Type and press Enter.

U-THONG ANCIENT LEGACY เมืองโบราณอู่ทอง มรดกแห่งดินแดนสุวรรณภูมิ

เมืองโบราณอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี คือเมืองที่คุณสามารถท่องเที่ยวได้แบบครบรส สนุกกับประวัติศาสตร์ ได้สัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด และเพลินกับกิจกรรมสบาย ๆ สไตล์ชุมชนกับงานจักสานง่าย ๆ พร้อมกับยืดเส้นยืดสายคลายเส้นด้วยสิ่งประดิษฐ์จากภูมิปัญญาท้องถิ่น และตบท้ายด้วยอาหารรสชาติยอดเยี่ยมจากสูตรดั้งเดิมแท้ ๆ เหมือนมีแม่มาทำให้กิน นี่คือการท่องเที่ยวที่จะเยียวยาคุณได้ทั้งใจ กาย และได้ความรู้ไปในคราวเดียวกัน โดยใช้เวลาเพียงแค่ 2 วัน 1 คืนเท่านั้นเอง

การท่องเที่ยวเมืองโบอู่ทองให้สนุก และได้ครบทุกรสชาติ พวกเรา Explorers Club ได้ไปทำเส้นทางไว้ให้แล้ว ในทุกจุดล้วนมีความพิเศษ และรับรองว่าคุณจะได้รับประสบการณ์การท่องเที่ยวที่น่าประทับใจ และเส้นทางท่องเที่ยวนี้เหมาะกับทุกคนในครอบครัว

เมืองโบราณอู่ทอง

เรามาทำความรู้จักกับ “เมืองโบราณอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี” แบบพอสังเขปกันเสียหน่อยก่อนที่จะออกเดินทางท่องเที่ยวกัน “อู่ทอง” คือหนึ่งในดินแดนสุวรรณภูมิที่สันนิษฐานว่าเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของอาณาจักรทวารวดีในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งคำว่า “อาณาจักร” นั้นหมายถึง “เขตแดนที่มีผู้ปกครอง”

โดยความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรทวารวดีในประเทศไทยนั้นครอบคลุม และกระจายตัวอยู่ทั่วภูมิภาคของประเทศ ในภาคกลางมีการกระจายตัวอยู่ตามลุ่มแม่น้ำสำคัญต่าง ๆ เช่น แม่น้ำเพชรบุรี แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำลพบุรี แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำเจ้าพระยา

เมืองโบราณอู่ทองตั้งอยู่ริมแม่น้ำจระเข้สามพัน โดยขอบเขตของเมืองถูกกำหนดด้วยคูน้ำที่ถูกขุดขึ้นล้อมรอบพื้นที่ มีลักษณะเป็นรูปวงรี และจากการสำรวจทางโบราณคดีพบวัตถุโบราณที่สามารถบอกได้ว่าในพื้นแห่งนี้ในอดีตเคยเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ และมีภูมิประเทศที่เอื้ออำนวยต่อการทำเกษตรกรรม รวมถึงมีทำเลที่อยู่ใกล้ชายฝั่งทะเล ณ ขณะนั้น จึงส่งผลให้เมืองโบราณอู่ทองมีความเจริญรุ่งเรืองในเส้นทางการค้าจากต่างแดน จากหลักฐานทางวัตถุโบราณที่ขุดพบแสดงให้เห็นว่าดินแดนแห่งนี้มีการมาเยือนของคนต่างดินแดนมาแล้วมากมาย ทั้งอินเดีย รวมถึงกรีก และโรมัน

แผนผังแสดงเมืองอู่ทอง ถูกนำเสนอผ่านเทคนิคสมัยใหม่ได้อย่างน่าสนใจ

“ทวารวดี” ปฐมบทแห่งประวัติศาสตร์ไทย

ชื่อ “ทวารวดี” นั้นมาจากภาษาสันสฤต โดยอ้างอิงจากหลักฐานจารึกต่าง ๆ พี่พบเจอในประเทศไทยจะมีคำว่า “ทวารวดี” ปรากฏอยู่  โดยมีหลักฐานที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือเหรียญเงินโบราณที่พบเจอ จะพบอักษรจารึกคำว่า “ศรีทวารวดี ศวรปุณยะ” ซึ่งมีความหมายว่า “การบุญแห่งพระเจ้าศรีทวารวดี” นั่นอาจหมายความว่า ทวารวดี นั้นเป็นอาณาจักรที่มีกษัตริย์ปกครองแล้ว

จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่พบเจอทำให้นักวิชาการสามารถระบุได้ว่า ช่วงเวลาของทวารวดีนั้นเริ่มต้นราวพุทธศตวรรษที่ 12 – 16 หรือเมื่อประมาณ 1,400 ปีก่อน ซึ่งคำว่า “ทวารวดี” มีความหมายครอบคลุมอยู่หลายมิติ เช่น  หมายถึงอาณาจักร, หมายถึงวัฒนธรรมโบราณที่เกิดขึ้นในดินแดนของประเทศไทย และหมายถึงรูปแบบของงานศิลปกรรมที่ได้รับอิทธิพลมาจากในสมัยราชวงศ์ต่าง ๆ ของอินเดีย โดยเฉพาะ คุปตะ และ หลังคุปตะ รวมถึง ปาละ ซึ่งมีอิทธิพลตั้งแต่ช่วงต้นของทวารวดี ที่มักจะปรากฏในงานศิลปกรรม เช่น พระพุทธรูป หรือธรรมจักร เป็นต้น

ธรรมจักรพร้อมเสายุคทวารวดีที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย

จุดเริ่มต้นของยุคทวารวดีในประเทศไทยนั้น ต้องย้อนไปในยุคก่อนประวัติศาสตร์ หรือเมื่อประมาณ 1,400 ปีก่อน แต่เดิมในยุคนั้นจะมีชุมชนน้อยใหญ่กระจายตัวอาศัยกันอยู่ก่อนแล้ว โดยมีการนับถือผีเป็นคติความเชื่อหลักของผู้คนในสังคม ต่อมาได้มีการมาเยือนของชาวอินเดียโดยการล่องเรือผ่านคาบสมุทรอินเดียเพื่อเข้ามาทำการค้า การมาถึงของชาวต่างแดนนั้นนอกจากหอบนำคติความเชื่อของศาสนาพุทธ ที่มาควบคู่ไปกับพราหมณ์ หรือฮินดูเข้ามาแล้ว ก็ยังได้นำความรู้ และวิทยาการต่าง ๆ ติดไม้ติดมือเข้ามาในอณาจักรอู่ทองด้วย เช่นเทคนิคการตัดศิลา การสกัดหิน การหล่อสำริด หลอมแก้ว รวมถึงการทำงานประติมากรรม และศิลปกรรมต่าง ๆ ซึ่งเราจะเห็นได้จากหลักฐานทางที่ปรากฎในงานศิลปกรรมของโบราณวัตถุที่ขุดพบ

บรรยากาศภายในเรือของชาวดินเดียในยุคสมัยที่เริ่มต้นมายังดินแดนอู่ทอง

ยุคทวารวดีถือเป็นยุคที่มีความเจริญรุ่งเรืองทั้งในด้านสังคม การค้า การปกครอง ศาสนา ศิลปะ และวิทยาการต่าง ๆ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ในบ้านเราจนถึงช่วงปลายพุทธศตวรรที่ 16 ที่วัฒนธรรม ความเชื่อ และศาสนาแบบขอมโบราณเข้ามามีอิทธิพลเป็นอย่างมาก จึงส่งผลทำให้ยุคสมัยของทวารวดีสิ้นสุดลง

บทสรุปของอู่ทองเมืองแห่งการค้นพบประวัติศาสตร์

จากการเดินทางเข้ามาของอาคันตุกะต่างแดนชาวอินเดียที่ได้นำวิทยาการความรู้ และศาสนามาเผยแพร่ภายในอาณาจักร ได้กลายเป็นจุดกำเนิดของประวัติศาสตร์ในบ้านเราที่รับเอาอิทธิผลทางความเชื่อ สังคม และวิถีชีวิตต่าง ๆ มาจนถึงยุคปัจจุบัน รวมถึงงานศิลปกรรมที่ภายหลังได้ถูกพัฒนากลายเป็นงานศิลปกรรมไทยในเวลาต่อมา “เมืองโบราณอู่ทอง”  จึงมีความสำคัญกับการศึกษาค้นคว้าของนักวิชาการเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นแหล่งโบราณคดีขนาดใหญ่ที่ปรากฏหลักฐานทางวัตถุโบราณจำนวนมากมาย ที่ทำให้เกิดการศึกษาค้นคว้า และค้นพบเรื่องราวของยุคทวารวดีมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน

โดยเรื่องราวทั้งหมดนี้เราสามารถศึกษาหาความรู้ได้ที่ “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง” สถานที่ที่รวบรวมเรื่องราวต่าง ๆ ของต้นกำเนิดแห่งประวัติศาสตร์ไทยไว้ได้อย่างครบครัน

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง

หากคุณต้องการศึกษาจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ไทย พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ นับเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้เข้าใจรากเหง้าและความเป็นมาของพื้นที่เมืองโบราณทวารวดีอู่ทองได้เป็นอย่างดี เพราะที่นี่ได้รวบรวมหลักฐานที่บ่งชี้ถึงเรื่องราวก่อนประวัติศาสตร์ และความรุ่งเรืองแห่งยุคสมัยในอดีตของทวารวดีไว้ได้อย่างครบครัน โดยถ่ายทอดผ่านการจัดแสดงวัตถุโบราณจำนวนมากที่พบเจอในเมืองอู่ทองและพื้นที่ใกล้เคียงที่ร่วมยุคสมัยกัน ซึ่งบรรดาวัตถุโบราณจำนวนมากที่พบเจอนั้นเป็นเพราะในอดีตนอกจากดินแดนแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของผู้คนแล้ว ยังเป็นยุคแรกเริ่มของการมีศาสนาพุทธเข้ามาในดินแดน จึงทำให้เกิดการสร้างศาสนสถานต่าง ๆ เอาไว้มากมาย ซึ่งจะเห็นได้จากซากของแหล่งโบราณคดีที่กระจายตัวอยู่ทั่วบริเวณเมืองอู่ทอง

จำลองบรรยากาศให้เห็นถึงการมาของชาวอินเดียโดยการล่องเรือ ในยุคก่อนประวัติศาสตร์

วัตถุประสงค์หลักของการจัดจั้งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ขึ้นมาเพื่อต้องการรวบรวม ศิลปะวัตถุ เครื่องมือเครื่องใช้มากมายที่ถูกขุดค้นพบในสมัยต่าง ๆ เพื่อแสดงถึงวิวัฒนาการของมนุษย์ในอดีตที่เคยอาศัยอยู่ในดินแดนสุพรรณบุรี

เมืองโบราณอู่ทองได้เริ่มทำการสำรวจขุดค้นโบราณวัตถุมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2466 โดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ และหลังจากนั้นก็มีการสำรวจต่อเนื่องเรื่อยมา จนในปี พ.ศ. 2508 – 2509 กรมศิลปากรได้ทำการจัดสร้างอาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทองขึ้น เพื่อเก็บรักษา และจัดแสดงวัตถุโบราณที่ค้นพบอย่างถาวร โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทองอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ในปี พ.ศ. 2509 นับจากนั้นเป็นต้นมาก็เป็นเวลากว่า 60 ปีแล้ว ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้เปิดให้บริการแก่ประชาชนทั่วไปได้ศึกษาหาความรู้ด้านประวัติศาสตร์

พระพุทธรูปดินเผาปางสมาธิศิลปะยุคทวารวดี
วัตถุโบราณจากดินเผายุคก่อนประวัติศาสตร์

ในปัจจุบันตัวพิพิธภัณฑ์ได้มีการปรับปรุงออกแแบบการจัดแสดงโบราณวัตถุให้มีความทันสมัยมากขึ้น ทำให้การเดินดูพิพิธภัณฑ์ไม่น่าเบื่อ และมีการสอดแทรกเนื้อหาสาระไว้ได้อย่างน่าสนใจ วัตถุโบราณทั้งหมดจะถูกจัดแสดงอยู่ภายในอาคารจัดแสดงหลัก 2 อาคาร ซึ่งแบ่งเป็นห้องต่าง ๆ ที่อธิบายเรื่องราวตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึงยุคทวารวดี โดยจัดแสดงวัตถุโบราณไว้เป็นหมวดหมู่ พร้อมข้อมูลทุกชิ้นอย่างละเอียด ในบางชิ้นเป็นของล้ำค่าหายาก และบางชิ้นยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่พบเจอในประเทศไทย อย่างธรรมจักรที่

ลักด้วยหินพร้อมเสา ที่อยู่บริเวณห้องโถงกลางของอาคาร และธรรมจักรอีกชิ้นหนึ่งในบริเวณห้องจัดแสดง ที่ยังคงรายละเอียดของงานศิลปกรรมกนกก้านขดแบบผักกูดซ้อนไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งต่อมาลายนี้ได้ถูกพัฒนากลายเป็นลายก้านต่อดอกในศิลปะเขมร และศิลปะไทย

ธรรมจักรโบราณยังเห็นลวดลายกนกผักกูดที่สมบูรณ์ ถูกจัดแสดงโดยการสร้างส่วนที่หายไปเพิ่มเติม เพื่อให้เห็นถึงความสมบูรณ์ของศิลปะวัตถุในยุคทวารวดีได้อย่างชัดเจน
เครื่องประดับที่ทำจากแร่หินต่าง ๆ

นอกจากวัตถุโบราณทางศาสนาแล้ว ก็ยังมีเครื่องไม้เครื่องมือ ข้าวของเครื่งใช้โบราณ และเครื่องประดับจากหินแร่ และทองคำที่ขุดพบจากหลุมฝังศพของคนในยุคก่อนประวัติศาสตร์ด้วย แนะนำว่าควรเดินชมโดยมีวิทยากร และใช้เวลากับพิพิภัณฑ์แห่งนี้แบบไม่ต้องเร่งรีบแล้วจะได้ความรู้ไปแบบเต็มอิ่ม 

ด้านนอกอาคารยังมีเรือนลาวโซ่ง หรือบ้านของชาวไทยทรงดำที่ออกแบบมาได้อย่างมีเอกลักษณ์ พร้อมกับของใช้ที่สะท้อนวิถีชีวิตของผู้คนในยุคก่อนจัดแสดงอยู่ด้วย เราสามารถเดินขึ้นไปชมในด้านได้อย่างใกล้ชิด ชาวไททรงดำ หรือลาวโซ่ง คือกลุ่มคนเชื้อสายไทที่มีทั้งมีภาษาพูด และภาษาเขียนเป็นของตัวเอง มีความเชื่อในเรื่องของการนับถือผี สิ่งเหนือธรรมชาติ และวิญญาณของบรรพบุรุษ มีการประกอบพิธีกรรมอย่างมีแบบแผนที่ส่งต่อกันมาจนถึงในยุคปัจจุบัน เช่น พิธีเสนเฮือน หรือการไหว้ผีบ้านผีเรือน พิธีขึ้นบ้านใหม่ พิธีแต่งงาน และพิธีศพ

เรือนลาวโซ่ง หรือ บ้านชาวไททรงดำสามารถขึ้นไปเรือนด้านบนได้ มีของใช้พื้นบ้านจัดแสดงอยู่

ชาวลาวโซ่งมีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศลาว และเวียดนามในยุคสมัยธนบุรี และสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น การมาตั้งถิ่นฐานของชาวไททรงดำในประเทศไทยเกิดขึ้นในยุคสมัยที่กองทัพไทยยกทัพไปตีนครเวียงจันทน์ และเมืองต่าง ๆ ในอาณาจักรล้านช้าง และได้กวาดต้อนครอบครัวชาวลาว และชาวลาวโซ่งจำนวนมากเข้ามายังอาณาจักรสยาม ต่อมาชาวลาวโซ่งได้ย้ายถิ่นฐานไปยังจังหวัดอื่น ๆ รวมถึงได้มาอาศัยอยู่ในจังหวัดสุพรรณบุรีด้วย

หากคุณได้มีโอกาสมาท่องเที่ยวที่เมืองอู่ทองอยากให้คุณได้ลองมาเยี่ยมชมความน่าทึ่งของวิถีชีวิตผู้คนในยุคสมัยทวารวดีเมื่อ 1,400 ปี ที่แล้ว ผ่านการจัดแสดงของวัตถุโบราณอันน่าตื่นตาตื่นใจ และถ้าคุณเป็นผู้ที่ชื่นชอบเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อยู่บ้างเป็นทุนเดิม พิพิธภัณฑ์แห่งนี้อาจจุดประกายให้คุณได้เริ่มต้นสนใจในการสำรวจเรื่องราวเชิงประวัติศาสนตร์ที่เข้มข้นขึ้น ไม่แน่บางทีอาจทำให้คุณได้พบกับคำตอบบางอย่างเกี่ยวกับตัวคุณเองที่อาจนึกไม่ถึงมาก่อนก็เป็นไปได้…

พุหางนาค

เมืองอู่ทองยังมีสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่มีความน่าสนใจ และให้อารมณ์ในการสำรวจเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ต่างไปจากการเยี่ยมชมในพิพิธภัณฑ์ “สวนหินพุหางนาค”หรือ อุทยานสวนหินพุทธสถานทวารวดีอู่ทอง เป็นเทือกเขาที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองโบราณอู่ทอง ซึ่งประกอบด้วยภูเขาหลายลูก ได้แก่ เขาทำเทียม เขาคอก และเขาพระ ซึ่งในภูเขาแต่ละลูกนั้นจะปรากฏโบราณสถาน และโบราณวัตถุสมัยทวารวดี และยังพบหลักฐานของผู้คนในสมัยอยุธยาอีกด้วย

สวนหินพุหางนาค เป็นทั้งแหล่งธรรมชาติ และแหล่งโบราณคดี
หากขึ้นพ้นบันไดมาจะเจอถ้ำที่ประดิษฐาน “หลวงปู่ใหญ่”
พระปางไสยาสน์ สิ่งศักดิ์คู่พุหางนาค ที่เชื่อว่าหากใครมาขอพรมักจะสมหวัง

ปัจจุบันสวนหินพุหางนาคอยู่ในเขตความดูแลของวนอุทยานพุม่วง ที่แห่งนี้นอกจากจะเป็นขุนเขาแห่งแหล่งโบราณคดีแล้ว ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สำคัญของจังหวัดสุพรรณบุรีด้วย บนเขาจะปรากฏก้อนหินรูปทรงประหลาดแปลกตามากมาย และพืชพันธุ์ประจำถิ่นที่รังสรรค์ให้ภูมิทัศน์งดงามราวกับหลุดไปในจินตนาการ รวมถึงความอัศจรรย์ของพืชเฉพาะถิ่นที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลกอย่างดอกกระเจียวสุพรรณที่มีลักษณะเฉพาะตัว และมีสีสันแตกต่างจากดอกกระเจียวในพื้นที่อื่น ๆ  และยังมีพืชหายากอย่างต้นจอกหินที่มักขึ้นอยู่บนพื้นตามซอกหินที่ปรากฏอยู่เพียงไม่กี่ที่ในประเทศไทย หากคุณต้องการพบเจอพวกมันอาจจะต้องมาในช่วงฤดูฝน ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่อากาศจะสดชื่นกว่าในทุกฤดู และมีบรรยากาศเขียวขจีเป็นพิเศษ

เส้นทางศึกษาธรรมชาติที่ร่มรื่น
ดอกกระเจียวสุพรรณ หนึ่งเดียวที่ไม่เหมือนใคร
หากมาในช่วงเวลาที่เหมาะในฤดูฝนจะพบดอกกระเจียวสุพรรณขึ้นอยู่ทั่วบริเวณ
ต้นจอกหิน พรรณไม้หายากที่พบได้ในสวนหินพุหางนาค
วิวด้านบนที่สามารถมองเห็นเมืองโบราณอู่ทองได้จากมุมสูง
บรรยากาศของสวนหินพุหางนาคจะให้ความรู้สึกเข้มขลังลึกลับน่าค้นหา
ชาวบ้านจะเรียกบริเวณนี้ว่า “ประตูมิติ” เป็นช่องหินแคบ ๆ ที่เราต้องเดินผ่านเข้าไป

จากการศึกษาทางโบราณคดีพบว่าเทือกเขากลุ่มนี้มีโบราณสถานกระจายตัวอยู่มากกว่า 20 แห่ง โดยเราจะเรียกว่า “กลุ่มโบราณสถานพุหางนาค” ซึ่งสอดคล้องกับชื่อห้วยหางนาคที่ไหลลงจากเทือกเขาแห่งนี้ลงไปหล่อเลี้ยงคูเมืองอู่ทองในอดีตกาล โดยนักโบราณคดีพบว่าโบราณสถานเหล่านั้นมีการใช้วัสดุก่อสร้างปะปนกันอยู่หลายประเภทร่วมกัน เช่น อิฐ หิน และศิลาแลง ทั้งหมดนี้ถูกสันนิษฐานว่าเป็นศาสนสถานที่ส้รางขึ้นในสมัยทวารวดี และโบราณสถานบางแห่งยังถูกใช้งานในสมัยอยุธยาด้วย

ด้วยความร่วมมือกับชุมชนในพื้นที่ และ อพท. หรือ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) โดยสำนักงานพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองโบราณอู่ทอง ได้พัฒนาให้สวนพุหางนาคแห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรณีวิทยา พร้อมจัดเส้นทางศึกษาธรรมชาติซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเลือกได้เดินได้ตามความต้องการใน 3 เส้นทางที่มีระยะทางไกลแตกต่างกัน โดยในเส้นทางที่ 1 จะมีระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตรซึ่งเป็นเส้นทางยอดนิยมมากที่สุด และในส่วนของเส้นทางที่ 2 และ 3 นั้นจะระยะทางไม่ต่ำกว่า 5 กิโลเมตร อาจต้องอาศัยความพร้อมของร่างกายที่มากขึ้น เพราะฉะนั้นนักท่องเที่ยวควรจะเลือกเส้นทางให้ดีก่อน โดยสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่วนอุทยานพุม่วง  และรับบริการผู้นำทางได้จากชุมชน

พุทธมณฑลสุพรรณบุรี

อีกหนึ่งสถานที่ที่คุณห้ามพลาดหากได้มาเยือนเมืองอู่ทอง ในช่วงเวลาบ่ายคล้อยจนถึงช่วงเย็นอยากให้คุณมาจบวันสวย ๆ อย่างอลังการกับศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ประดิษฐานพระพุทธปุษยคีรีศรีสุวรรณภูมิ หรือ หลวงพ่ออู่ทอง พระพุทธรูปขนาดมหึมาที่ถูกสร้างขึ้นโดยการแกะสลักจากหน้าผาหิน ที่อดีตในบริเวณนี้เคยเป็นเขตสัมปทานระเบิดภูเขาทำโรงโม่หินที่หมดสัญญาไปแล้ว ปัจจุบันได้ถูกแปรเปลี่ยน และพัฒนาจากพื้นที่รกร้างไร้ประโยชน์ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของชาวสุพรรณบุรี

หลวงพ่ออู่ทอง โดดเด่น สง่างาม
พระพุทธรูปแกะสลักขนาดใหญ่
อุโมงค์หินศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่ที่ถูกออกแบบมาให้ลมพัดผ่านตลอดเวลา
เพื่อสื่อถึงความร่มเย็นเป็นสุขของพุทธศาสนสถานแห่งนี้
สกายวอล์กเลียบผาหินในพุทธมณฑลสุพรรณบุรี
มุมสูงจากสกายวอล์ก

ในบริเวณพุทธมณฑลสุพรรณบุรีนอกจากจะเป็นที่ประดิษฐานของหลวงพ่ออู่ทอง ประพุทธรูปแกะสลักขนาดใหญ่แล้ว ยังประกอบด้วยอีกสองบริเวณที่ถือเป็นเอกลักษณ์ที่พิเศษของสถานที่แห่งนี้ ได้แก่อุโมงค์หินศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่กว้าง 20 เมตร และมีความลึก 50 เมตร ที่ถูกออกแบบมาให้ลมพัดผ่านตลอดเวลาเพื่อสื่อถึงความร่มเย็นเป็นสุขของพุทธศาสนสถานแห่งนี้ และส่วนสุดท้ายคือทางเดินสกายวอล์กสุพรรณบุรี ทางเดินกระจกเลียบหน้าผาที่สร้างให้สูงจากพื้นดินเพื่อให้ขึ้นไปชื่นชมความงดงามมุมสูง โดยปัจจุบันนี้อยู่ในระหว่างรอการเปิดใช้งานอย่างเป็นทาง 

เพลินกับชุมชน

นอกจากความสำคัญของโบราณคดีแล้ว เมืองอู่ทองยังมีชุมชนที่น่ารัก และกิจกรรมดี ๆ ที่สอดแทรกวิถีชีวิตพื้นถิ่นไปพร้อมกับการทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตัวเอง อย่างที่ “วิสาหกิจชุมชนตำลึงหวาน”  ด้วยพลังแห่งความสามัคคีแบบมาด้วยกันไปด้วยกันเลือดสุพรรณบุรี ที่ผู้คนในชุมชนต่างร่วมมือร่วมใจกันนำเอาความสามารถในสิ่งที่ตัวเองถนัดมาสร้างกิจกรรมเพื่อขับเคลื่อนการท่องเที่ยวโดยชุมชนให้เป็นรูปธรรม

วิสาหกิจชุมชนตำลึงหวานมีความเรียบง่าย และอบอวลไปด้วยวิถีที่หลากหลาย อบอุ่นไปด้วยเรื่องราวน่าประทับใจที่เกิดเกิดขึ้นจากความต้องการสร้างชุมชนให้รวมตัวกันของรุ่นพ่อ และถูกส่งต่อมายังรุ่นลูก ปิง ภัทรานิษฐ์ พุฒพีระวิทย์ คนรุ่นใหม่ที่ละทิ้งชีวิตการงานในเมืองกรุง แล้วมุ่งหน้ากลับบ้านเพื่ออยากกลับมาอยู่เป็นเพื่อนแม่ และสานต่อเจตนารมณ์ของพ่อให้คงอยู่กับการทำวิสาหกิจชุมชน ด้วยการรังสรรค์พื้นที่ส่วนหนึ่งของที่อยู่อาศัยให้กลายเป็นพื้นที่ส่วนกลาง ที่ถูกออกแบบให้เป็นทั้งร้านอาหาร ร้านกาแฟและพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชน และเป็นจุดศูนย์กลางของการเชื่อมต่อไปยังการทำกิจกรรมอื่น ๆ ของชาวบ้านดอนพรหม และหมู่บ้านใกล้เคียงในเขตเมืองโบราณอู่ทอง ท่ามกลางบรรยากาศน่ารัก ร่มรื่น และเป็นกันเอง

บรรยากาศของวิสาหกิจชุมชนตำลึงหวานที่แสนอบอุ่น และเป็นกันเอง
ปิง ภัทรานิษฐ์ พุฒพีระวิทย์ คนรุ่นใหม่ที่ละทิ้งชีวิตการงานในเมืองกรุง แล้วมุ่งหน้ากลับบ้าน
เพื่ออยากกลับมาอยู่เป็นเพื่อนแม่ และสานต่อเจตนารมณ์ของพ่อให้คงอยู่ กับการทำวิสาหกิจชุมชน

ที่พื้นที่ส่วนกลางของชุมชนตำลึงหวานนอกจากคุณจะได้ทำกิจกรรมสนุก ๆ อย่างงานจักสานอย่างง่าย ๆ การร้อยลูกปัด  และคลายเส้นด้วยการทำกิจกรรม ตาลต้านตึง กิจกรรมที่นำภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพผสมกับไม้คลายเส้นที่ทำด้วยก้านตาลสิ่งประดิษฐ์จากวัสดุธรรมชาติฝีมือชาวบ้าน รับรองว่ากิจกรรมนี้จะทำสลายความตึงในเส้นสาย กลายเป็นความสบายจนต้องเปล่งเสียงออกมาอย่างไม่รู้ตัว

ลุงมานิต ทำหน้าที่สิธิตวิธีการคลายเส้นให้กับพวกเรา ด้วยสิ่งประดิษฐ์จากภูมิปัญญาท้องถิ่น
หวาน ลักษิกา ชีรัตน์ กำลังสอนพวกเราอย่างใจเย็นกับกิจกรรมจักสาน
ได้ของที่ระลึกกลับบ้าน

ไหน ๆ คุณก็มาที่ ชุมชนตำลึงหวานแล้ว ก็อย่าได้พลาดกับการลิ้มลองเมนูอาหารที่ถูกส่งต่อสูตรจากรุ่นแม่ มาถึงรุ่นลูกแบบยังคงรสชาติดั้งเดิมตามแบบฉบับบท้องถิ่นเอาไว้หลายหลายเมนู ซึ่งในแต่ละช่วงเวลาเมนูอาจแตกต่างกันไปตามวัตถุดิบที่หาได้

อาหารรสชาติดีเหมือนมีแม่มาทำให้
ป้าหนุน สิยา ตันยาลักษณ์ แม่ครัวแห่งตำลึงหวาน
ร่มรื่น และอิ่มท้อง
มีปุ๋ยมูลไส้เดือน และนำหมักจุลินทรีย์จากชุมชน

นอกเหนือจากกิจกรรมที่กล่าวมาแล้วก็ยังมีกิจกรรมอื่น ๆ ที่หน้าสนใจอีกมายมากเช่น การทำกุยช่าย, การทำขนมจีนโบราณ, กระถางคล้องใจ และอีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจ และถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของเมืองอู่ทองก็คือ กิจกรรมหล่อเหรียญโบราณทวารวดี โดยโรงหล่อวิเชียร โรงหล่อพระเก่าแก่ตั้งแต่รุ่นพ่อ ที่ยังคงหล่อหล่อพระพุทธรูป และงานโลหะอื่น ๆ

โรงหล่อวิเชียร กับกิจกรรหล่อเหรียญโบราณทวารวดี
นักท่องเที่ยวสามารถลงมือทำได้ด้วยตัวเอง

การทำกาละแมตำนานดิน ชงชา สครับผิวด้วยสมุนไพร หรือทำกิจกรรมสายสุขภาพ สุมยาสปาเท้า ด้วยสมุนไพรพื้นบ้านโดยวิสาหกิจชุมชนบ้านตำนานดิน หรือจะไปเที่ยวบ้านเขาพระ สัมผัสมนต์เสน่ห์ แห่งภูมิปัญญา และวิถีชีวิตของชาวไทพวนที่พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านเขาพระ หรือ จะแวะไปซื้อและทำกิจกรรมระบายสียาดมหัวโตป้าต้อย ยาดมจากสมุรไพร 9 ชนิดที่ให้กลิ่นหอมแบบเฉพาะตัว เป็นผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อของชุมชนต้นแจงพัฒนา และคุณยังสามารถนั่งรถรางเที่ยวชมชุมชนได้อีกด้วย

เที่ยวอู่ทองเริ่มจากอะไรดี

จะเห็นได้ว่าเมืองอู่ทองนั้นมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่มากมาย และถือเป็นเส้นทางท่องเที่ยวที่จะมอบประสบการณ์ที่พิเศษให้กับทุกคนในครอบครัว พวกเรามีข้อแนะนำเล็กน้อยเพื่อเป็นแนวทางการท่องเที่ยวให้กับคุณ หากคุณมีเวลา 2 วัน 1 คืนให้คุณเริ่มต้นในช่วงเช้าด้วยการไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทองก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อสร้างความเข้าใจถึงที่มาที่ไปของประวัตศาสตร์ในพื้นที่  หลังจากนั้นค่อยแวะเวียนไปเยี่ยมชม และทำกิจกรรมที่ชุมชนต่าง ๆ หรือจะแวะไปหล่อเหรียญโบราณทวารวดีที่โรงหล่อวิเชียรในช่วงบ่าย และในช่วงเย็นของวันแรกก็ให้เดินทางมาที่พุทธมณฑลสุพรรณบุรีเพราะอากาศจะไม่ร้อนมากนัก และได้เก็บแสงสวย ๆ กับพระแกะสลักองค์ใหญ่

สำหรับในวันที่ 2 ให้คุณออกแต่เช้าสักหน่อยเพื่อไปที่สวนหินพุหางนาคเพราะอากาศจะไม่ร้อนมากนัก คุณจะใช้เวลาอยู่ที่นั่นประมาณไม่เกิน 3 ชั่วโมง หลังจากนั้นให้มุ่งหน้าไปหามื้อเที่ยงอร่อย ๆ กินที่ วิสาหกิจชุมชนตำลึงหวาน และทำกิจกรรมสนุก ๆ ที่เดียวกันนั้นเลยก็เป็นอันจบทริปสวย ๆ ครบรสชาติแบบใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่าในวันหยุดสุดสัปดาห์

หากสกายวอล์กเปิดให้บริการแล้ว คาดว่าจะเป็นแหล่งดึงดูดนักเที่ยวได้อย่างมากมาย

สำหรับบุคคลที่สนใจสามารถตามรอยพวกเราชาว Explorers Club กันได้โดยติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ช่องทางของชุมชนนี้

วิสาหกิจชุมชนตำลึงหวาน โทร. 083-317-9770

วิสาหกิจชุมชนบ้านตำนานดิน โทร. 061-826-3987

วิสาหกิจชุมชนต้นแจงพัฒนา (ยาดมหัวโตป้าต้อย) โทร. 081-763-9230

วิสาหกิจชุมชนบ้านเขาพระ โทร. 062-497-7335

โรงหล่อวิเชียร โทร. 080-396-4575

กิจกรรมศึกษาธรรมชาติสวนหินพุหางนาค โทร. 082 584 3969 คุณอ้อย, โทร. 089 948 301-8 วนอุทยานพุม่วง