Type and press Enter.

เดินป่าในสวนพฤกษศาสตร์ฯ เชียงใหม่

การเดินป่าในแบบ Fjällräven ที่เชียงใหม่ กับงานครบรอบ 10 ปี Fjallraven by Thailand Outdoor เดินป่าในสวนของแม่ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์

ดูได้ ดมได้ แต่ห้าเด็ด

เคยไหม…ที่เราเหมือนจะรู้จักกันดีกับอะไรสักอย่างหนึ่ง แต่จริง ๆ แล้วเรายังไม่เคยรู้จักกันเลย และนี่คือการทำความรู้จักกันจริง ๆ ครั้งแรกกับการเดินป่าในแบบ Fjällräven ในงานครบรอบ 10 ปี Fjallraven by Thailand Outdoor เดินป่าในสวนของแม่ ใน สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์

ภาพจำของการรู้จักกันครั้งแรกในเส้นทาง Fjallraven Classic Sweden เส้นทางเดินป่าระดับโลกที่ใคร ๆ ต่างก็ใฝ่ฝันว่า ขอไปเดินสักครั้งในชีวิต ส่วนครั้งที่ 2 Fjallraven Classic Korea เกาะเจจู เดินภูเขา เลาะทะเล วิวสวย ๆ และ Fjallraven Betong Hike ป่าใต้ชายแดนสุดประเทศไทย คือการรู้จักกันครั้งที่ 3

และทั้ง 3 ครั้งที่เกริ่นมา ล้วนเป็นการพบกันผ่านภาพเคลื่อนไหว ภาพถ่าย และเรื่องเล่าจากปากของพี่บาส, พี่ตู่ Explorers Club ทั้งสิ้น ประสบการณ์ผ่านคำบอกเล่าเปิดมุมมองการเดินทางใหม่ที่เรียกว่า “Leave No Trace” การเคารพธรรมชาติ เรียนรู้การอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างเคารพและพึ่งพาอาศัยกันวิธีการปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องเมื่ออยู่ในป่า เช่นไม่ส่งเสียงดัง, ไม่ทิ้งขยะ, หอบหิ้วอะไรมาก็เอากลับไปให้หมด

บรรยากาศ ไม่ต่างกับงานที่จัดเมืองนอก
ยินดีที่ได้รู้จัก

ทีม Explorers Club เอ่ยปากชักชวน “เฮ้ยสิฐมึงอยากไปเดินป่างาน Fjallraven 10 ปีมั๊ย”

ตอบไปแบบไม่ต้องคิด “ไปพี่” ประสบการณ์ดี ๆ แบบนี้ ไม่พลาดแน่ งานครบรอบ 10 ปี Fjallraven by Thailand Outdoor เดินป่าในสวนของแม่ จัดขึ้นที่ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 14 -16 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา เป็นการเปิดเส้นทางเดินป่าเส้นใหม่ แบบ 2 วัน 1 คืน ภายในสวนพฤกษศาสตร์ฯ และพวกนักเดินป่าที่มาในงานนี้ถือเป็นกลุ่มแรกที่ได้ทดลองเดินป่าในเส้นนี้

ด้วยความร่วมมือระหว่าง Thailand Outdoor และ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ที่ร่วมมือกันเป็นผู้ร่วมสำรวจเส้นทาง จุดประสงค์ของงานนี้เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้มีโอกาสสัมผัสกับธรรมชาติและพืชพรรณที่ทางศูนย์พฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ได้ทำการวิจัยและเพราะเลี้ยงเอาไว้ ได้เห็นความสำคัญของการมีอยู่ของพืชพรรไม้ ว่ามีความสำคัญต่อระบบนิเวศน์อย่างไร

และหลังจากนี้เส้นทางเดินป่าแห่งนี้จะเปิดให้กับคนทั่วไปได้เข้ามาสัมผัสกับธรรมชาติเหมือนกับที่พวกเรากำลังจะได้สัมผัส โดยสามารถติดตามข่าวสารผ่านโวเชียลมีเดียของ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ไว้ได้เลย

เราจะเดินจากเส้นทางในสวนพฤกษศาสตร์ฯ แล้วค่อย ๆ ตัดเข้าป่า
ก่อนเราจะได้เจอกัน

จากประสบการณ์ครั้งก่อนที่โดน Explorers Club ชวนไปเดินป่าก็สอนเราให้รู้ว่า ซ้อมเท่านั้นที่จะทำให้เราไปรอดได้อย่างสบาย และรอบนี้ไม่พลาด ซ้อมแบกจริง น้ำหนักจริง เท่าที่เวลาจะเอื้ออำนวย

เจอกันสักที

ก่อนวันเดินจริงหนึ่งวันเป็นการลงทะเบียน รับของที่ระลึก และมีตติ้งเล็ก ๆ ที่อบอุ่นมาก พี่บาสที่มีประสบการณ์ไปเดินป่าที่ Fjallraven Classic Sweden มาแล้วบอกว่า การจัดงานให้ความรู้สึกเหมือนที่ต่างประเทศ มีซุ้มอาหาร เครื่องดื่ม เสื้อผ้าของที่ระลึก มีอาหารไว้รอต้อนรับผู้ลงทะเบียน โดยที่ผู้จัดได้ขอความร่วมมือในการนำภาชนะบรรจุอาหารมาเอง เพื่อเป็นการลดขยะจากบรรจุภัณฑ์ใส่อาหาร ผู้จัดให้ความสำคัญกับสิ่งนี้เป็นพิเศษ

เติมของให้เต็มท้องกันก่อน
มีการแนะนำอุปกรณ์ และการเตรียมตัวก่อนเดินทาง

กิจกรรม Workshop ตามฐานต่าง การให้ความรู้เรื่องการกางเต็นท์ อย่างเหมาะสม การใช้เชือกผูกเงื่อนต่าง ๆ การเตรียมอาหา การปฐมพยาบาลเบื้องต้น วิธีการดูแลตัวเองและผู้อื่นรวมถึงการขับถ่ายในป่า ว่าต้องทำอย่างไร ข้อห้ามข้อบังคับมีอะไรบ้าง คือแทบจะครอบคลุมทุกอย่างเกี่ยวกับการเดินป่า ในแบบที่คุณมานั่งฟังเฉย ๆ ไม่ได้มาเดินป่าด้วยก็ได้ความรู้ติดตัวกลับไป และ ปิดท้ายวันแรกด้วยเสวนารอบกองไฟ กับ พี่อึ่ง เจ้าหน้าสวนพฤกษศาสตร์ฯ ที่มาถ่ายทอดเรื่องราวที่มาที่ไปของสวนพฤกษศาสตร์ฯแห่งนี้ ก่อนจะแยกย้ายกับพักผ่อน

Route A ริบบิ้นแดง

เส้นทางเดินครั้งนี้แบ่งออกเป็น 2 เส้นทาง แต่ละเส้นทางจะเดินสวนกันเป็นวงกลม กลุ่มของเราเลือกเดิน Route A ซึ่งดูเส้นทางแล้วค่อนข้างที่จะหนักกันในวันแรก เพราะขึ้นลงค่อนข้างชัน ก่อนเริ่มเดิน เราได้เติมพลังจากอาหารเช้าที่ผู้จัดได้เตรียมไว้ให้ และยังมีอาหารเที่ยงกับขนมเตรียมไว้ให้กับนักเดินป่าทุกคนได้ทานระหว่างทางอีกด้วย ชั่งน้ำหนักกระเป๋า เติมน้ำเติมเสบียงกันเสร็จเรียบร้อยพร้อมออกเดิน

เริ่มที่นี่ จบที่นี่
เอาอะไรมาต้องรับผิดชอบแบกเอง เอาออกตอนนี้ไม่ทันเสียแล้ว

ตามกำหนดการ 9.30 น. นักเดินป่าทุกคนรับบรีฟเส้นทางจากทีมสต๊าฟ มีกิจกรรมระหว่างทางให้ได้เล่น กันหลายจุด เก็บตราประทับเพื่อรับของรางวัลขากลับ กลุ่ม A ริบบิ้นแดงของเราออกเดินกันเป็นกลุ่มท้าย ๆ เพราะเราเดินกันไม่ค่อยเร็วเท่าไหร่ ช่วงแรกเป็นการเดินลัดเลาะไปในพื้นที่ของสวนพฤกษศาสตร์ แวะถ่ายรูป ชมนก ชมไม้ไปเรื่อย ๆ

มีกิจกรรมทายชื่นต้นไม้ และมีฐานอธิบายพรรณไม้ต่าง ๆ จากเจ้าหน้าที่ประจำจุด อยากรู้อะไรเพิ่มเติม สามารถพูดคุยสอบถามกับเจ้าหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ พี่ ๆ เจ้าหน้าที่ตอบได้หมด

ฐานให้ความรู้ระหว่างทาง โดยนักพฤกษศาสตร์
เรื่องพรรณไม้ต้องยกให้ที่นี่

เดินหลุดมาจากพื้นที่ของสวนพฤกษศาสตร์ฯมาได้ ก็เจอเข้ากับด่านแรกที่ต้อนรับเราคือเนินยาว ๆ ประมาณหนึ่งกิโลเมตร เดินกันขึ้นมาเหนื่อย ๆ ก็มาเจอจุดเติมเฉาก๋วยเย็น ๆ กันกลางเนิน ได้แวะพักเติมความหวานสักนิด เพิ่มพลังให้พอดันเนินต่อไปได้เดินขึ้นมาอีกไม่ไกลนักก็ถึงยอดเนินแรกที่พอจะมีทางราบให้เราได้พักขาเป็นบางช่วงคราวนี้ก็เป็นทางลงกันบ้าง ค่อย ๆ ลงกันมายาว ๆ ไปอีก  2 กิโลเมตรการไต่ขึ้นมาก็เหนื่อยแล้ว ขาลงก็ไม่ง่าย เป้หนัก ทางแคบ ลื่นและชัน ก้าวแต่ละก้าวต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

เฉาก๊วย กลางทาง
ใบไม้สีทอง
ได้รสชาติของการเดินป่าที่จริงจัง

บางช่วงลื่นจนแทบจะลงไปเดิน 4 ขา ไม้โพลช่วยชีวิตไว้หลายรอบ จากภาพในหัวที่คิดไว้ว่างานนี้น่าจะง่าย ๆ เดินสบาย ๆ ทางชันน้อย ๆ ไม่ต้องมุดต้องคลาน เปล่าเลย!  ที่ว่ามามันมีหมด ได้รสชาติการเดินป่าที่จริงจังมาก ๆ 

ไม่มีป่าไหนไม่เหนื่อยหรอก
พักก่อน แล้วไปต่อ

เราได้พักทานมื้อเที่ยงกันตอนบ่ายสามโมงที่น้ำตกลับไม่มีชื่อแห่งหนึ่ง การได้ปลดเป้ออกจากหลังเป็นอะไรที่สบายที่สุดแล้วในตอนนี้ มื้อเที่ยงของเราเป็นเมนูง่าย ๆ อย่างข้าวเหนียวหมูทอดน้ำพริกเผาห่อด้วยใบตอง นั่งจกข้าวเหนียวฟังเสียงน้ำตก ยิ่งทำให้มื้อเที่ยงอร่อยแบบสุด ๆ เรานั่งพักฟังเสียงน้ำตกได้ไม่นาน ก็ต้องย้ายเป้ที่อยู่บนพื้นกลับขึ้นมาอยู่บนหลังอีกครั้ง

น้ำตกลึกลับไม่มีชื่อกลางป่า

ระหว่างทางมีพรรณไม้ และดอกไม้สวย ๆ มากมาย ถ้าใครที่เป็นคนที่ชอบถ่ายรูปพรรณไม้ และดอกไม้ ที่นี่ถือเป็นอีกเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่ไม่ควรพลาดเลย จากคำบอกเล่าของพี่อึ่งเจ้าหน้าที่ประจำสวนพฤกษศาสตร์ฯแห่งนี้ เขาบอกว่าพรรณไม้ต่าง ๆ ก็จะผลัดเปลี่ยนกันผลิดอกออกผล เป็นความงามไม่เคยซ้ำกับเลยในแต่ละฤดู นั่นแปลว่าป่านี้มาได้ทุกฤดู…เริ่มอิจฉาคนเชียงใหม่เสียแล้ว

ได้รูปสวัสดีวันอังคารไว้ส่งให้เพื่อน
บนสันเขาป่าก็เป็นอีกแบบ

จากน้ำตกลับ เราเดินลัดเลาะลำธารกันมาสักพัก ก็จะมาเจอกับเนินสุดท้ายที่ตั้งตระหง่านต้อนรับเราด้วยต้นไม้ใหญ่ ก่อนที่เราจะต้องสังขาลไต่ขึ้นไปพักค้างแรมคืนนี้กันข้างบน เนินซึม ๆ สลับชัน ยาว ๆ 3 กิโลเมตร  ผ่านป่าไผ่ และป่าสน ทำเอากราฟหัวใจบนนาฬิกาวิ่งไปแตะโซน 5 พักเหนื่อยอยู่หลายที หลุดเนินนี้ ก็มีเนินหน้าต่อ สุดท้ายเราก็ขโยกตัวเองขึ้นมาถึงจนได้ แสตมป์พาสปอร์ต เดินสอดส่ายสายตามองหาเพื่อนที่ล่วงหน้ากันมาก่อน หามุมเหมาะ ๆ สำหรับกางเต๊นท์ นั่งพักรอทานมื้อค่ำ

ถึงเสียที
จุดกางเต็นท์ดีมาก
นั่งพักก่อน เดี๋ยวกางเต็นท์ค่อยว่ากัน

แค้มป์ด้านบนนี้มีห้องน้ำไว้อำนวยความสะดวกให้กับนักเดินป่า แยกชายหญิงคนละ 3 ห้องทำธุระหนักเบาหรือจะอาบน้ำก็ทำได้ มีจุดเติมน้ำดื่มจากเครื่องกรองน้ำ จุดล้างภาชนะที่ทางผู้จัดใส่ใจจัดเตรียมไว้ให้ทั้งหมด ซึ่งถือว่าผู้จัดเตรียมพื้้นที่เอาไว้ได้อย่างดีทั้งสำหรับงานนี้ และการเดินป่าที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต มีแววว่าเส้นทางเดินป่าที่นี้ป๊อปแน่นอน

ถึงเวลาอาหารค่ำ เราต้องเดินจากจุดที่เรากางเต็นท์ไปอีกประมาณ 500  เมตร แสงจากไฟฉายคาดหัวเรียงต่อกันเป็นทางยาว เดินเรียงรายมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือลานแคมป์ไฟ ความพิเศษของลานแคมป์ไฟในค่ำคืนนี้ คือเราจะได้เห็นวิวดาวบนดินของเมืองเชียงใหม่เมื่อพระอาทิตย์ลับของฟ้าไปแล้ว แสงไฟจากเมืองที่สว่างขึ้น กับบรรยากาศรอบข้างที่มีเพียงแสงจากตะเกียงน้ำมันอาหารค่ำมือนี้ช่างเป็นบรรยากาศที่น่าจะจำอีกวันหนึ่งในชีวิต ต่างคนต่างเลือกมุมทานข้าวกันตามอัธยาศัย ยิ่งค่ำลงอุณหภูมิที่ค่อย ๆ ลดลงมาเรื่อย ๆ  แต่บรรยากาศรอบกองไฟค่ำคืนนี้ช่างอบอุ่น ทางผู้จัดโดยมีพี่งบ พี่ปั้น พี่ต่าย ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของที่มาที่ไปของกิจกรรมในครั้งนี้ให้พวกเราได้ฟัง ต่างคนต่างแลกเปลี่ยนพูดคุย บอกเล่าประสบการณ์ให้กันฟังอย่างออกรสเมื่อถึงเวลาอันสมควร แต่ละคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน

อากาศที่เย็นสบาย ไม่หนาวจนเกินไป ทำธุระส่วนตัวกันเสร็จก็แยกย้ายกันเข้าเต็นท์ กินยาคลายกล้ามเนื้อสักหนึ่งเม็ด และหลังจากนั้นก็ราตรีสวัสดิ์ครับทุกคน…

อาหารเพียบ ไม่อิ่มไม่กลับเต็นท์
ดาวบนดิน
ขาลง

“อรุณสวัสดิ์” วันนี้เราตื่นกันแต่เช้า เสียงรูดซิปจากเต็นท์ข้าง ๆ เสียงคนพูดคุยเดินผ่านไปมา ทำให้รู้ว่าควรตื่นได้แล้ว เมื่อคืนอากาศเย็นสบาย นอนเปิดเต็นท์ก็ไม่หนาวเท่าไหร่ แต่ติดอย่างเดียวที่พื้นเอียง พอพลิกตัวก็ไหลไปกองขอบเต็นท์ นอนพลิกไปพลิกมาทั้งคืน หลับ ๆ ตื่น ๆ เหมือนนอนไม่ค่อยพอ แต่ก็พร้อมไปได้ ทำธุรส่วนตัวเก็บข้าวของลงเป้ และออกไปทานข้าวเช้ากันที่ลานแคมป์ไฟ ทานมื้อเช้าพร้อมรับมือเที่ยงกันเสร็จก็พร้อมที่จะเดินลง เรากลับมาที่จุดกางเต็นท์ของเรา เอาเป้ขึ้นหลัง รับบรีฟจากทีมสต๊าฟ

ทางเดินของวันนี้เป็นเส้นทางอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือ เส้นทางจะเป็นทางลงเสียส่วนใหญ่ ดูจากแผนที่เหมือนจะง่าย แต่ก็ไม่หรอก ไม่มีอะไรง่ายสำหรับการเดินป่า จากเมื่อวานที่เราดันเนินกันขึ้นมาอาการขาตึงยังไม่ทุเลาดี ก็ต้องเดินต่ออีกแล้วทำได้แค่ยืดเหยียดให้พอคลายหายปวด ถึงไม่ค่อยพร้อมเดินเท่าไหร่ แต่ถึงยังไงสุดท้ายก็ต้องเดินลงอยู่ดี ชีวิตต้องไปต่อ

ยามเช้าบนยอดดอยที่แคมป์จิ้งจอกภูเขากับอากาศเย็นสบายกำลังดี

ช่วงแรกของการเดินลงก็เจอรับน้องด้วยทางที่แคบและชันไม่ระวังให้ดีถ้าสไลด์ลงไปอาจถึงที่หมายเร็วกว่าเพื่อน กว่าจะกลับขึ้นมาได้ก็หลายเมตรอยู่ แถมยังมีไม้ล้มต้องให้ข้ามกันหลายจุด ไม่รู้จะต้องระวังอย่างไหนก่อน พึงมีสติให้มาก ๆ ระหว่างเดิน แต่ไม่ต้องเป็นห่วง ทางผู้จัดได้เตรียมจุดจับเชือกจุดสังเกต ไว้ให้เพื่อความปลอดภัย เด็กยังเดินได้ ปลอดภัยแน่นอน ลงเนินมายาว ๆ เจ็บทั้งเข่า นิ้วเท้าก็ระบม นึกในใจ มาลำบากทำไมกันเนี่ย ครั้งที่แล้วยังไม่เข็ดอีก

เส้นทางดี เด็กเดินได้ ผู้ใหญ่เดินสนุกดี

ลงเขากันมายาว ๆ ตัดออกมากจากป่าเราก็มาพักทานข้าวเที่ยงกันริมถนน ได้ปลดเป้ ถอดรองเท้า ครั้งแรกของวัน สบายสุด ๆ ไปเลย ทานข้าวก็เสร็จแล้วก็ขึ้นเป้กันต่อ ก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า “อีกไม่ไกลแล้ว เดี๋ยวก็ถึง”

เดินลงเขามาสักพักใหญ่ จู่ ๆ มีเซอร์ไพรซ์จากทีมงาน “ไอติมมมมมมมมมมมมม……………..” เสียงพูดลากยาวที่เปล่งออกมาแบบอัตโนมัติ มันไม่ต่างจากโอเอซิสกลางทะเลทราย ผมรีบจัดโคนช็อคโกแลตช็อคชิพไปหนึ่งแท่ง รอบนี้ขอพักกันยาวหน่อย นั่งแผ่กันบนถนนโดยที่ไม่มีรถผ่านมาสักคัน ก่อนที่จะเดินตามถนนลาดยางลงไปด้านล่าง ขาที่ล้าและเท้าที่เจ็บ เดินขโยกตามเพื่อนไปห่าง ๆ

ไอติมกลางทาง เหมือนเจอแหล่งน้ำกลางทะเลทราย
คนหนึ่งของสอง อีกคนบอกแค่หนึ่งพอ

“ใกล้ถึงแล้ว อีกนิดเดียว” เพื่อนที่มาถึงก่อนก็ยืนรอเพื่อนมาสมทบ รอที่จะเข้าเส้นชัยไปพร้อม ๆ กัน เราทั้ง 6 คนออกเดินช่วงสุดท้ายไปพร้อมกันโดยมีทีมงาน ช่างภาพ และเพื่อน ๆ ที่มาถึงก่อนร่วมปรบมือแสดงความยินดีให้กับพวกเรา “บรรยากาศเหมือนคลิปที่ดูมาไม่มีผิด” ดีใจมาก พาตัวเองมาถึงจุดนี้สำเร็จ

ครั้งนี้เราได้เจอกันจริง ๆ เสียทีนะ ยินดีที่ได้รู้จัก…..เจ้าประสบการณ์จริงในแบบ Fjallraven งานนี้ไม่ได้จำกัดเวลาในการเดิน ไม่มีรางวัลให้ว่าใครเดินเร็วกว่ากัน ที่จะมีก็คืออยากให้ทุกคนได้ใช้เวลาดื่มด่ำกับธรรมชาติข้างทางให้มากที่สุด นี่คือจุดประสงค์หลักที่ผู้จัดอยากให้เป็น

มาด้วยกันก็ต้องเข้าพร้อมกัน
ได้ของเพียบ เลิฟเลย
ค่ำคืนสุดท้าย

Trek Talk เป็นค่ำคืนที่ผ่อนคลายและเป็นกันเองสุด ๆ กับช่วงเวลา 2 วัน 1 คืน ของคนที่มีใจรักธรรมชาติและการเดินทางได้ใช้เวลาร่วมกัน เป็นช่วงเวลาอบอุ่น การได้ฟังเรื่องเล่าจากพี่ ๆ เพื่อน ๆ สำหรับนักเรียนเดินป่ามือใหม่หมาด ๆ อย่างเรา นี่คือประสบการณ์ดี ๆ ที่หาไม่ได้จากที่ไหน  มิตรภาพมากมายจากนักเดินทาง และคนที่รักในธรรมชาติ มันเหมือนเป็นขอขวัญที่หาไม่ได้จากที่ไหน ถ้าอยากได้ต้องเอาตัวออกไปเอง…

เจอกันแล้ว ได้อะไรมาบ้าง

ตลอดเส้นทางทั้ง 2 วันนี้ ผมได้เจอธรรมชาติที่แปลกตา พรรณไม้ที่ไม่เคยพบที่ไหน ได้พบเจอมิตรภาพระหว่างทางที่ช่วยเหลือกัน ให้กำลังใจกัน เราจะไม่บอกว่าอีกไม่ไกลแล้ว เพราะเราก็ไม่รู้ว่ามันจะถึงเมื่อไหร่ แต่เราจะบอกว่าเดี๋ยวก็ถึง เดินกันไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็หยุดพัก สุดท้ายแล้วเราทุกคนก็เดินกันจนจบ โดยที่ไม่ต้องเอาเวลาเป็นที่ตั้งสุดท้ายแล้ว…ยินดีที่ได้รู้จัก……สิ่งที่ไม่ค่อยเจอก็มีบ้าง อย่างเช่นเศษขยะ

ปล.งานนี้มีหนูน้อยที่คุณพ่อ คุณแม่พามาร่วมเดินด้วยนะ สร้างสีสันและเสริมประสบการณ์ให้น้อง ๆ ได้เติบโตไปใช้ชีวิตในแบบที่เคารพและเข้าใจธรรมชาติในวันข้างหน้าต่อไป

ชางแก๊งค์นักเดินป่าที่ถ่ายรูปไปเรื่อย

ต้องขอขอบคุณ ผู้จัดงาน Thailand Outdoor Shop ที่จัดกิจกรรมดี ๆ แบบนี้ครับ, ทีม บ้านและสวน explorers Club ที่ชักชวน, เพื่อนร่วมทางอย่าง พี่บาส, พี่ตู่, พี่เต้, ฟาง, จ๋า, ป๊อบ, ออน, พี่สายชล, พี่ ๆ ทีมงานและสต๊าฟ FJ ทุกท่าน, และเพื่อน ๆ นักเดินทางทุกท่านที่พบเจอกัน…ยินดีที่ได้พบกันครับ

EXPLORERS: สิฐ

AUTHOR: สิฐ – พิสิฐ ค้ำชู

PHOTOGRAPHER: ฟาง-อภินัยน์ ทรรศโนภาส