หนึ่งวันดีๆที่ ลอนดอน สำหรับทริปนี้ เราจะพาคุณออกนอกเส้นทางที่คุ้นหูกันอย่าง Big Ben, London Eye หรือ Hyde Park รวมถึงตลาดอาหารยอดฮิตอย่าง Borough Market แต่เราจะพาคุณไปสัมผัสบรรยากาศของย่านฮิปและเก๋ไก๋ที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันมากนัก นั่นก็คือ “Bermondsey” (เบอร์มอนซี่)! ที่นี่เป็นมุมลับของลอนดอนที่เต็มไปด้วยความมีเสน่ห์ของศิลปะ วัฒนธรรม และไลฟ์สไตล์ที่ชาวคูลๆ ต้องหลงรัก
เบอร์มอนซี่เป็นย่านอุตสาหกรรมเก่าแก่ของลอนดอน ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางการผลิตและฟอกเครื่องหนังที่สำคัญ การมาเยือนที่นี่จะทำให้คุณได้สัมผัสกับสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะโรงงานเก่า ๆ ที่ยังคงถูกอนุรักษ์ไว้ และได้รับการปรับปรุงให้กลายเป็นอาคารสำนักงานสมัยใหม่ ความลงตัวระหว่างอดีตและปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ของเมืองลอนดอนได้อย่างงดงาม
แต่บอกตามตรง การไปเที่ยวเบอร์มอนซี่คงไม่ใช่สถานที่แรก ๆ ที่คนจะนึกถึง อาจเป็นเพราะหลายคนยังติดภาพจำว่า ย่านนี้ในอดีตเคยเป็น ‘สลัม’ ซึ่งมีความ ‘โกโรโกโส’ และ ‘อันตราย’ ในปัจจุบันหากไม่นับส่วนที่ฮิปแล้วบริเวณโดยรอบ ก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่นัก
ในช่วงทศวรรษที่ 1840 นักเขียนชื่อดังสัญชาติอังกฤษ Charles Dicken (ชาร์ลส ดิกคิน) เขียนถึงย่านนี้ในนิยายดัง Oliver Twist (โอลิเวอร์ ทวิสท์) ว่าเป็นย่านที่ มีความอัตคัดขัดสนโดยเขาบรรยายให้เห็นภาพว่า “เป็นถิ่นที่อาคารบ้านเรือนเต็มไปด้วยดินโคลนคราบสกปรก โครงสร้างต่าง ๆ ผุพังไม่มั่นคง ผู้คนคือผู้สืบสายเลือดแห่งความยากจนน่ารังเกียจ ทุกสิ่งอย่างเปรียบดั่งขยะที่น่าแขยง เน่าเปื่อย และเละเทะ”
แต่เมื่อเวลาล่วงไปจนถึงค.ศ. 1930 นักการเมืองเมืองท้องถิ่น Ada Salter (เอด้า ซอลเตอร์) ได้พัฒนาเมืองนี้จนผู้คนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นโดยเปลี่ยนสลัมให้เป็น แหล่งที่พักอาศัยที่ทันสมัยมากขึ้น ปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อดูดซับมลพิษ ที่หมักหมมในบริเวณนี้มาช้านาน ในที่สุดเมื่อรถไฟใต้ดินจากกลางลอนดอนถูกขยายไปยังเบอร์มอนซี่สร้างเสร็จในค.ศ.1999 ความเจริญก็ตามมา จนทำให้ประชากรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตึกเก่า ๆ ถูกเปลี่ยนเป็น ออฟฟิศ อพาร์ทเม้นท์สุดชิค และ แหล่งแฮงเอ้าท์สุดชิลล์ของบรรดาวัยรุ่นและวัยทำงาน
การเที่ยวเบอร์มอนซี่มักจะนิยมไปกันในวันสุดสัปดาห์เนื่องจาก Malby Street Market (มัลบี้ สตรีท มาร์เก็ต) ซึ่งเป็นถนนอาหารนานาชาติขนาดเล็ก (แต่เป็นทาง เลือกสำหรับผู้ที่ไม่อยากฝ่าฝูงชนที่ Borough Market) และ Vinegar Yard (วิเนการ์ ยาร์ด) หรือ ตลาดนัดของวินเทจจะเปิดเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น
แต่ถนนอีกเส้นที่คนนิยมไปไม่แพ้กันก็คือ Bermondsey Street จะมีร้านรวงที่เปิด เป็นปกติเกือบทุกวัน ถนนเส้นนี้นั้นมีร้านกินดื่ม ร้านเครื่องประดับ และพิพิธภัณฑ์ เรียงรายอยู่สองฝั่งถนน เสน่ห์อย่างหนึ่งของที่แห่งนี้จึงเป็นการบรรจบกันอย่างไร้ รอยต่อของอดีตและปัจจุบัน อาหารและศิลปะ
ความเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างของย่านเบอร์มอนซี่คือร้านต่าง ๆ ที่มาเปิดส่วนใหญ่ เป็นร้านค้าอิสระมากกว่าที่จะเป็นเชนร้านอาหารใหญ่ ๆ ที่พบได้ตามที่เที่ยวอย่าง Covent Garden, Oxford Street หรือ Leicester Square แต่คุณภาพนั้นคับแก้ว ไม่แพ้กับแบรนด์ดังเลย ยกตัวอย่างเช่นร้านอาหารอิตาเลียน Flour and Grape (ฟลาวเวอร์ แอนด์ เกรป) ซึ่งไม่รับจองคิวและคุณอาจต้องรอเป็นชั่วโมง ร้านอาหาร ฝรั่งเศสแท้ Casse-Croûte (แคสครูท) ซึ่งหากคุณไม่จองมาล่วงหน้าก็รับรองว่า คุณจะไม่ได้ลิ้มลองอาหารของที่นี่แน่นอน
ร้านกาแฟ Comptoir Gourmand (คอมทัว กัวมอง) และ Fuckoffee (ฟัค คอฟฟี่) ซึ่งเป็นร้านกาแฟที่มีความเฉพาะตัวไม่ว่าจะด้วยรสชาติหรือคอนเสปการตกแต่งร้าน คอมทัว กัวมองโดดเด่นด้วยโลเคชั่นซึ่งอยู่ในที่ว่างช่องโค้งใต้รางรถไฟ ทำให้การ ตกแต่งภายในต้องล้อไปกับโครงสร้างเดิมซึ่งบอกเลยทำเท่ห์ทำถึงอย่าบอกใคร
ในส่วนของ ฟัค คอฟฟี่ ก็ค่อนข้างจะชัดเจนตามชื่อว่ามีความกวนอยู่ในตัวไม่น้อย ยิ่งเมื่อโลโก้ของร้านมีการล้อเลียนแบรนด์กาแฟนางเงือกเขียวเจ้าดังแต่สลักชื่อ ร้านเป็นคนของตนก็ทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์การเที่ยวคาเฟ่ที่สนุกและแตก ต่างกลับไปอย่างแน่นอน
อีกร้านที่น่าสนใจคือร้านขายสินค้าตกแต่งบ้าน Provision (โพรวิชั่น) ที่มีตั้งแต่ เฟอร์นิเจอร์ไม้ เครื่องใช้ภายในบ้าน กระเบื้อง สินค้าเซรามิกส์ และเสื้อผ้า สิ่งที่ทำ ให้ร้านนี้น่าสนใจ คือสินค้าแต่ละชนิดนั้นสวยและยูนีคม้ากก คือจะไม่สามารถหา ได้ตามท้องตลาดทั่วไปแน่ ๆ จากการถามเจ้าของร้านถึงที่มาที่ไปของสินค้าก็ได้ คำตอบว่าสินค้าบางชนิดเป็นการออกแบบและผลิตเองจากโรงงานและอีกส่วนเป็นการcollabกับดีไซน์เนอร์ชื่อดัง ถึงว่า! ของเขาดูดีมีราคา
สำหรับการเที่ยวเบอร์มอนซี่ในหนึ่งวัน คุณสามารถเลือกได้ว่าจะไปทานมื้อสายหรือมื้อเที่ยงได้ที่ Maltby Street Market ถ้าไปที่นี่คุณจะสามารถหามื้ออร่อยได้ในราคา ไม่เกิน 10 ปอนด์ (ถือว่าไม่แพงแล้วนะ) และนั่งชิลล์ในผับสไตล์อังกฤษที่ตั้งอยู่ในที่ว่างช่องโค้งใต้รางรถไฟรถไฟ หรือ
คุณจะไปทานทีเดียวที่ Bermondsey Street ก็ได้เหมือนกัน พิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ จะตั้งกันอยู่ที่ถนนเส้นนี้ รับประทานอาหารเสร็จคุณก็เดินดูงานศิลป์ใกล้ ๆ ได้เลย ไม่ว่าจะ แกลลอรี่นิทรรศการหมุนเวียน White Cube (ไวท์ คิวบ์) พิพิธภัณฑ์ผ้าและแฟชั่นที่ Fashion and Textile Musuem (แฟชั่น แอนด์ เท็กซ์ไทล์ มิวเซียม) หรือ ชมศิลปะ การหลอมแก้วที่สตูดิโอ London Glassblowing (ลอนดอนกลาสโบลว์อิง)
จากนั้น หากคุณยังไม่เหนื่อย แนะนำให้เดินต่อไปทางสถานีรถไฟ London Bridge เพื่อไปเดินเล่นที่ตลาดนัดวินเทจ Vinegar Yard มีแผ่นเสียงไวนิล เสื้อผ้าทำจากขนน้องอัลปาก้า หรือเสื้อผ้าแบรนด์เนมมือสองก็คือหาได้ที่นี่ และหากวันนั้นมีแมตช์บอลที่คุณสนใจ คุณก็นั่งจิบเบียร์ดูบอลต่อที่บาร์เอาท์ดอร์ที่อยู่ติดกันยาว ๆ ได้เลย
ยังไงก็แล้วแต่ในการเดินไปย่านฮิปเบอร์มอนซี่จากสถานีรถไฟใต้ดินอาจจะเงียบเหงาพอสมควร ดังนั้น หากคุณตัดสินใจไปเที่ยวที่นี่ก็ขอแนะนำว่าให้ชวนเพื่อนไปด้วย หลีกเลี่ยงการใส่ของมีค่าอย่างนาฬิกาหรูๆและพยายามอย่าเอามือถือออกมาถ่ายรูปจนตัวเองดูเป็นนักท่องเที่ยวจ๋าจนเกินไปโดยเฉพาะหากมือถือ คุณคือรุ่นใหม่ ๆ อย่างไอโฟน 15
วีโอล่าขอให้คุณได้ท่องเที่ยวอย่างมีความสุข ได้ทานของอร่อยๆ ได้เสพศิลป์ให้ติสแตก และอย่าลืมที่จะไม่ประมาทนะคะ
EXPLORER: วีโอล่า
PHOTOGRAPHER: วีโอล่า