช่ทุกจุดที่คุณสามารถจะเห็นมันได้เสมอไป ทุกอย่างขึ้นอยู่กับจังหวะล้วน ๆ ถ้าโชคดีบางครั้งคุณอาจจะได้เห็นมันแบบข้างทางเลยก็เป็นได้ นอกจากช้าง และกระทิง ยังมีนกอีกหลากหลายชนิดที่คุณจะได้เห็นมันบินข้ามหัวไปมาส่งเสียงระงมไปทั่วป่า

การได้มาชมสัตว์ป่าที่กุยบุรีนอกจากคุณจะได้รับทั้งความรู้ และความเพลิดเพลินแล้ว คุณก็ยังได้เป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนผู้คนในชุมชนที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำชมด้วย พวกเราต้องขอบคุณ สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) หรือ BEDO ที่ชวนพวกเราชาวบ้านและสวน Explorers Club มาสำรวจพื้นที่ที่มีความหลากหลายทั้งทางชีวภาพ และทางวิถีชีวิตแห่งนี้

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Bedo : http://www.bedo.or.th