แบงค์ – พิชญ์พงศ์ และ มอส – พิชญ์อร โสภิตสกุลมาศ สองพี่น้องผู้หลงใหลการเดินป่า ชวนกันไปเดินล่าฝันบนเส้นทาง แปซิฟิก เครสต์ เทรล (Pacific Crest Trail) และพิชิตเส้นชัยหนึ่งในเส้นทางเดินป่าของสหรัฐอเมริกา ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนในปี 1968 (พ.ศ. 2511) ซึ่งมีระยะทางไกลกว่า 4,265 กิโลเมตร ทอดยาวตั้งแต่ชายแดนสหรัฐฯ กับเม็กซิโก ผ่านรัฐแคลิฟอร์เนีย รัฐออเรกอน และรัฐวอชิงตัน ไปจรดชายแดนสหรัฐฯ และแคนาดา ได้สำเร็จ
Pacific Crest Trail หรือเรียกย่อ ๆ ว่า PCT ผมรู้จักเส้นทางนี้จากภาพยนตร์เรื่อง WILD ที่นำแสดงโดย Reese Witherspoon หนังสร้างแรงบันดาลใจที่มีเรื่องราวมาจากเรื่องจริงของ Cheryl Strayed ผู้หญิงคนหนึ่งที่อยากลบรอยอดีตด้วยการเดินทางไกล แต่สำหรับเรื่องราวที่คุณจะได้อ่านต่อไปนี้เป็นเรื่องของพี่น้องสองคน ที่มีความชอบในสิ่งเดียวกัน ไม่ใช่เพราะอยากลบรอยลบเลือนเหมือนเชอร์รีล เพียงแต่มีความชื่นชอบการเดินป่าและเที่ยวธรรมชาติ จึงชวนกันออกทำตามความฝันดูสักครั้งว่ามันจะทำได้ไหม
ออกตัวก่อนเลยว่าจริงๆ แล้วเส้นทางนี้เป็นเส้นทางฝันหนึ่งของผมเหมือนกัน แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่างทำให้โอกาสในการทำฝันให้เป็นจริงคงยาก พอทราบมาว่ามีพี่น้องสองคนที่เดินเส้นทางนี้มาแล้ว จึงเป็นอะไรที่ทำให้อยากเอาความจริงของทั้งสองมาตอบคำถามความฝันของตัวเอง แม้นไม่ได้ไปแต่ก็ได้สนับสนุนความฝันของใครหลายคน ผมเล่าเรื่องนี้ให้แบงค์คนพี่ฟัง แบงค์ส่งข้อความนี้มาให้ผม
“เราทุกคนรู้ว่าตัวเองจะต้องตาย แต่ไม่มีใครเชื่อเรื่องอย่างนั้นเลยสักคน ถ้าเราเชื่อว่าสักวันหนึ่งเราจะต้องตาย เราคงจะทำอะไรๆ ต่างไปจากที่ทำกันอยู่…” อ่านแล้วมันทำให้ผมมีไฟอีกครั้ง อยากทำฝันให้เป็นจริง ด้วยการสนับสนุนความฝันตัวเองเท่าที่ตัวเองทำได้ แล้วลงมือทำมันซะ
จากนี้คือเรื่องราวจากวันแรกของการเดินป่าในไทย จนถึงทริปเดินป่าระยะไกลในสหรัฐฯ ที่แม้แต่ชาวต่างชาติยังไม่เชื่อว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกัน นอนเต็นท์เดียวกัน คิดว่าเป็นแฟนกัน เดินด้วยกันเดี๋ยวก็ตีกัน และอีกมากมายกับการตั้งคำถามของคนอื่นในระหว่าง 169 วันจากจุดเริ่มต้นจนถึงเส้นชัย บนเส้นทางแห่งความฝันที่ชื่อว่า Pacific Crest Trail ของแบงค์ และ มอส
คนหนึ่งเป็นหนุ่มวิศวกร คนหนึ่งเป็นสาวนักบัญชี ที่มักใช้เวลาในวันหยุดอยู่ในป่ามาตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปี หลายคนอาจมองว่านี่เป็นเรื่องแปลกที่พี่น้องทำอะไรร่วมกัน แต่ผมกับมองว่ามันเป็นเรื่องอบอุ่นหัวใจที่พี่น้องดูแลกัน สุดท้ายทั้งสองพูดเหมือนกันว่า ถ้าวันนี้ไม่ได้เดินด้วยกัน ก็ไม่รู้ว่าจะเดินรอดไหม
จุดเริ่มต้นของการเดินป่า
แบงค์: เกิดจากวันดีคืนดีมีเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้ามาทำงานบริษัทเดียวกัน แล้วบังเอิญหยุดตรงกันมาชวนไปเดินเขาคินาบาลู ที่ประเทศมาเลเซีย
ตอนนั้นผมเรียนจบปุ๊บก็ได้ทำงานบริษัทต่างชาติ บริษัท ฮัลลิเบอร์ตันเอ็นเนอจีเซอร์วิสเซสอิงค์ จำกัด เป็นบริษัทที่ขุดเจาะน้ำมันทางทะเล สามปีแรกผมทำที่นี่ เวลาทำงานก็อยู่บนแท่นขุดเจาะสามอาทิตย์ พักสามอาทิตย์ ด้วยความที่เป็นเด็กจบใหม่ แล้วในสมัยเรียนเราก็ไม่ค่อยได้เที่ยวด้วย เพราะเรายังไม่ค่อยมีเงินและไม่อยากรบกวนทางบ้าน พอทำงานเริ่มมีเงินเป็นของเราเอง แล้วมีวันหยุดสามอาทิตย์ ก็คิดว่าเราจะทำอะไรดี ตัดทะเลทิ้งได้เลย ทะเลไม่ได้อยู่ในหัวผม ทุกวันผมอยู่ทะเลชมวิวทะเล 360 องศา จนเฉยๆ
ตอนนั้นผมก็ตอบว่า “ไปสิ” ไปแบบคนที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่เคยเดิน ข้าวของอุปกรณ์ก็ไม่มีสักอย่าง เสื้อผ้า รองเท้า ซื้อใหม่หมด ทริปแรกเจออากาศไม่ค่อยดีด้วย ฝนตกจนข้างบนยอดเขาเป็นน้ำตก ลื่น น้ำเยอะมากเหมือนน้ำป่าเลยครับ จนเขาห้ามขึ้นไปต่อ ทริปแรกนี่พูดง่ายๆ คือไม่ประสบความสำเร็จ แต่มีคนที่ขึ้นไปถึงยอดแล้วลงมาบอกว่าไม่น่าขึ้นไปเลย มองไม่เห็นอะไรเลย ซึ่งทริปนี้น้องมอสไปด้วย
มอส: มอสว่างพอดีเลยไปกับพี่แบงค์ด้วย ตอนนั้นมอสทำงานเป็นออดิทตรวจสอบบัญชี แต่ก่อนที่มอสจะทำงาน เป็นช่วงที่พี่แบงค์หยุดงาน เลยมาชวนมอสไปเดินป่าที่มาเลเซีย และเป็นทริปแรกที่เริ่มเดินป่าด้วยกันค่ะ ถึงแม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จในการขึ้นไปถึงยอดเขา แต่ก็ทำให้เราชอบการเดินทางแบบนี้ และเป็นจุดเริ่มต้นของหลายๆ ทริปที่ตามมาหลังจากนั้นค่ะ
แบงค์: มันเหมือนใครหลายๆ คนที่เพิ่งเคยเดินป่า แล้วมันมีความรู้สึกว่า ทำไมต้องมาลำบากขนาดนี้ด้วย แต่พอกลับลงมามันเกิดความรู้สึกคิดถึงและอยากกลับไปอีก ก็จะบอกมอสเสมอว่า อยากเดินป่าอีกแล้วว่ะ เราไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีการจัดทริปเดินป่าในประเทศไทย ซึ่งสมัยนั้นก็ต้องยอมรับว่ามันใหม่มากๆ ประมาณ 8 ปีมาแล้ว ทริปแรกที่เดินแบบจริงจังในประเทศคือ ดอยหลวงตาก ชวนมอสไปในวันที่ผมว่างพอดี แต่เรายังไม่มีของอะไร กระเป๋าก็ไม่มี มันต้องใช้เป้ที่ใบใหญ่ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ผมกับมอสเดินป่ามาโดยตลอด มีตีกันบ้างครับ เถียงกันบ้าน ตามประสาพี่น้อง ผลัดกันดูแล จนทุกวันนี้ มอสเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มเดินป่าของผมไปแล้ว ซึ่งในกลุ่มก็จะมีแต่เพื่อนๆ ของผม ผมก็ไม่ค่อยมีเพื่อนมาเดินป่าด้วยกันมากนัก คนที่จะชอบแบบนี้มีน้อย ผมว่าป่ามันกรองคนมาในระดับหนึ่ง
มอส: เพื่อนมอสก็ไม่ใช่ทางนี้เลยค่ะ มอสเลยต้องไปอยู่ในกลุ่มกับพี่แบงค์ แต่ที่มอสชอบเดินป่ามันเป็นเพราะว่าเรามีจุดเริ่มต้นเหมือนพี่แบงค์ เริ่มจากไม่รู้อะไรเลยเหมือนกัน ใช้เป้แบบที่เรียนหนังสือไปคินาบาลู แล้วมาเริ่มเรียนรู้ภายหลัง ถึงแม้ประสบการณ์ครั้งแรกจะไม่สำเร็จในการเดิน แต่ความสุขและความสนุกระหว่างทางมันเป็นสิ่งที่เราหาไม่ได้จากที่อื่น เราไม่ได้ซีเรียสที่เป้าหมาย ตอนหลังเราไปซ้ำอีกได้
เส้นทางในฝันที่ชื่อ Pacific Crest Trail
แบงค์: PCT ของผมกับมอสมีที่มาไม่เหมือนกัน เรียกว่ามาไม่พร้อมกันด้วย ของผมเกิดจากมีพี่ที่ทำงานคนหนึ่งเขาเห็นผมชอบเดินป่า แล้วเขาก็มาทักผมว่า “เห็นชอบเดินป่า ทำไมไม่ลองไปเดินที่ PCT ดูล่ะ” ตอนนั้นผมก็งงเพราะไม่รู้จักว่า PCT คืออะไร เลยลองหาข้อมูลดูถึงได้รู้ว่ามันคือเส้นทางเดินป่าที่ยาวกว่าสี่พันกิโลเมตร Pacific Crest Trail (PCT)
ตอนนั้นคิดในใจว่าคนปกติที่ไหนเขาจะไปเดินกันในระยะทางขนาดนี้ แถมกินเวลาสี่ถึงหกเดือน ในหัวผมตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่า “เป็นไปไม่ได้” ต่อให้ไม่ต้องทำงาน แต่กับการเดินสี่พันกว่ากิโลฯ มันจะเป็นไปได้เหรอ บวกกับเราทำงานประจำ เราไม่สามารถลางานได้แบบหกเดือนซึ่งยากมากนอกจากลาออก แต่ก็ต้องยอมรับว่า เส้นทางนี้เริ่มเป็นความฝันเราแล้ว ชีวิตนี้ต้องไปเดินให้ได้ และฝันมาตลอดตั้งแต่ 2018 จนมาช่วง 2020 โควิดเข้าไทย เริ่มเห็นความเป็นไปได้ เพราะผมต้องออกจากงาน
มอส: เห็นครั้งแรกจากคลิปใน YouTube พูดถึงเส้นทางนี้เลยเข้าไปดู รู้สึกว่าต้องไปละ ด้วยความที่การเดินป่าที่ผ่านมามันก็เป็นความสุขของมอสอย่างหนึ่งมาโดยตลอด มันเลยเป็นเหตุผลหนึ่งที่บอกตัวเองว่า ทำไมเราถึงจะไม่เดินที่นี่ล่ะ ก็แพลนว่าสักวันหนึ่งจะไปที่นี่ โดยที่พี่แบงค์ก็ไม่รู้ว่าเรามีเส้นทางนี้อยู่ในใจด้วยเหมือนกัน
ใครชวนใครก่อน
แบงค์: มอสชวนผมก่อน ผมลาออกจากงานก่อน แต่มอสยังทำงานอยู่ ดูทรงมอสแล้วคิดว่าคงทำงานหนักเอาการอยู่ แบบไม่ไหวแล้วพี่แบงค์ แล้วมอสก็พูดว่า ไป PCT ป่ะ คือพูดชวนเหมือนกับว่า ไปเดิน 3-4วัน
มอส: ไม่ เรารู้สึกว่าพี่แบงค์ต้องเซย์เยสอยู่แล้ว หมายถึงเราชอบสิ่งเดียวกัน และคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่น่าปฏิเสธแน่นอน
แบงค์: จริง ๆ มอสทักมาตั้งแต่ปี 2020 แล้วครับ ว่าจะไป 2021 แต่ปีนั้นเขาประกาศไม่ให้เดินทางไม่ให้ทำวีซ่า (ที่นั่นเกิดไฟป่าหนักมากด้วย / มอสเสริม) ปี 2021 ไปไม่ได้ ผมก็มานั่งคิดนะว่า ถ้าไม่ทำตอนนี้แล้วเราจะทำตอนไหน ด้วยอายุที่ยังพอทำได้ เลยวางแผนไปปี 2022 ให้มอสทำงานต่ออดทนอย่าเพิ่งลาออก ส่วนผมก็ซ้อมเดินป่าไทย
เตรียมตัวอย่างไร
แบงค์: ก็กำหนดวันว่าเราจะไปเดินช่วงเดือนไหน ช่วงที่ดีที่สุดจะอยู่เดือนเมษายน มอสยังทำงานอยู่แต่ผมตั้งเป้าแล้วด้วยการเดินซ้อมที่ป่าไทย อยู่จังหวัดละเดือน ที่นครศรีธรรมราชจะเหมือนบ้านหลังที่สองของผม ไปบ่อยมาก ก็ไปเดินเขาหลวงนครฯ เขาเหมน เพราะผมชอบป่าใต้
มอส: มอสทำงานอยู่ก็พยายามออกซ้อมขาทุกเสาร์ อาทิตย์เหมือนกัน แต่พอตัดสินใจลาออกแล้ว มีเวลาว่างไม่กี่เดือนก็ลุยป่าไทยล้วนๆ กับพี่แบงค์
แบงค์: เราเตรียมแผนเดินทางก่อนบินสองเดือน เรื่องข้อมูลการเตรียมอาหาร เส้นทางเดิน จุดพัก จุดเติมเสบียง การเตรียมของใช้ ถุงนอน เต็นท์ แผ่นรองนอน ต้องใช้แบบไหนอย่างไร ของที่นำไปไม่เหมือนของที่ใช้เดินป่าไทยสักทีเดียว อากาศที่นู่นเย็นมาก อุปกรณ์ต้องไล่เบาหมดเลย โดยมากต่างชาติเน้น Ultralight Backpacking การแบกเบามันดีต่อร่างกาย เพราะเราเดินนาน 169 วัน ที่สำคัญอย่างหนึ่งคือรองเท้า ผมเตรียมไปแค่คู่เดียว แต่พอเดินจริงมันสึกไวมาก สุดท้ายผมใช้รองเท้าสำหรับเส้นทางนี้ 5 คู่ มอสก็เหมือนกัน
มอส: ด้วยความที่เราต้องเดินนาน การแบกหนักจะส่งผลต่อร่างกายเราในระยะยาว จากจุดเริ่มเดินเราเดินไป 1,000 กิโลฯแรกก็สึกแล้วค่ะ
แบงค์: เรื่องอาหารเราเตรียมจากเมืองไทยมาบางส่วน อย่างบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป บางคนที่เขาเป็นวีแกน เขาจะเตรียมอาหารสำหรับ 5 เดือนเลยด้วยวิธีบรรจุลงกล่องแล้ว ส่งไปตามไปรษณีย์ ซึ่งวิธีนี้ค่อนข้างบีบเวลาเดินเพราะต้องไปรับของให้ตรงเวลา แต่สำหรับเราก็จะวางแผนล่วงประมาณ 3 วัน ให้ส่งไปรษณีย์แบบนี้ อีกอย่างพวกเราเป็นคนกินง่าย อยู่ง่าย อาหารเลยไม่ค่อยซีเรียสเท่าไร ในแต่ละวันเราจะมีเมนูที่ต่างกันระหว่างผมกับมอส อย่างมื้อเช้าผมจะกินคุ้กกี้กับกาแฟ (หนูจะกิน Oatmeal มอสเสริม) กลางวันกินแผ่นแป้งทาโก้กับทูน่าซอง ระหว่างมื้อก่อนมื้อกลางวันจะเป็นบาร์พลังงาน วันละ 5 มื้อ
วันแรกที่เริ่มเดินผมเตรียมอาหารไว้สำหรับ 5 วัน ซึ่งพอเพียงแล้ว แต่แพลนการเดินช่วงแรกเราเดิน 3 วันจะพบกับจุดเติมเสบียง ซึ่งเส้นทางเทรลนี้จากใต้ขึ้นเหนือ แล้วจะมีเดินผ่านถนนเป็นช่วงๆ ทีนี้พอการเดินวันที่สามมันจะมาถึงทางที่มีถนนกั้นอยู่ เราสามารถโบกรถเข้าเมืองซึ่งห่างกันไม่มาก อาจจะพักโฮสเทลสักคืน เตรียมอาหารสำหรับการเดินในวันต่อ ๆ ไป รวมไปถึงส่งอาหารไปยังจุดรับไปรษณีย์ข้างหน้า จากนั้นก็โบกรถกลับมาส่งที่จุดที่เราโบกเข้าเมืองมาเมื่อวันก่อน
มอส: การทำแบบนี้ขึ้นอยู่กับแผนการเดินของแต่ละคนเลย การเข้าเมืองถือเป็นการพักขาไปในตัว
แบงค์: การเข้าเมืองเรามีสิทธิ์ทำได้ไม่ผิดกฎ วันพักขาเขาเรียกว่า Zero Day เป็นวันที่ไม่มีการทำไมล์เกิดขึ้น การเข้าเมืองทำให้รู้ว่าเราจะเตรียมอาหาร หรือน้ำอย่างไร ส่งไปที่ไหน อีกอย่างการเดินแรก ๆ เราไม่รู้ว่าเราจะเดินได้วันละกี่กิโลฯ เราเดินสักอาทิตย์หนึ่งเรารู้แล้วว่าเราต้องการอาหารในแต่ละวันมากน้อยแค่ไหน โดยเฉลี่ยเราเดินกันวัน 24 -25 กิโลฯ
มอส: การเดินไปกว่าจะเจอจุดพักจุดเตรียมเสบียง บางครั้งเราต้องเดินถึงสามสี่วัน เราต้องดู Map แล้ววางแผนให้ดีค่ะ อีกอย่างเส้นทางเทรลนี้เป็นเทรลที่เป็นทางการ หลายคนรู้จัก เลยเป็นอะไรที่รู้กันระหว่างคนในพื้นที่กับนักเดินป่า
ความรู้สึกเมื่อเริ่มเดินวันแรก (30 มีนาคม 2022)
มอส: ตื่นเต้นมาก ไม่รู้ว่าจะเจออะไร จริงๆแล้วตื่นเต้นมากทุกทริปอยู่แล้ว ตรงจุดเริ่มเดินชายแดนเม็กซิโกจะมีอนุสาวรีย์ ตรงนั้นคือจุดเริ่มต้น เราจะเห็นกำแพงกั้นเขตแดน
แบงค์: มันตื่นเต้นมากๆครับ จากที่เมื่อก่อนเราคิดว่าไม่มีโอกาสและเป็นไปไม่ได้ แล้ววันนี้เรามายื่นอยู่ตรงจุดเริ่มเดินนี้แล้ว ผมถือว่าความฝันผมประสบความสำเร็จแล้ว มันยากมากกับการเริ่มต้น ยากที่ต้องออกจากงาน ขอวีซ่า วันที่ผมอยู่ตรงอนุสาวรีย์นั้น 168 วันที่เหลืออะไรจะเกิดขึ้นผมถือว่าเป็นกำไรชีวิตแล้ว แค่ผมอยู่ตรงนั้นผมประสบความสำเร็จแล้ว ไม่ต้องเดินไปถึงชายแดนแคนาดาก็ได้
ไม่ได้เดินลำพัง
มอส: จะมีคนอื่นๆเดินด้วยค่ะ ระหว่างทาง แต่พอเดินๆ ไปก็เริ่มหาย เพราะความเร็วของแต่ละคนไม่เท่ากัน
แบงค์: เส้นทางนี้ต้องบอกก่อนว่าไม่ใช่อยู่ดีๆ จะไปเดินได้ มันจะต้องมีการจองล่วงหน้า วิธีการจองจะเป็นระบบ Lotto อย่างเช่น ผมกับมอสจองเริ่มเดินวันที่ 30 มีนาคม ในวันนี้จะมีสิทธิ์ให้แค่ 50 คน แสดงว่าวันนั้นจะมีคนเริ่มเดินพร้อมเราแค่ 50 คน
มอส: แต่ไม่ใช่ 50 คนสำหรับจุดเริ่มเดินนี้นะคะ แต่เขาจะแบ่งเป็นช่วงๆ เช่น 700 ไมล์แรกสำหรับ 50 คน แต่จะเริ่มตรงไหนก็ได้ในช่วงนี้
บรรยากาศการเดินในแต่ละวัน
แบงค์: จริงๆแล้วการเดินในแต่ละวันมันไม่ซ้ำกันเลยครับ วิวมันเปลี่ยนตลอด มีคำถามๆเยอะมากว่าเบื่อไหม บอกเลยไม่เบื่อ แต่ว่ามันเป็นความรู้สึกที่ว่าเราจะไม่รู้เลยว่าอีกหนึ่งไมล์ข้างหน้าจะเจออะไร พรุ่งนี้จะเจออะไร เช่นตอนนี้เดินทะเลทราย แต่อีกพักเดียวหิมะตก เดินไปอีกนิดเจอทะเลสาบ
มอส: อย่าง 700 ไมล์แรกเราเดินทะเลทราย ภูมิประเทศก็ไม่เหมือนกัน เหมือนกับว่าเราเดินบนภูเขาสูงที่มีทะเลทรายแบบนั้นเลย
แบงค์: บนทางเทรลส่วนใหญ่ก็จะเดินกันสองคน จะเจอคนอื่นบ้างก็ไกลๆ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นคนหน้าเดิมๆ ที่เคยพบปะกันก่อนหน้านี้ ช่วงแรกๆ ก็จะมีกลุ่มเพื่อนที่เพิ่งรู้จักกันเดินไปเป็นกลุ่มเลยก็สนุกดี
มอส: เขาเรียกว่า Tramily คือเอา trail + family แล้วเดินไปด้วยกัน Pace ใกล้กัน ท้ายที่สุดแล้วเราจะแคมป์ด้วยกัน
แบงค์: แต่พอเดินไปสักพักเราเริ่มรู้สึกว่าไม่อยากเอาตารางเวลาของเราไปขึ้นอยู่กับคนอื่น เลยขอแยกตัวออกมาเดินเอง
พักผ่อนนอนหลับ
แบงค์: ค่ำไหนนอนนั่นเลยครับ เราจะดูแผนที่ล่วงหน้าไว้ก่อนว่าเราจะไปนอนตรงไหน ซึ่งเรารู้ความสามารถการเดินของเราแล้วว่าเดินได้วันละกี่ไมล์ หลัก ๆ เลยเราจะพยายามเลือกที่แคมป์ที่มีแหล่งน้ำเสมอ ถ้านอนตรงที่ไม่มีน้ำเขาเรียกว่า Dry Camp แสดงว่าเราต้องเตรียมตัวแบกน้ำจากจุดก่อนหน้านี้ และต้องแบกน้ำเผื่อทำอาหารมื้อเย็นและมื้อเช้าในวันถัดไป ฉะนั้นการนอนแคมป์ที่มีแหล่งน้ำดีที่สุด เราจะคุยกันก่อนว่าพรุ่งนี้เดิน 18 ไมล์ไปนอนตรงนี้กัน แล้วก็ต่างคนต่างเดิน ซึ่งผมจะเดินเร็วกว่ามอสประมาณ 5 นาที
มอส: มอสอยากเดินตาม Pace ของตัวเอง จะได้ไม่ต้องกดดันตัวเอง ที่ต้องคอยเร่งความเร็วให้ทันพี่แบงค์
แบงค์: ผมก็จะหยุดรอน้องเป็นช่วงๆ พอเห็นน้องในสายตาก็จะเดินต่อ จริง ๆ แล้วทางเดินชัดเจนมากครับ โอกาสหลงน้อยมาก (แต่ก็มีหลงบ้าง)
มอส: ถ้าทางแยกเยอะๆ ก็มีสิทธิ์หลงได้บ้างค่ะ
แบงค์: ผมจะหลงบ่อยกว่ามอส บางทีเดินไปเดินมาผมมาเดินอยู่หลังมอส แสดงว่าผมหลงแล้ว
สัตว์มีพิษขึ้นชื่อของเส้นทางนี้
แบงค์: งูหางกระดิ่งเยอะมาก ผมนับเลยเกือบ 20 ตัว (มอสเสริมว่า เจอแค่ 2 ตัว) พอมันได้ยินเสียงฝีเท้าเรา เราก็จะเริ่มได้ยินเสียงกระดิ่งขู่แล้ว เราจะได้ยินเสียงมันก่อนเสมอ
แหล่งพลังงานสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า
มอส: ของมอสใช้แบตเตอรี่ก้อนเดียว 20,000 มิลลิแอมป์
แบงค์: เราเข้าเมืองทุกๆ 5-6 วัน เราก็เอาไปชาร์ตในเมือง เพราะฉะนั้นมันเพียงพอที่จะใช้ในแต่ละวัน เราไม่เดินเปิดสัญญาณโทรศัพท์มือถืออยู่แล้ว มันจึงไม่กินแบตฯ เต็มที่ก็เอาไว้ถ่ายรูป
อากาศกลางคืนเป็นอย่างไร
มอส: หนาวมากค่ะ ถึงแม้ว่าเป็นทะเลทราย แต่พออยู่บนที่สูงมันก็หนาวยะเยือกเหมือนกัน
แบงค์: ผมว่ามันเป็นจุดอ่อนของคนเอเชียอย่างเราสองคน ฝรั่งเขาจะทักว่าพวกคุณสองเป็นอะไร ทำไมต้องใส่เสื้อหนากว่าคนอื่นชั้นหนึ่ง ซึ่งทั่วไปเขาใส่กันชั้นเดียว แต่พอโซนทะเลทรายที่อากาศร้อนๆ เราจะได้เปรียบเขา พวกเขาจะดูเหนื่อยมาก ดูขี้ร้อน ถอดเสื้อเดินบ้าง เราจะคุ้นชินกับอากาศร้อนอยู่แล้ว เจอแค่นี้ธรรมดาเลย แต่หนาวเราไม่สู้เขา…ยอม (หัวเราะ)
ความรู้สึกแย่ที่สุดในเส้นทาง
แบงค์: ไม่มีครับ ด้วยที่เราฝันถึงเส้นทางนี้มาโดยตลอด ไม่มีแม้สักนาทีเดียวที่จะเลิกเดิน
มอส: ในแต่ละวันมันเหนื่อยมันล้า มันหิว แต่มันเป็นแค่ความรู้สึกชั่วคราวค่ะ เหนื่อยพักก็หาย หิวก็กิน แต่ความทรงจำ ความสุขมันอยู่กับเราไปตลอด เลยไม่เคยมีความคิดที่จะเลิกเดิน
แต่ละวันคิดอะไร
แบงค์: กับสิ่งที่เราเดินแบบนี้ทุกวัน อย่างที่มอสบอก เหนื่อยก็พัก หิวก็กิน เหนื่อยมากๆ หลังกินข้าวเสร็จก็นอน มันทำให้ผมตระหนักได้ว่า จริงๆแล้ว ชีวิตเรามันไม่ได้ต้องการอะไรเลย แค่มีอาหารให้กิน เราไม่ต้องการเครื่องประดับหรูๆ เสื้อผ้าเราก็ใส่เสื้อผ้าธรรมดา มีน้ำให้อาบสดชื่นพอแล้ว มีที่ให้นอน ไม่จำเป็นต้องมีเตียงพื้นดินพื้นทรายก็นอนได้
มอส: เสื้อผ้าก็มีชุดเดียว ในแต่ละวันมันไม่มีอะไรให้คิดเท่ากับบรรยากาศและความสุขที่อยู่ตรงหน้าเรา เราจะคิดและโฟกัสกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรา นั่นคือปัจจุบันมากกว่าค่ะ
อาบน้ำบ้างไหม อาบอย่างไร
มอส: นานๆอาบครั้งหนึ่ง นานสุดน่าจะ 14 วัน แต่เรามีทิชชู่เปียกค่ะ
แบงค์: ส่วนผม 4-5 วันจะอาบที เพราะเวลาไปตรงจุดที่มีแหล่งน้ำผมก็จะกระโดดน้ำเล่นอยู่แล้ว ส่วนมอสขี้หนาวเลยไม่เล่น ก็เก็บไว้นานแบบนั้น เข้าใจนะว่าผู้หญิงค่อนข้างลำบากในเรื่องของการอาบน้ำ เราผู้ชายถอดเสื้อ ถอดกางเกงก็อาบน้ำได้แล้ว เราจะไม่อาบเลยคงไม่ได้ พี่ลองคิดดูสิเวลาที่ผมโบกรถเข้าเมือง ฝรั่งยังทักเลยว่ายูตัวเหม็นเหมือนอึเลย ซึ่งมันคือเรื่องจริง
นอนตอนไหน
มอส: นอนเร็วมากค่ะ 6 โมง หรือ 1 ทุ่ม ก็หลับแล้วค่ะ
แบงค์: เราจะเริ่มเดินกัน ไม่เกิน 8 โมงเช้า พอถึงแคมป์ในแต่ละวัน กินข้าวเสร็จ ก็สามารถหลับได้เลย ไม่ว่าท้องฟ้าจะยังสว่างก็ตาม
ความรู้สึกตอนใกล้เดินจบ
แบงค์: ผมไม่อยากให้จบเลย แต่ด้วยความที่เราเป็นต่างชาติ อยู่ได้นานสุดแค่ 6 เดือน ก็ต้องคุมเวลาให้ได้
มอส: ก่อนจบเทรลเราเกิดอุปสรรค คือเกิดไฟป่าที่ใกล้ชายแดนแคนาดา หนักมากประมาณหนึ่งอาทิตย์จะเดินจบ ทราบข่าวจากคนเดินป่าท่านอื่น บอกว่าเทรลช่วงสุดท้ายปิด
แบงค์: คือรู้สึกช็อกมาก เราเข้าเมืองเติมเสบียงยังเห็นควันไฟเลย คุยกันเอายังไงดี ต้องบอกว่า ก่อนเข้าเมืองผมกับมอสก็เดินรมควันกันมาแล้ว ซึ่งไม่ดีเลย หลังจากนั้นก็มีประกาศว่าเทรลปิด ผมกับมอสรอในเมืองประมาณ 2 วัน ทางหน่วยงานของ PCTA (Pacific Crest Trail Association) มีหน้าที่ดูแลเส้นทางเทรลนี้ ออกมาประกาศว่ามีเส้นทาง route detour คือทางเลี่ยงทางหลักที่เกิดไฟป่า เป็นทางที่เดินไปถึงชายแดนแคนาดาได้เหมือนกัน ตอนนั้นที่ยังไม่ประกาศก็ทำใจแล้วว่า แค่ไหนแค่นั้น ถึงแม้ไม่ถึงเส้นชัยเราก็ไม่ได้รู้สึกแย่ เพราะร้อยกว่าวันที่ผ่านมาเรามีความสุขทุกวัน เส้นชัยไม่ได้มีความหมายกับเรา ไปถึงก็ดี ไม่ถึงก็ได้นี่ที่ผ่านมาเรามีความสุข แต่สำหรับนักเดินป่าต่างชาติพอรู้ข่าวนี้หลายคนถอดใจเลย ไม่เดินต่อ เพราะเขาตั้งธงไว้ที่เส้นชัยอย่างเดียว
มอส: มอสอยากเห็นชายแดนอเมริกากับแคนาดา เพราะที่ชายแดนมันเป็นเหมือนแนวต้นไม้เป็นเส้นผ่ายาวตลอดแนวเลย ไม่มีรั้ว
แบงค์: หลังเดินจบจะมีจุดลงชื่อ แล้วก็มีการส่งเกียรติบัตรมาให้เรา ในที่สุดก็ตัดสินใจไปเส้นทางที่เขาเปิดใหม่ แล้วก็เจออากาศไม่ดีเลย เจอพายุ ฟ้าผ่า ฝนตก เดินท่ามกลางพายุลูกเห็บและฝนสองชั่วโมง พาตัวเองไปถึงแคมป์แบบทุลักทุเลมาก นอนทั้งตัวเปียกๆ โชคดีที่ตอนเช้าตื่นมา ฟ้าเปิด มีแดด พอแตะเส้นชัยปุ๊บเดินกลับมาฟ้าปิดฝนตก
ธรรมชาติคือห้องเรียนชีวิต
แบงค์: ผมว่าป่าสอนให้เราใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ทำให้เราตระหนักได้ว่า ชีวิตในเมืองมันวัตถุนิยมมากเกินไป จริงๆ แล้วชีวิตเราไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านั้นครับ กินอิ่ม นอนอุ่น ถ่ายสบาย เท่านี้ก็โอเคแล้ว กินอาหาร สามสิบบาท สี่สิบบาทก็อิ่มเหมือนกัน
มอส: ป่าทำให้มอสได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง ไม่ต้องคิดอะไรมาก ได้ทบทวนตัวเอง มีสมาธิ
แบงค์: เหมือนสมองเรามันโปร่ง ไม่ต้องคิดเรื่องงาน เราวางทุกเรื่องไว้หมด ทุกครั้งที่เดินก็ได้คิด ได้อยู่กับตัวเอง ถึงจะไปเดินกับเพื่อน ความเร็วในการเดินของเราก็ไม่เท่ากัน
มอส: ถึงมอสกับพี่แบงค์จะไปด้วยกัน แต่เราก็ไม่ได้เดินติดกันตลอด Pace เราไม่เท่ากันก็จะเจอกันที่แคมป์ ต่างคนต่างเดิน ต่างซึมซับความสุขและเรื่องราวต่างกันตามแบบของตัวเอง
Pacific Crest Trail เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่ใครๆ ก็เดินได้ และถ้าเส้นทางเทรลนี้ได้เข้าไปอยู่ในความฝันของใครก็ตาม ขอให้คุณอย่าปล่อยมันไว้เป็นเพียงแค่ความฝัน จงทำมันซะ ขอบคุณสองพี่น้องนักเดินทาง แบงค์ – พิชญ์พงศ์ และ มอส – พิชญ์อร โสภิตสกุลมาศ ที่แบ่งปันเรื่องราวและมุมมองในการใช้ชีวิตในป่ากับ บ้านและสวน Explorers Club
EXPLORERS: แบงค์ – พิชญ์พงศ์ และ มอส – พิชญ์อร โสภิตสกุลมาศ
AUTHOR: ไตรรัตน์ ทรงเผ่า
PHOTOGRAPHER: ศุภกร ศรีสกุล, พิชญ์พงศ์ โสภิตสกุลมาศ และพิชญ์อร โสภิตสกุลมาศ