บันทึกการเดินทางของสองสาว ที่ชวนกันจองตั๋วนั่งรถไฟไปปีนภูเขาหินปูน นอนบนยอดเขาล่องเรือตาหมื่น อัญมณีแห่งบ้านมุง ในอำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก
จากคำชวนของน้องสาวที่ชอบเสาะหาที่เที่ยว ลุยไปเรื่อยได้ทุกที่ ครั้งนี้แอมขอเลือกเดินทางด้วยรถไฟครั้งที่ 2 ของชีวิต วันนั้นน้องแอมส่งลิงก์มาให้ดูแล้วบอกว่า “พี่จูนไปปีนเขากัน รอบนี้เราจะไม่เดินป่านะ มันโคตรโหดเลยพี่ แต่รับรองสนุกแน่นอน”
เรารับคำเชิญชวนของน้องแอมโดยไม่ปฏิเสธและไม่เสียเวลาคิดเลยสักนิดเดียว ฮ่า ๆ เพราะความอยากเที่ยวแบบสุด ๆ นั่นเอง แล้วในวันนั้นเราสองคนก็แบ่งงานกันทำเพื่อวางแผนออกเดินทางท่องเที่ยว โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ ภูเขาหินปูน ล่องเรือตาหมื่น อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก
แอมมีหน้าที่จองตั๋วรถไฟ ส่วนจูนจองโรงแรมที่พักก่อนวันปีนเขา และวางแผนเรื่องข้าวของที่จะต้องเตรียมแบกขึ้นไป พร้อมทั้งคิดเมนูอาหารสำหรับนำขึ้นไปกินในวันที่ปีนเขา และตอนเช้าก่อนลงจากเขา
เราสองคนตื่นเต้นมาก เตรียมตัวกันอย่างดี เพราะดูจากรีวิวจากเพจต่าง ๆ แล้วทุกคนแนะนำว่า ควรใส่กางเกงขายาวเพื่อป้องกันหินบาด ไม่ควรใส่รองเท้าผ้าใบธรรมดา เพราะหินอาจจะทิ่มทะลุรองเท้าได้ เราสองคนจึงต้องเตรียมตัวกันหนักมาก
เริ่มจากกางเกงใส่เดินป่าขายาวที่ต้องมีซิปถอดขากางเกงเป็นขาสั้นได้ เพื่อจะได้ไม่เปลืองเนื้อที่ของกระเป๋าที่แบกขึ้นไป ส่วนรองเท้าเราใส่รองเท้าเดินป่ากันไปเพราะเซฟตี้ที่สุด และสุดท้ายคือเสื้อแขนยาวกันแดดและช่วยป้องกันการโดนหินขีดข่วน
แล้ววันออกเดินทางก็มาถึง เราออกเดินทางด้วยรถไฟจากจังหวัดชลบุรี-หัวลำโพง ราคาค่าตั๋วเพียงคนละ 23 บาท ขบวนรถเริ่มเคลื่อนออกจากสถานีต้นทาง 15.20 น. ไปถึงหัวลำโพง 18.00 น. ก่อนจะพักเข้าห้องน้ำและหาอะไรรองท้อง เสร็จแล้วจึงออกเดินทางกันต่อด้วยรถไฟตู้นอนด่วนพิเศษ ค่าตั๋วคนละ 699 บาท รถออกเวลา 19.30 น. ถึงปลายทางจังหวัดพิษณุโลกราว 02.47 น.
แต่สิ่งที่เราคาดไม่ถึงและไม่คาดคิดก็ได้เกิดขึ้นกับเรา หลังจากตื่นขึ้นมาพร้อมความมึนงง ว่านี่มันตีสองแล้ว ทำไมยังไม่ถึงพิจิตร จูนกับแอมนั่งมองหน้ากันสักพัก แล้วเดินไปล้างหน้าแปรงฟัน เพื่อรอเจ้าหน้าที่เดินผ่านมาเพื่อถาม สรุปได้ความว่า รถไฟขบวนสุดท้ายปลายทางเชียงใหม่ กำลังรอโหลดสินค้าขนของซึ่งจะนานกว่าขบวนอื่น สรุปต้องดีเลย์ไปประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง เราสองคนเลยขอนอนต่อเพราะยังไม่ถึงพิจิตร แหะๆ พอใกล้ถึงสถานีพิษณุโลก เจ้าหน้าที่มาเรียกเพื่อเตรียมตัวลงรถไฟ เย่ๆ
ประมาณตีสามครึ่ง เราเหมาตุ๊กๆ ราคา 60 บาทไปที่พักที่ห่างจากสถานีรถไฟประมาณ 3 กิโลเมตร เราพักกันที่โรงแรมศาลาไทย คืนละ 400 บาท เพื่อพักเอาแรงและอาบน้ำก่อนเดินทางไปขึ้นเขา Zzz นอนก่อนจ้า
เช้าวันใหม่วันนี้เราสองคนตื่นมาหาข้าวกินก่อนเดินทาง ซึ่งมีร้านอาหารตามสั่งอยู่ใกล้ ๆ ที่พักพอดี เราจัดกะเพราหมูสับไข่ดาวคนละ 1 จาน ราคา 40 บาท ถูกจัง! และอร่อยด้วย หลังจากนั้นเราก็เดินกลับที่พัก และนั่งคุยกับพี่เจ้าของที่พักว่า จะเดินทางไปอำเภอเนินมะปราง ตำบลบ้านมุง แต่จะทำยังไงดี มีรถเหมาไหมคะ พี่เขาเลยแนะนำแท็กซี่ให้เพราะตุ๊กตุ๊ก คงไปไม่ถึงแน่ๆ ระยะทางจากที่พักไป 70-80 กิโลเมตรเห็นจะได้ เราเลยตัดสินใจเหมาแท็กซี่ไป ซึ่งค่าแท็กซี่ขาไป 740 บาท และเราได้ดีลกับพี่แท็กซี่ไว้ว่า พรุ่งนี้หนูลงเขามารับหนูด้วยนะคะ พี่เขารับคำ แล้วบอกว่าพรุ่งนี้เจอกัน รู้สึกสบายใจ ที่เรามีรถขากลับแล้ว
เราสองคนถึงก่อนเวลานัดรวมพล จึงโทรหาพี่ดรซึ่งเป็นนายพรานและเจ้าหน้าที่ผู้นำทางพาเราขึ้นเขาในครั้งนี้ว่าเรามาถึงแล้ว จะให้รอตรงไหนดีคะ สักพักพี่ดรก็ขับรถมารับแล้วพาเราทัวร์รอบๆ เพื่อรอเวลารวมพล แถมยังใจดีให้เราสองคนยืมจักรยานปั่นเล่นตอนเที่ยง ฟังไม่ผิดจ้ะ เที่ยงๆ แดดเปรี้ยงๆ นี่แหละ
ด้วยความที่ไม่มีอะไรทำ เราเลยไปปั่นจักรยานเล่นกัน ได้ชมวัดเก่าแก่ของ ตำบลบ้างมุง มีถ้ำหินงอกหินย้อยอันสวยงาม และมีจุดชมค้างคาวออกจากถ้ำด้วยนะ เมื่อชมถ้ำกันเหนื่อยแล้ว เราก็ไปนั่งร้านกาแฟเก๋ๆ วิวภูเขาที่เพิ่งเปิดใหม่ โดยมีน้องบาร์ริสต้าสุดหล่อรอยสักเต็มตัวรอต้อนรับอยู่
นั่งพักจนหายเหนื่อย เราก็ไปหาข้าวกินกันตามคำแนะนำของพี่ดร ร้านอาหารตามสั่งราคาย่อมเยา แต่อร่อยและคุณภาพคับจานสมกับที่พี่ดรแนะนำ จบทริปปั่นจักรยาน
เพื่อรอเวลานัดรวมพล เรารีบปั่นจักรยานกลับไปหาพี่ดร แล้วขึ้นรถกลับไปที่จุดรวมพล ที่หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ สล.6 (บ้านมุง)
ทริปนี้เรามีผู้ร่วมเดินทางเพิ่มขึ้นอีก 2 คน คือพี่ธวัชชัย และพี่เอก ตากล้องมืออาชีพ เราสองคนไปตรวจวัดอุณภูมิร่างกายและลงทะเบียนเพื่อขึ้นเขา ค่าทริปนำทางขึ้นไปคนละ 2,000 บาท รวมค่าอาหาร 1 มื้อ พร้อมน้ำดื่มที่เขามีให้เราก่อนขึ้นเขา 1 ขวด และยังมีน้ำดื่มรออยู่บนเขาอีก 6 ขวด ค่าลูกหาบอีก 50 บาท ต่อ 1 กิโลกรัม ของเรา 12 กิโลกรัม คิดเป็นเงิน 600 บาท จ่ายเงินเสร็จก็เตรียมพร้อมลุยกันเลยจ้า
พี่ดรแจกถุงมือให้เราคนละ 1 คู่ และหมวกกันน็อกอีก 1 ใบ ซึ่งเป็นอุปกรณ์บังคับที่เราต้องใช้ในการขึ้นเขา เราเดินทางจากจุดสตาร์ท 800 เมตร ผ่านสวนมะม่วงและป่ายางจนถึงตีนเขา และความสนุกก็ได้เริ่มต้นขึ้น
เราเดินตามพี่ๆ ขึ้นเขาด้วยความชันบางช่วง หรือเกือบๆ 45 องศา ต้องไต่เชือกปีนบันไดขึ้นไปประมาณเกือบ 1 กิโลเมตร เตือนก่อนเลย สำหรับคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย อาจเกิดอาการเหนื่อยหอบ และหัวใจเต้นแรงมาก อาจถึงโซน 5 ได้ พี่กฤษหนึ่งในพรานผู้นำทางเล่าให้เราฟังว่า บางคนขึ้นไปถึง 190 เลยนะ ซึ่งเขามักจะหันมาถามเราว่า ไหวกันไหม พักก่อนไหม คำตอบคือเรายังไหว สามารถเดินไปถ่ายรูปแบบไม่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เพราะรู้สึกสนุกมากว่า
ขณะที่บททดสอบที่ยากกว่าการป่ายปีนขึ้นเขา มันเริ่มต้นขึ้นเมื่อเรามาถึงป้ายพิชิตยอดเขา แต่เรายังไม่ถึงที่นอนนะคะ ซึ่งที่นี่เขามีโซนให้นอนหลายโซนมาก เราเลือกโซนหน่อแรด เป็นโซนที่ไกลสุดและเดินไปยากที่สุด นั่นแหละสิ่งที่เราต้องการ
ตอนไต่เขาหิน มันทั้งสุดแสนทรมานและสนุก เราต้องทรงตัวบนหินเรียวแหลม มือข้างหนึ่งจับเกาะและค่อยๆ ไต่ขึ้นลง ลัดเลาะไปเรื่อยๆ ไต่บันไดลิง ปีนหินถ่ายรูป พี่ดรบอกว่า นี่คือการมาเรียนรู้การใช้ชีวิตแบบเลียงผา เขาจะเดินเก่งมากบนนี้ และบางจุดพี่ดรชี้ให้เราดูอุนจิเลียงผาด้วย
พอไต่จนถึงที่นอนของเราแล้ว ถึงกับตกใจเพราะสัมภาระของเรามาถึงก่อนตัวเราอีก พี่ลูกหาบเก่งมากๆ เลย เขาชำนาญทางและแบกของแบบไม่มีเหน็ดเหนื่อย พี่ดรเล่าให้เราฟังเรื่องพี่ลูกหาบว่า พวกพี่ๆ เขาเป็นนายพรานล่าสัตว์มาก่อน และพี่ดรอยากให้พี่ๆ เขามีรายได้และอาชีพ จะได้ไม่ไปล่าสัตว์อีก เลยชักชวนมาเป็นลูกหาบให้นักท่องเที่ยว ดีกว่าหากินแบบเก่า
พอถึงโซนหน่อแรดก็ใกล้ช่วงเวลาเย็นมากแล้ว ระหว่างพระอาทิตย์ใกล้ตกดินจึงขอเก็บภาพสวยๆ เป็นที่ระลึก ส่วนเต็นท์เราก็ไม่ลืมประดับโคมไฟระย้าเพื่อถ่ายรูปกันอีก (ไหนๆ ก็ขึ้นมาแล้วนี่ ก็ต้องเอาให้คุ้ม) จากนั้นพี่ธวัชชัยซึ่งได้เหมาหมูกระทะมาได้ชวนเราร่วมวงด้วย เราเลยได้กินมื้อดีๆ บนยอดเขาหินปูนแบบฟินกันไปเลยจ้า
พอกินเสร็จก็แยกย้ายกันเข้านอน แอมหนีไปนอนเปลที่เช่าพี่ดรไว้ เปลละ 100 บาท ส่วนจูนนอนในเต็นท์ บอกเลยว่าโซนหน่อแรดไม่แนะนำเอาเต็นท์ไปกางนอนเลยค่ะ เพราะลมไม่เข้าเลย มันเป็นแอ่งหิน แต่ถ้านอนเปลจะโอเคกว่าค่ะ
พอถึงตี 3 แอมและทุกคนตื่นมาถ่ายรูปทางช้างเผือกกันอย่างสนุกสนาน ส่วนจูนขอนอนต่อไม่ลุกไปไหน เพราะว่านอนไม่หลับ พี่ธวัชชัยกรนเสียงดังมาก เลยของีบต่ออีกสักหน่อย พอตี 5 ทุกคนกลับมานอนต่อ เพื่อเอาแรงก่อนปีนเขาลงไปยังเบื้องล่าง เช้าตื่นขึ้นมา ทุกคนเก็บความสุขท่ามกลางบรรยากาศของธรรมชาติอันบริสุทธิ์กันแบบเต็มปอด และไม่ลืมที่จะเก็บภาพพระอาทิตย์ขึ้น ด้วยการบินโดรนเก็บภาพทุกมุมมองจากฝีมือของพี่เอก
เรียบร้อย เราก็กินขนมปังและโอวันติน ก่อนเตรียมตัวลงจากเขา เพราะหากลงช้าจะร้อน แดดเผา เราตายแน่ๆ พอลงมาถึงหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติฯ ข้างล่าง เราได้แยกย้ายกันอาบน้ำ และเตรียมตัวแพ็คกระเป๋ารอเดินทางกลับ ส่วนเราสองคนรอพี่แท็กซี่ที่ติดต่อไว้ตั้งแต่วันแรกให้มารับ
ค่าเดินทางกลับด้วยแท็กซี่ขากลับ 760 บาท และค่ารถไฟขากลับ เรานั่งรถไฟสปรินเตอร์กลับ ค่าตั๋วคนละ 479 บาท แล้วเราสองคนก็ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย…
ป.ล. ช่วงที่เดินเล่นกับพี่ดร เราสองคนสัมภาษณ์พี่เขาตลอดเส้นทาง
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า ทำไมถึงมาบุกเบิกที่นี่ พี่ดรเล่าให้ฟังว่า “พี่อยากให้ชุมชนบ้านมุงเป็นชุมชนของการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน ชาวบ้านมีรายได้จากการที่มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยว และมีรายได้เสริมจากการเป็นคนนำทางและเป็นลูกหาบ เพราะคนเหล่านี้อาชีพดั้งเดิมของเขาคือนายพราน ถ้าเขามีอาชีพอื่นเสริมได้โดยที่ไม่เบียดเบียนสัตว์ พี่ว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ดี พี่จึงได้ริเริ่มทำที่นี่ครับ”
“อีกอย่าง พี่อยากให้บ้านมุงเป็นที่เที่ยวแห่งใหม่ และยังได้กระจายรายได้สู่ชุมชน ชาวบ้านจะได้ไม่ขายที่ไปอยู่ที่อื่น นายพรานจะได้ไม่ล่าสัตว์ป่า ในอนาคตจะมีกิจกรรมปีนผา โรยตัวจากผาอีกด้วย น้องอย่าลืมกลับมาอีกนะ” พี่ดรชักชวนเราให้กลับมาอีกครั้ง
ลืมบอกอีกอย่างว่า ที่นี่เข้าทำระบบห้องน้ำอย่างดีนะคะ ถ้าขับถ่ายให้ใส่ถุงเล็กๆ ที่พี่ๆ เขาเตรียมให้ และมัดถุงเล็กใส่ถุงดำใหญ่ แล้วเจ้าหน้าที่จะมาจัดการให้ค่ะ เพื่อไม่ให้มีกลิ่นรบกวนใจ แถมไม่ทำลายธรรมชาติอีกด้วย เป็นอันจบทริปค่ะ
ขอขอบคุณ หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ สล.6 (บ้านมุง)
[ EXPLORERS ]
จูน, แอม