บรรยากาศของป่าที่ร่มครึ้มและต้นไม้ที่สูงใหญ่ ทำให้พวกเรารู้สึกเหมือนเป็นตัวละครที่อยู่ในหนังผจญภัยสักเรื่อง การเดินลุยลำธารของเส้นทางนี้เกิดขึ้นแทบตลอดเวลา เราพักแรมในแคมป์กลางป่ากันหนึ่งคืน และวันรุ่งขึ้นเราจะใช้ชีวิตล่องไปบนเรือแคนู และแคมป์กันริมแม่น้ำอีกหนึ่งคืน….นี่คือเส้นทางเดินป่าแห่งใหม่ที่น่าประทับใจแบบ 2 รสชาติที่ใช้เวลาเพียง 3 วัน 2 คืน
เส้นทางนี้เป็นอย่างไร ต้องเตรียมตัวและเดินทางไปอย่างไร เราบอกไว้นี้หมดแล้ว
“เส้นทางน้ำตกแม่อุมแฮด” คือเส้นทางเดินป่าแห่งใหม่ของโรงเรียนนักเดินป่าสาขาสอง ที่อุทยานแห่งชาติแม่เงา ตำบลสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ถ้าใครได้ติดตามเพจของพวกเราอยู่ อาจจะคุ้นตากับเรื่องราวของโรงเรียนนักเดินป่าที่พวกเราได้ลองไปเยี่ยมเยือนกันมาบ้างแล้ว ครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวที่พิสูจน์ว่าโรงเรียนนักเดินป่าที่ถูกก่อตั้งขึ้นด้วยน้ำพักนำแรงของคนกลุ่มหนึ่ง กำลังไปได้ดีและทำหน้าที่ส่งต่อวัฒนธรรมการท่องเที่ยวธรรมชาติอย่างถูกต้องให้กว้างขึ้นไปอีกขั้นแล้ว
พวกเราได้ยินคำบอกเล่าที่บรรยายถึงเส้นทางนี้ตั้งแต่ยังเริ่มสำรวจใหม่ ๆ ความอุดมสมบูรณ์ของป่า และความสวยงามของสองฝั่งแม่น้ำตอนที่อยู่บนเรือแคนู เส้นทางเดินที่ไม่ยากเกินไป 90% คือการเดินลงเขา ทำให้พวกเราตื่นเต้นและเฝ้ารอที่จะมาสำรวจเส้นทางนี้กันมาพักใหญ่…และในที่สุดวันที่เราเดินทางไปก็มาถึง
เราเดินทางกันมาจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่ 6 โมงเช้า มาถึงนี้ก็ประมาณ 5 โมงเย็น จะเรียกว่าพวกเราดำรงชีวิตและเติบโตกันบนรถตู้ก็ได้ ทันทีที่ไปถึงเราก็รับประทานอาหารเย็นและ เข้าที่พักเตรียมตัวจัดกระเป๋าสัมภาระกันใหม่ งานนี้ไม่มีลูกหาบอยากกินอะไร แบกไปกันเองเท่านั้น และแน่นอนว่าน้ำคือเรื่องที่พวกเราให้ความสำคัญที่สุดสำหรับการเดินทางครั้งนี้
ชีวิตขาลง
พวกเรานัดกับชาวบ้านนำทางเอาไว้ตอนแปดโมงเช้า เพื่อนั่งรถกระบะพร้อมเป้สัมภาระไปยังจุดเริ่มต้นกันที่บริเวณริมถนนเส้น 105 หลังจากนั้นพวกเราก็เดินเท้ามุ่งหน้าไปที่จุดสกัดบ้านแม่อมกิ ระยะทางไม่ไกลมาก สบาย ๆ เพราะเดินลงอย่างเดียว ตรงนี้ยังเป็นถนนที่รถกระบะยังขับเข้ามาได้ แต่หลังจากผ่านจุดสกัดไป ก็เป็นเส้นทางเดินเท้าล้วน ๆ แต่อย่างที่บอกไปว่าเส้นทางนี้สบาย ๆ เดินลงอย่างเดียว
ด้วยความเป็นป่าที่มีต้นไม้ใหญ่หนาแน่น เส้นทางเดินลัดเลาะลำธารไปเกือบตลอด เลยทำให้บรรยากาศของการเดินป่าที่นี่สบาย ๆ ไม่ร้อน จุดพักค่อนข้างเยอะ แต่ต้องระวังอย่ารั้งท้าย ควรพักกันเป็นกลุ่ม ด้วยความที่เป็นเส้นทางเปิดใหม่ มองไปตรงไหนก็ดูเหมือนจะเป็นทางเดินไปเสียหมด ถ้าไม่ชินทาง เผลอชมนกชมไม้เพลิน เดี๋ยวจะเดินหลง แต่ก็ไม่ต้องกังวลเพราะจะมีเจ้าหน้าที่เดินนำและปิดท้ายกลุ่มพวกเราเสมอ แต่ยังไงก็ต้องระวังจะแวะยิงกระต่ายก็บอกให้หยุดรอกันสักหน่อย อย่าแอบไปคนเดียว
เส้นทางส่วนใหญ่ อย่างที่บอกไปคือ 90% เป็นการเดินลงก็จริงอยู่ แต่เดินลงแบบไม่พักใช้มัดกล้ามเนื้อเหน้าขากันอย่างหนักหน่วงต่อเนื่องนานเกินไป เราเดินกันมาพักใหญ่ ๆ จนตอนนี้ทุกคนหันมามองหน้าสบตากันแล้วเริ่มยิ้มอ่อน เหมือนในใจคิดว่าทางเดินก็ไม่หมูนี่หว่า และเริ่มรู้สึกว่าเป้ที่แบกอยู่ทำไมมันหนักกว่าเดิม เลยหันไปถามคนนำทางว่าจุดแคมป์อีกไกลไหม คำตอบที่เราได้มาพร้อมรอยยิ้มสวย ๆ ของพี่เขาก็คือ “ยังไม่ครึ่งทางเลยครับ”
เปียกเป็นปกติ
เราตื่นเต้นกันมากกับลำธารจุดแรก และใช้เวลาหยุดถ่ายรูปกันครู่หนึ่ง แต่หารู้ไม่เลยว่ายังมีจุดที่สวยงามให้เราได้ร้อง อู้หู อ้าหา กันอีกหลายที่จนเบื่อกันไปเลย การที่ได้ลุยลำธารกันตลอดเวลากลายเป็นเรื่องปกติของเส้นทางนี้ ในแต่ละช่วงความสวยงามก็แตกต่างกันไป บางจุดเราก็เจอเข้ากับต้นไม้ใหญ่ล้มพาดลำน้ำเหมือนสะพาน บางจุดก็เป็นลำธารตื้น ๆ แต่กว้างมองเห็นวิวลึกเข้าไปในป่า
ไอ้รองเท้าที่เราถอยกันมาใหม่คุยกับเพื่อนถึงสรรพคุณกันน้ำอันล้ำเลิศของมันอย่างนั้นอย่างนี้ บลา ๆ ๆ ดูเหมือนใช้ไม่ได้กับเส้นทางนี้เพราะระดับน้ำสูงเลยข้อเท้าตลอด ตอนนี้ไม่ว่าจะรองเท้าอะไรก็เปียกฉ่ำเหมือนกันหมดอยู่ดี แต่จะว่าไปการมีรองเท้าเดินป่าดี ๆ สักคู่ถือเป็นเรื่องที่น่าลงทุน เพราะมันช่วยเรื่องการยึดเกาะพื้นผิวและช่วยปกป้องเท้าเราได้อย่างดี ถึงตอนนี้มันจะกลายเป็นตู้ปลาตีนไปแล้วก็เถอะ
น้ำตกกลางป่าและอาหารกลางวัน
ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงเวลาเที่ยงวันแล้ว ตรงจุดที่เราหยุดพักนี้ทำเราลังเลว่าจะกินข้าวก่อนดี หรือจะไปน้ำตกก่อนดี สุดท้ายพวกเราก็พ่ายแพ้ต่อความงามของธรรมชาติ น้ำตกหินปูนกลางป่ามันคือสวรรค์บนดินแท้ ๆ ความสวยงามกับสัมผัสอันเย็นฉ่ำของละอองน้ำ คืออาหารกลางวันทางใจของนักเดินทางอย่างพวกเรา มันช่วยให้เราหายเหนื่อยกันอย่างปลิดทิ้ง
น้ำตกแม่อุมแฮด เป็นน้ำตกกลางป่าที่นับได้คร่าว ๆ คือเจ็ดชั้น ในแต่ละชั้นปีนขึ้นไปไม่ไกลมากบางจุดก็อ้อมไป บางจุดก็ปีนไต่ไปตามโขดหินตรงน้ำตกได้เลย เฮ้ย! นี่มันหนังผจญภัยชัด ๆ ตอนนี้เราตื่นเต้นจนจินตนาการเตลิดไปไกลแล้ว พวกเราสนุกมากกับการไต่น้ำตกขึ้นไปจนลืมวัย ลืมสังขาร ลืมความอ่อนล้าที่กล้ามเนื้อขาไปอย่างสิ้นเชิง เราปีนกันเลยเถิดลืมหิวไปจนถึงชั้นที่หก จนพี่ชาวบ้านต้องเบรกว่าพอเถอะเดี๋ยวไปแคมป์ไม่ทัน เพราะในแต่ละชั้นเราก็ใช้เวลาดื่มดำกันพอสมควร
เอาล่ะเรากลับมาที่จุดพักเดิมแล้วแกะห่อข้าวกลางวันซัดกันกลางป่าริมน้ำตกแบบนี้แหละ ดูเหมือนว่ามันกลายเป็นช่วงเวลาที่สงบที่สุด เราถูกเสบียงที่หิ้วมาปิดปากพวกเราเอาไว้สนิทไม่มีใครคุยกับใครเลย ตอนนี้เสียงน้ำตกและเสียงป่าชัดมาก
ช่วงสุดท้ายที่ยาวนาน
หลังจากเราเติมอาหารลงท้องกันแล้วก็เตรียมตัวเดินทางกันต่อ ทันทีที่ยกเป้ขึ้นหลังเราทุกคนก็สัมผัสถึงสัมภาระที่ดูเหมือนจะหนักขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้ความตึงที่ขามาแทนที่ความตื่นเต้นไปซะแล้ว พวกเราใช้พลังขาไปกับการปีนป่ายน้ำตกกันหมดก๊อกไปแล้ว แต่เอาเถอะยังไงก็ยังถือว่าเป็นเส้นทางที่เดินง่ายอยู่ดี เพียงแต่มันมาเพียงครึ่งทางเท่านั้นเอง ตอนนี้แต่ละก้าวของเรายกสูงแทบไม่พ้นยอดหญ้า ทางยังคงลง และลง เหมือนเดิม ถือว่าเป็นช่วงสุดท้ายที่พวกเรารู้สึกว่ายาวนานมาก
เราเดินข้ามน้ำอีกหลายจุด ตอนนี้เสียงหอบชัดเจนกว่าเสียงอะไรทั้งปวง แต่ในที่สุด……เราก็เห็นลานข้างหน้า ผมเลยหันไปถามคนนำทางว่า “ถึงแล้วเหรอครับ” พี่เจ้าหน้าที่ยิ้มสวย ๆ ให้พวกเราอีกครั้งแล้วบอกว่า “ยังครับ” และผมก็ได้แต่เก็บความเหนื่อยไว้ในใจ ส่งรอยยิ้มพร้อมแววตาหม่นหมองกลับไปแทน
น้ำคือเรื่องจำเป็น
จนแล้วจนรอดในที่สุดประมาณ สี่โมงกว่า ๆ เราก็มาถึงจุดตั้งแคมป์ เอาจริง ๆ ก็เป็นทางเดินแปดกิโลกว่า ๆ ก็ถือว่าไม่ไกลมาก แต่เราทุกคนก็สมัครใจเลือกที่นั่งพักกันก่อนแล้วค่อยเริ่มกางเต็นท์ จัดข้าวของ ตรงจุดที่เราพักนี้ติดกับลำธารเราสามารถอาบน้ำ และเติมน้ำเอาไว้เพื่อดื่มและประกอบอาหารได้เลยถ้าคุณพกเครื่องกรองน้ำกันมาด้วย วินาทีนั้นความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวผมทันที “นี่เราจะแบกน้ำกันมาทำไมวะ เพราะเราเอาเครื่องกรองน้ำมานี่หว่า” มันสายไปแล้วกว่าจะรู้สึกตัวว่าเราแบกน้ำหนักเกินความจำเป็นมาทำไมกันในเมื่อมันมีน้ำให้เติมได้อยู่ตลอดเส้นทาง
เครื่องกรองน้ำคืออุปกรณ์หนึ่งที่จะทำให้การเดินทางของเราคล่องตัวขึ้น หากเส้นทางที่เราไปมีแหล่งน้ำ เราสามารถลดนำหนักของสัมภาระได้หลายกิโลเลยทีเดียว แต่ถ้าไม่มีเครื่องกรองน้ำมาก็ไม่เป็นไรเพราะเจ้าหน้าที่เขามีไว้บริการให้ด้วย สรุปว่าน้ำคือเรื่องจำเป็น แต่ไม่จำเป็นต้องแบกให้มันหนักเกินไปถ้าเส้นทางเดินมีแหล่งน้ำ เอาไปเพียงแค่ใช้ดื่มระหว่างทางก็พอ แต่ถ้าใครถ้าแบกไหวจะเอาไปเผื่อก็ไม่ผิดอะไร เอาตามสะดวกกันดีกว่า แต่สำหรับผม คราวหน้าไม่แบกแน่ ๆ
มื้อเย็น
หลังจากที่เราจัดการตัวเองเรียบร้อยอาหารสำเร็จรูปสารพัดก็ถูกนำมากองเอาไว้รวมกัน ชุดอุปกรณ์ที่เราเตรียมมาตอนนี้มันคือพระเอกที่สุดของงาน ไข่ที่ถูกตอกใส่ขวดพลาสติกเอาไว้ด้วยความตั้งใจของผมที่จะทำไข่คนใส่แหนมและกระเทียม สุดท้ายมันถูกเทลงพรวดเดียวลงบนกระทะใบเล็กแบบที่กระเทียมไม่ทันปลอก และแหนมไม่ทันแกะ หรือแม้แต่ไข่ก็ไม่ได้ปรุงรสเราต่างงัดของที่อยากกินเอาออกมาทำกันอย่างสนุกสนาน จะว่าไปรสชาติอาหารมันก็งั้น ๆ แต่มันดันถูกปรุงรสด้วยมิตรภาพของคนในวงเลยทำให้มื้อนี้กลายเป็นมื้อที่อร่อยและสุดพิเศษไปเลย…และหลังจากนั้นสามทุ่มเราก็แยกย้ายหลับเป็นตายกันทั้งแก๊งค์
ล่อง
วันนี้เราเริ่มต้นชีวิตด้วยอาหารเช้าแบบง่าย ๆ และเก็บข้าวของแบบเร็ว ๆ เพื่อเดินเท้าต่อไปอีกประมาณสองกิโลไปยังริมแม่น้ำแม่เงา อาการขาอ่อนแรงมันชัดขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้เราเข้าใจถึงหัวอกของผู้สูงอายุเวลาลงบันไดแล้ว เราเข้าใจพ่อแม่เรามากขึ้นเป็นกองก็วันนี้ เสียงย่ำเท้าเกิดขึ้นพร้อมกับเสียงโอดโอยของพวกเราตลอดทาง แต่ไม่นานนักพวกเราก็เดินมาถึงริมแม่น้ำแม่เงา ทันทีที่เห็นเรือแคนูลอยลำจอดรออยู่ตรงหน้า ก็รู้ทันทีว่านี่คือจุดสิ้นสุดของเจ้ากรรมนายเวรที่มาในรูปแบบเป้สัมภาระแล้ว หลังจากนี้คอ บ่า ไหล่ ของเราได้เป็นอิสระแล้ว นับจากนี้พวกเราจะนั่งเท่ ๆ พายเรือชิลๆ และดื่มด่ำกับธรรมชาติรอบตัวไปตลอดเส้นทาง
ยอมรับว่าช่วงเวลาบนเรือแคนูนี้มันพิเศษจริง ๆ ต้นไม้ใหญ่โบราณริมตลิ่งมันทำให้เราจินตนาการไปถึงหนังแฟนตาซี ความสงบเงียบกับเสียงของกระแสน้ำเหมือนเป็นการบำบัดความว้าวุ่นในใจของคนเมืองอย่างพวกเราได้เป็นอย่างดี ความผ่อนคลายถูกสลับไปกับความตื่นเต้นของกระแสน้ำเชี่ยวแรงในบางจุด มันทำให้เราตื่นตัวได้ตลอดเวลา ไม่มีช่วงไหนน่าเบื่อเลย
อีกสิ่งที่น่าประทับใจและเป็นสิ่งที่พวกเราคาดไม่ถึงก็คือ เส้นทางที่เราล่องเรือไปบางจุดจะผ่านชุมชน เราจอดเรือพักกันที่ “บ้านแม่หลุย” และเดินขึ้นไปริมตลิ่งหาข้างกลางวัน และเติมเสบียงกันเราจะเจอเครื่องดื่มเย็น ๆ ดับกระหายได้ที่นี่ ถ้าเปรียบว่าตอนนี้เรากำลังเล่นเกมผจญภัยอยู่ ตรงนี้มันคือโบนัสสเตจนี่เอง และแน่นอนเราไม่พลาดที่จะตุนเครื่องดื่ม และไอเท็มเด็ด ๆ จากสเตจนี้แน่นอน
ความงามในคืนที่ไร้ดาว
เราใช้เวลาล่องเรือสามชั่วโมงโดยประมาณก็ถึงจุดพักแรม บริเวณนี้จะเป็นลานโล่งกว้าง ทำเลสวยเลยทีเดียวแต่หินกรวดจะเยอะหน่อย ถ้ากางเต็นท์ก็สำรวจพื้นที่กันให้ดีเสียก่อน
ตรงนี้เราสามารถให้เจ้าหน้าที่นำทางพาเดินไปด้านหลังผ่านทุ่งนาหาซื้อของอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่ “บ้านแม่คะใต้” แบบไปกลับไม่เกินครึ่งชั่วโมง แต่ถ้าเริ่มเดินไปตอนเย็นก็หยิบไฟฉายติดไปด้วยก็ดี ถ้าในคืนเดือนมืดจะเห็นดาวเต็มฟ้า แต่พวกเรามาในวันที่พระจันทร์ขยันทำงานพอดี ถึงจะไม่เห็นดาวแต่แสงจันทร์มันฉาบบรรยากาศตรงนั้นเหมือนกับภาพวาดโมโนโทนสวย ๆ ภาพใหญ่ ๆ แสงที่สะท้อนลงบนแม่น้ำยามค่ำคืนมันสุดแมนจะโรแมนติก มันทำให้มื้อเย็นของพวกเรายิ่งพิเศษไปใหญ่
บรรยากาศที่ดีทำให้วันนี้ทำให้การสนทนาดูสนุกสนานออกรสกันเป็นพิเศษ เลยนอนดึกกันสักหน่อย อาหารที่เตรียมมาถูกเทกระจาดกวาดกินกันจนเรียบ จะเหลือเพียงแค่บางส่วนไว้กินตอนเช้าเท่านั้น อาการหาวเป็นสัญญาณบอกว่าถึงเวลาพักแล้ว สุดท้ายพวกเราก็แยกย้ายไปคนละมุมและหลับไปท่ามกลางแสงจันทร์ และเสียงของแมลงกลางคืนผสมกับเสียงของกระแสน้ำไหลเบา ๆ เหมือน ASMR อย่างดี
ล่มลื่น
วันสุดท้ายของการเดินทางก็มาถึง วันนี้เราล่องเรือไม่ไกลมาก จุดหมายปลายทางคืออุทยานแห่งชาติแม่เงา เราต้องพายเรือผ่านกระแสน้ำเชี่ยวหลายจุด การเดินทางด้วยเรือแน่นอนว่าเราอาจจะมีความเสี่ยงจากการที่เรือล่มได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกครั้ง และทุกลำจะล่มเสมอไป…แต่ครั้งนี้ไม่ใช่
พวกเรามักไม่พลาดที่จะต้องได้เจออุปสรรคสุดท้าย เรือหนึ่งในสามลำของพวกเราเสียหลักจากช่วงคุ้งน้ำที่กระแสเชี่ยว ทำให้พวกเราสามคนลงไปลอยคอเล่นน้ำพร้อมสัมภาระทุกชิ้นอย่างสดชื่น
แม่น้ำของที่นี่ไม่ได้ลึกมากบางจุดก็สามารถยืนถึง พวกเราใช้มือและเท้าเกี่ยวข้าวของเอาไว้ได้หมดทุกชิ้น แล้วเกาะเรือลอยคอค่อย ๆ เข้าหาตลิ่ง ไม่นานนักเรืออีกสองลำก็มาช่วยกันกู้เรือกับยกข้าวของเก็บให้ เราใช้เวลาตรงนี้ไม่กี่นาทีก็ไปต่อได้สบาย บอกได้เลยว่าลำนี้สดชื่นกว่าใครจริง ๆ แล้วเรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้กับทุกกลุ่มที่เดินทางไป เพียงแต่เราเตรียมตัวให้ดีห่อข้าวของที่สำคัญไว้ด้วยถุงกันน้ำหรือถุงดำไว้ และควรใส่เสื้อชูชีพ ทุกอย่างก็จะปลอดภัย มันไม่ได้ดูน่ากลัวอะไรเราทุกคนกลับสนุกกันเสียด้วยซ้ำ
บทสรุป
เส้นทางเดินป่าน้ำตกแม่อุมแฮด เป็นเส้นทางเดินป่าระยะสั้นแห่งใหม่ของโรงเรียนนักเดินป่า โดยอุทยานแห่งชาติแม่เงานี้ถือได้ว่า เป็นเส้นทางที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเดินป่ามือใหม่ มือเก๋าแค่ไหนก็ไม่ควรพลาด ประสบการณ์ 2 แบบ 2 อารมณ์ แบบเดินป่าหนึ่งวันล่องเรือหนึ่งวันแบบนี้ หาได้น้อยมากในเส้นทางเดินป่าบ้านเรา ต้องขอบคุณคณะสำรวจ เจ้าหน้าที่อุทยาน และชาวบ้านทุกคนที่ร่วมมือกันทำให้เกิดเส้นทางท่องเที่ยวที่น่าประทับใจนี้
ไปไงมาไง
เส้นทางเดินป่าน้ำตกแม่อุมแฮดเป็นวิสาหกิจชุมชน ผู้ที่สนใจจะไปท่องเที่ยวต้องทำการลงทะเบียนและลงทะเบียนเรียนออนไลน์กับโรงเรียนนักเดินป่าเสียก่อน หลังจากนั้นค่อยจองคิวท่องเที่ยวได้ที่ Facebook เส้นทางเดินป่าระยะไกลชุมชนขุนน้ำเงา ถ้าได้วันเวลาแล้วที่เหลือคุณก็เตรียมตัวให้พร้อม งานนี้ไม่มีลูกหาบต้องแบกของไปเองทั้งหมด อุปกรณ์จำเป็นต่าง ๆ และอุปกรณ์ประกอบอาหารเตรียมกันให้ดี ยาฉีดกันยุง ไฟฉาย ไฟแช็ค และหากคุณมีเครื่องกรองน้ำก็สบายหน่อย แต่ถ้าไม่มีแนะนำว่าสอบถามกับทางผู้นำเที่ยวให้ชัดเจนว่าต้องการให้เตรียมไว้ให้ นัดแนะกันให้ดีเพราะตรงนั้นสัญญาณโทรศัพท์ไม่มี
ถุงดำ และถุงกันน้ำคือสิ่งที่ไม่ควรลืม มันจะห่อหุ้มอุปกรณ์ เครื่องนอน เสื้อผ้า หรืออะไรก็ตามแต่ที่คุณไม่อยากให้มันเปียกน้ำได้เป็นอย่างดี ขยะทุกชิ้นแม้กระทั้งเศษเปลือกลูกอมเล็ก ๆ ควรเก็บกลับไปด้วย และกระดาษทิชชู่เปียกไม่ใช่สิ่งย่อยสลายได้ แนะนำว่าไม่ควรนำไปใช้ ถ้าคุณเดินทางมาไกลอย่างพวกเราก็เผื่อเวลาหนึ่งวันและจองที่พักให้ดี
เรื่องอาหารการกินตอนเย็น ก่อนจะถึงอุทยานหากผ่านตลาดตรงไหนก็ควรแวะหาซื้อเข้าไปให้พร้อม ถ้าจะซื้อตุนเผื่อไปตอนเช้าได้ก็ดี จะประหยัดเวลาได้มากขึ้น แต่แถวนั้นยังพอมีร้านอาหารอยู่ที่พอให้คุณฝากท้องไว้ได้ หากต้องการมากินตอนเช้า แล้วห่อไปสำหรับมื้อกลางวันด้วยก็ดี หลังจากนั้นก็ลุยได้เลย เรามั่นใจว่าคุณจะได้รับประสบการณ์การท่องเที่ยวที่น่าประทับใจแน่นอน
สามารถทำแบบฝึกหัดของโรงเรียนนักเดินป่าได้ที่
.
ติดต่อสอบถามเส้นทางเดินป่าแม่อุมแฮดได้ที่ https://www.facebook.com/MaeNgowTrekking
ขอบคุณ อุปกรณ์เดินป่าจาก ThailandOutdoor ที่ทำให้ชีวิตพวกเราอยู่ได้อย่างสะดวกสบายขึ้นเป็นกอง, หัวหน้ากุ๊ก (ทรงยศ โรจนรัตน์) หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแม่เงา และเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่อำนวยความสะดวกให้กับพวกเรา, พี่ไก่ และทีมงานชาวบ้าน ที่นำทางและคอยดูและพวกเราเป็นอย่างดี
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ เพิ่มเติมของโรงเรียนนักเดินป่าจากพวกเราได้ที่ เส้นทางปฐมบทของโรงเรียนนักเดินป่า ภู1700 https://explorersclub.baanlaesuan.com/trip/outdoor-education
EXPLORERS: เต้, บาส, ปลา, เดียร์, เฟี้ยต, กัน
AUTHOR: บดินทร์ บำบัดนรภัย
PHOTOGRAPHER: นภสิทธิ์ ตันเสียดี